ตอนที่ 94: ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว 2
“พี่หลิน… ทําไมพี่ถึงยังยุ่งกับผู้ชายคนนี้อยู่ล่ะ? ตอนนี้นายน้อยเฉินกําลังกดดันบริษัทของเราก็เพราะเขานะ นายน้อยเฉินยังคงโกรธเรื่องที่โดนผู้ชายคนนี้ลากเข้าคุกอยู่เลย”
ทว่า เสี่ยวเฉิงรู้สึกขี้เกียจเกินกว่าที่จะโต้เถียงหรือสนใจเสี่ยวหลาน ด้วยเหตุนั้น เขาจึงรีบเดินเข้าไปในคอนโดพร้อมกับกล่าวคําพูดออกมา ” เธอไปบอกให้ไอ้นายน้อยเฉินนั่นมาหาเรื่องฉันแทนก็ได้นะ อย่าทําให้หลินจื้อซือต้องลําบากเลย”
“ใครกล้ามามีปัญหากับลูกสาวสุดรักสุดหวงของฉันกัน?” ทันใดนั้น หลินกุ้ยเหลินก็เดินเข้ามาพร้อมกับจ้องมองไปยังเสี่ยวหลานอย่างไม่สบอารมณ์
“เอ่อ ประธานหลินคะ” เสี่ยวหลานไม่คาดคิดเลยว่าหลินกุ้ยเหลินที่อยู่อังกฤษจะกลับมาแล้วจริง ๆ ไม่นานนัก เสี่ยวหลานก็พลันก้มหัวและทําตัวราวกับเป็นสุนัขรับใช้ในทันที
“วันนี้ฉันขอพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน ฝากแจ้งทางบริษัทให้เลื่อนตารางนัดหมายทั้งหมดให้ด้วย หรือไม่ก็ยกเลิกไปให้หมดเลย” อันที่จริง หลินจื้อซือต้องการเวลาพักผ่อนกับครอบครัวของตัวเอง อีกทั้ง เธอเองก็ยังมีเรื่องอื่นต้องคิดด้วย เธอควรหย่ากับเสี่ยวเฉิงไหมนะ? สภาพจิตใจของหลินจื้อซือในตอนนี้พลันสับสนและยุ่งเหยิงไปหมด เห็นได้ชัดว่าเธอไม่มีเวลาสนใจเรื่องงานเลยแม้แต่น้อย
ในระหว่างที่หลินจื้อซือและเสี่ยวหลานกําลังคุยกัน หลินกุ้ยเหลินก็พลันชี้นิ้วไปยังเสี่ยวเฉิงเพื่อส่งสัญญาณให้เขาออกไปข้างนอกกับตนที่ดาดฟ้าสักประเดี๋ยว
ทันทีที่เห็นเช่นนั้น หลินเหล่ยเองก็เดินตามทั้งสองออกไปด้วยเช่นกัน ดูเหมือนหลินเหล่ยจะคิดว่าพ่อคงเรียกเสี่ยวเฉิงไปดุข้างนอกแน่
คุณแม่หลินที่เห็นทั้งสามเดินออกไปก็พลันส่ายหัว “ตาเฒ่าเอ๊ย คันไม้คันมืออีกแล้วสินะ”
แต่ทว่า ความจริงแล้ว นี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เสี่ยวเฉิงและหลินกุ้ยเหลินเข้าใจกันเองอยู่แล้วมากกว่า ทันทีที่ทั้งคู่ออกไปข้างนอก หลินกุ้ยเหลินก็พลันมองไปยังเสี่ยวเฉิงและกล่าวคําพูดขี้นมาอย่างกะทันหัน “ไม่เลวเหมือนกันนะลูกพ่อ แล้วก็เรื่องที่ลูกกล้าต่อกรกับปรมาจารย์หยานแห่งแก๊งเต่าดํานั่นอีก สามปีที่เราไม่ได้เจอหน้ากัน ลูกดูโตขึ้นมากเลยนะ”
เสี่ยวเฉิงเผยยิ้ม ” พ่อครับ ย้อนกลับไปสมัยเด็ก ก่อนที่พ่อจะว่าอะไรผม พ่อแทบไม่เคยถามผมเรื่องทะเลาะวิวาทในโรงเรียนเลย แต่วันนี้พ่อกลับพูดเรื่องการประลองขึ้นมา นี่พ่อไม่มั่นใจในตัวผมแล้วเหรอครับ?”
