บทที่ 243 ตะลึง

บทที่ 243 ตะลึง

ภายในโรงน้ำชาอันอบอุ่น หลังจากที่ซีชิงอิ่งกลับมา เธอก็มายืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อชงชาให้เป็นการส่วนตัว

ชูเทียนซิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อเธอกลับมาอีกครั้ง

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่เขาได้เพลิดเพลินกับการบริการของหญิงสาวที่สวยงามขนาดนี้

“พี่ชู โรงเรียนของผมคล้ายกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามากกว่า เพราะหลังจากโครงการเสร็จสิ้น จุดประสงค์หลักก็คือรับเด็กเร่ร่อนมาเลี้ยงและให้บ้านที่อบอุ่นแก่พวกเขา” โจวอี้อธิบายอย่างใจเย็น

“…”

อะไรนะ?!

ชูเทียนซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย

“บางทีคุณอาจจะยังไม่เข้าใจ ให้ผมอธิบายเจาะจงมากขึ้นเถอะ ผมจะรับเลี้ยงเด็กเร่ร่อน จัดหาอาหาร เสื้อผ้า ที่พักอาศัย และพาหนะให้พวกเขา และขอให้ครูทั้งหลายช่วยสอนความรู้ด้านวัฒนธรรมและวิชาการให้พวกเขาด้วย”

“ผมได้ซื้อที่ดินไว้แล้ว และในไม่ช้าก็จะหานักออกแบบมืออาชีพและบริษัทรับเหมาก่อสร้างมาเริ่มสร้างโรงเรียน”

“หลังจากก่อตั้งโรงเรียนแล้ว ผมจะรับเด็กเร่ร่อนเข้ามาในโรงเรียนให้ได้ใช้ชีวิตที่ดี เรียนหนังสืออย่างมีความสุข มีสุขภาพแข็งแรง และเติบโตอย่างไร้กังวล”

“ทำแบบนี้ผมไม่มีรายได้หรอก เพราะเราจะไม่รับสมัครนักเรียนจากสมาคม และเราไม่เก็บเงินค่าธรรมเนียมใด ๆ ค่าครองชีพของเด็กเหล่านั้น แม้แต่เงินเดือนครูและผู้บริหารก็เป็นเงินส่วนตัวของผมเอง”

“ผมไม่มีเวลาจัดการ ผมต้องการผู้อำนวยการโรงเรียนที่จะช่วยผมจัดการโรงเรียนได้”

ระหว่างที่อธิบาย โจวอี้ก็มองไปที่ชูเทียนซิงซึ่งกำลังแสดงสีหน้าแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นจึงยื่นบุหรี่ให้ เขาเองก็สูบบุหรี่ลงปอดสองสามครั้งแล้วพูดว่า “นี่คือโอกาสที่ผมให้คุณ คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าจะยอมรับมันไหม”

“ที่นายพูดมามันเป็นเรื่องจริงใช่ไหม?” ชูเทียนซิงยังคงลังเล

“ผมไม่ได้ล้อเล่นกับคุณหรอกนะ และผมไม่ชอบล้อเล่นเรื่องแบบนี้ด้วย” โจวอี้พูดอย่างจริงจัง

ชูเทียนซิงหายใจเข้าลึก แต่ไม่ได้จุดบุหรี่แต่อย่างใด

เขามองไปที่โจวอี้อย่างเพ่งพินิจ “ฉันมีคำถาม หลายคำถามเลย!”

“ถามมา!”

“ก่อนอื่น ทำไมต้องทำแบบนี้?”

“เพราะผมไม่มีพ่อหรือแม่ ถ้าอาจารย์ของผมไม่รับผมไปเลี้ยง ผมคงเป็นคนไร้บ้านไปแล้ว”

“อย่างที่สอง นายจะสร้างโรงเรียน? ใหญ่แค่ไหน? จะรับเด็กเร่ร่อนกี่คน? สิบ? หรือร้อย?”

“จำนวนไม่แน่นอนหรอก แต่ผมสามารถบอกคุณได้ว่าเมื่อไหร่ที่ไม่มีเด็กเร่ร่อนในจีน ผมถึงจะหยุดรับเลี้ยง แต่ถ้ายังมีอยู่ ผมจะรับเด็กมาเลี้ยงเรื่อย ๆ!”