หลินกุ้ยเหลินพลันเผยยิ้ม ” พ่อเนี่ยนะไม่มั่นใจในตัวแก? ตลกเป็นบ้าเลย ฮ่าฮ่า”
” แต่มันก็มีคนเคยพูดเอาไว้นะครับพ่อ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เราก็จะมองคน ๆ หนึ่งเปลี่ยนไปมากขึ้นเท่านั้น นี่ก็ผ่านมาสามปีแล้วด้วย” เสี่ยวเฉิงตอบกลับ
หากย้อนกลับไป ทั้งหลินกุ้ยเหลินและพ่อของเสี่ยวเฉิงต่างก็เคยเป็นสหายร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาก่อน นอกจากนี้ ทั้งสองต่างก็เคยอยู่ในกองกําลังพิเศษชั้นยอดมาแล้วด้วย แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วหลินกู้ยเหลินจะเดินทางมายังประเทศอังกฤษและกลายเป็นขุนนางผู้ร่ํารวย แต่การต่อสู้ ก็เรียกได้ว่าเป็นงานอดิเรกของเขามาโดยตลอด สมัยที่เสี่ยวเฉิงยังเด็ก หลินกุ้ยเหลินก็คงจะต้องรู้สึกไม่ดีแน่หากลูกชายของตนเติบโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นที่ไม่รู้จักทักษะการต่อสู้อะไรเลย ดังนั้น หลินกุ้ยเหลินจึงตัดสินใจสอนเทคนิคการต่อสู้ให้กับเสี่ยวเฉิงอย่างมากมาย และนี่ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่ง เหตุผลที่เสี่ยวเฉิงสามารถโต้ตอบและเอาชนะพวกกลุ่มเพื่อนผู้ชายที่เข้ามาหาเรื่องเขาช่วงหลังเลิกเรียนได้
แต่สําหรับหลินเหล่ย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์อะไรมากนัก แต่เขาก็ชอบเรื่องอะไรแบบนี้ไม่น้อย แม้ว่าหลินเหล่ยจะเป็นลูกชายคนโปรด แต่เขาก็เป็นเด็กหัวรั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คุณแม่หลินไม่อนุญาตให้สามีของตนสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับหลินเหล่ย เพราะเหตุนั้น หลินเหล่ย จึงไปขอให้เสี่ยวเฉิงช่วยฝึกกระบวนท่าต่อสู้อย่างลับ ๆ และนั่นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เสี่ยวเฉิงและหลินเหล่ยสนิทกันมากราวกับเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด
“ไอ้ลูกชายตัวแสบ นี่เพิ่งจะผ่านมาสามปีเองนะ ลูกประเมินตัวเองสูงขนาดนั้นเลยเหรอ? งั้นช่วยบอกพ่อที่สิ สามปีที่ผ่านมา ลูกได้เรียนรู้อะไรไปบ้างล่ะ?” หลินกุ้ยเหลินเผยหัวเราะออกมา และถามขึ้น
เสี่ยวเฉิงพลันหลับตาลง ทันทีที่ลืมตาขึ้นมา เขาก็ตอบกลับ ” ผมเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน เพราะผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองยังต้องเรียนรู้อะไรอีกตั้งเยอะ อย่างเช่นการฝึกวิชามวยไท่เก๊กของอาจารย์จางซันเฟิง อีกอย่าง พ่อเองก็ชอบทําตัวเหมือนตัวเองสู้ใครไม่เป็น แต่พ่อนี่แหละโคตรเก่งเรื่องศิลปะการต่อสู้เลย”
หลินเล่ยพลันเผยเสียงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ใจเย็นก่อนพี่เขย ระวังโดนพ่อเตะตัดขาล้มอีกนะ ผมจําได้ว่าครั้งล่าสุดพี่แทบจะลุกจากเตียงไม่ขึ้นเลยด้วยซ้ํา”
“ได้ยินน้องชายแกพูดไหมล่ะ? ฮ่าฮ่า ทุกคนยังคงจําได้แม่นเลยล่ะว่าพ่อเคยทําอะไรกับแกเอาไว้บ้าง” หลินกุ้ยเหรินเผยยิ้ม
ทันใดนั้น เสี่ยวเฉิงก็ยกแขนขึ้นมาหนึ่งข้างพร้อมกับกล่าวคําพูด “พ่อครับ เราหยุดพูดกันตรงนี้ แล้วมาเริ่มเลยดีกว่า”
หลินกุ้ยเหลินพลันเลิกคิ้ว “ลูกยกมือขึ้นมาข้างหนึ่งแบบนั้นหมายความว่ายังไงกัน?”
” ผมต่อให้พ่อใช้สองขากับมือข้างหนึ่งเลย ส่วนผมจะใช้แค่มือเดียวพอ” เสี่ยวเฉิงกล่าว
“ฮ่าฮ่าฮ่า” หลินกุ้ยเหลินหลุดขําออกมา “ยังไม่ยอมแพ้แล้วก็หัวรั้นเหมือนเดิมเลยนะลูกพ่อ”
ระหว่างที่มองไปยังชายสองคนนอกหน้าต่าง หลินจื้อซือที่นั่งอยู่บนโซฟาก็เผยยิ้มออกมา ”ครั้งนี้คุณพ่อแพ้แน่”
ด้วยความที่หลินจื้อซือเคยเห็นการต่อสู้ของเสี่ยวเฉิงกับปรมาจารย์หยานแห่งแก๊งเต่าดํามาก่อนแล้ว ดังนั้น เธอจึงรู้ดีว่าเสี่ยวเฉิงในตอนนี้ต้องเก่งกว่าพ่อของตนเองแน่