“ฮ่า ๆ!” ชูเทียนซิงรู้สึกขบขันกับคำพูดของโจวอี้

เขารู้สึกว่าโจวอี้โอ้อวดเกินไป

มีเด็กเร่ร่อนกี่คนในประเทศจีนกัน?

ต่อให้รัฐบาลกลางจะสร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าขนาดใหญ่เองและให้การสนับสนุนทางการเงินอย่างมหาศาลและจัดการอย่างเหมาะสม แต่จนแล้วจนรอดมันก็ยังจะมีเด็กเร่ร่อนมากมายในจีนอยู่ดี

เป็นหมื่นคน?

หรือเป็นแสนคน?

ชูเทียนซิงไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เขาคิดว่าจำนวนเด็กข้างถนนคงจะมากกว่าที่เขานึกออก

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยเงื่อนไขที่ว่าทำแล้วไม่มีรายได้ มันก็เหมือนเป็นเรื่องตลกระดับประเทศกับคำพูดที่ว่าโจวอี้จะเป็นผู้ออกทุนทั้งหมดในการรับเลี้ยงเด็กเร่ร่อนด้วยตัวเอง

ต่อให้โจวอี้จะเป็นเจ้าของธนาคาร เกรงว่าอัตราการพิมพ์เงินยังไม่เร็วเท่าค่าใช้จ่ายมหาศาลที่จะตามมา

“นายจะให้เงินเดือนฉันเท่าไหร่ล่ะ?” ชูเทียนซิงถามด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ

“ถ้าคุณเต็มใจที่จะเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนและดูแลโรงเรียนอย่างเต็มที่ คุณจะได้รับเงินสองหมื่นหยวนต่อเดือนในเบื้องต้น และเมื่อโรงเรียนสร้างเสร็จและรับเด็กเร่ร่อนมาเลี้ยงได้ถึงระดับหนึ่งแล้ว เงินเดือนของคุณจะเพิ่มขึ้นอีกตามความเหมาะสม” โจวอี้ตอบ

“ก็ถือว่าไม่น้อย!” ชูเทียนซิงยกยิ้ม

“ไม่มากต่างหาก ถ้าจำนวนเด็กเร่ร่อนรับเลี้ยงถึงพันคน ผมจะให้เงินเดือนคุณปีละหนึ่งล้านก็ได้” โจวอี้ยิ้ม

“อืม” ชูเทียนซิงพยักหน้าอย่างใจเย็น

“คุณเห็นด้วยไหม?” โจวอี้ถามอีกครั้ง

“ฉันจะคิดดู!”

“ได้ แต่เวลาของผมมีจำกัด เพราะผมต้องการผู้รับผิดชอบดูแลการก่อสร้างโรงเรียน และจัดหาครูและเจ้าหน้าที่สนับสนุนด้านอื่น ๆ อีก” โจวอี้กล่าว

ขณะเดียวกัน

ซีชิงอิ่งเทชาหอมกรุ่นลงในถ้วยตรงหน้าพวกเขาแล้ว

เธอมองไปที่ชูเทียนซิงแล้วถามโจวอี้ว่า “หมอโจว ฉันไปเป็นครูที่โรงเรียนของคุณได้ไหม ฉันสามารถสอนดนตรีให้พวกเด็ก ๆ ได้นะ”

“ตกลง!” โจวอี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

“เยี่ยมมาก” ซีชิงอิ่งยิ้ม จากนั้นก็มองไปที่ชูเทียนซิงแล้วถามว่า “คุณไม่เชื่อหมอโจวละสิ?”

“เหอะ ๆ” ชูเทียนซิงเพียงแค่หัวเราะแต่ไม่ตอบคำถาม

“คุณชู หมอโจวเป็นคนจิตใจดีและมีความสามารถ นอกจากนี้เขายังเคยบริจาคเงินหนึ่งร้อยล้านหยวนให้กับโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิงเมื่อไม่กี่วันก่อน เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยากจน ดังนั้นฉันคิดว่าคุณควรไว้ใจเขานะ” ซีชิงอิ่งยิ้ม

บริจาคหนึ่งร้อยล้านหยวนให้โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิง?

ชูเทียนซิงตกตะลึง สายตาของเขาเปลี่ยนไปเมื่อมองไปที่โจวอี้

เรื่องแบบนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่

หากโจวอี้บริจาคเงินหนึ่งร้อยล้านหยวนให้โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนจินหลิงไปจริง ๆ มันคงจะเป็นข่าวไปแล้วสิ

แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้มากนัก แต่เขาคงจะต้องได้ยินข่าวมาบ้าง

แต่นี่ไม่มีเลย

หมายความว่ายังไง?

หมายความว่าการบริจาคของอีกฝ่ายเป็นแบบไม่เปิดเผยตัวตนงั้นเหรอ? ทำเพื่อการกุศลเท่านั้นเหรอ? ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงสินะ

เขาจิบชาหอมกรุ่น จากนั้นก็มองไปที่ซีชิงอิ่งแล้วถามว่า “ชาอะไร? ดีมาก!”

“ดอกบ๊วยแดงเก้าดอก” ซีชิงอิ่งยิ้ม

“ไม่เลว”

ชูเทียนซิงชื่นชมชา จากนั้นก็หันไปถามโจวอี้อีกครั้งว่า “น้องโจว ถ้าฉันตกลง สัญญากับฉันได้ไหมว่าต้องให้เงินเดือนครึ่งปีกับฉันก่อนเริ่มงาน?”

“ได้สิ บอกเลขบัญชีธนาคารของคุณมาเลย” โจวอี้พยักหน้าอย่างใจเย็น

“ให้เลยเหรอ?!” ชูเทียนซิงตกตะลึง

“ใช่ ให้เดี๋ยวนี้เลยแหละ”

ไม่กี่นาทีต่อมา ชูเทียนซิงก็ได้รับข้อความจากธนาคาร และเงิน 240,000 หยวนก็เข้ามาในบัญชี

เขาสับสนเล็กน้อย

อีกฝ่ายจ่ายเงินให้เขาล่วงหน้าก่อนตั้งครึ่งปี

นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่าไหร่หากเทียบกับประเด็นที่อีกฝ่ายไม่ได้โกหก แทนที่จะโกงเขา แต่กลับจ่ายเงินให้เขา 240,000 หยวน!

ทุกสิ่งที่โจวอี้พูดเป็นความจริงงั้นเหรอ?

เขากำลังจะได้รับโอกาสจริง ๆ ใช่ไหม?

ชูเทียนซิงเงียบไปครึ่งนาที แล้วถามออกมาว่า “นายเชื่อใจฉันขนาดนี้เลยเหรอ? เราเพิ่งพบกันครั้งแรก ไม่กลัวว่าฉันจะหนีนายไปรึไง?”

“ไม่กลัว!”

“ทำไม?”

“การใช้เงินเล็กน้อยนี้เพื่อทดสอบนิสัยของคนคนหนึ่งก็ถือว่าดีไม่ใช่เหรอ?”

“…”

ชูเทียนซิงเงียบไป

ชายหนุ่มที่พบกันโดยบังเอิญเพียงเพื่อฟังที่เขาระบาย และยังเลือกที่จะเชื่อใจเขา

เขารู้สึกอบอุ่นเล็กน้อยและรู้สึกเคารพชื่นชมอีกฝ่ายมากขึ้น

เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาอีกครั้ง ดื่มชาหอมกรุ่นในอึกเดียวแล้วพูดอย่างสุภาพว่า “คุณโจว ผมตกลง ว่าแต่… คุณสามารถพาผมไปดูที่ดินผืนนั้นตอนบ่ายเลยได้ไหม?”

“ไม่ต้องรอถึงบ่ายหรอก เพราะผมมีธุระต้องทำตอนบ่าย เราไปตอนนี้เลยดีกว่า” โจวอี้กล่าวอย่างใจเย็น

“ตกลง!”

“หมอโจว ฉันไปด้วยได้ไหม ฉันเพิ่งว่าง” จู่ ๆ ซีชิงอิ่งก็ถามขึ้น

“ตกลง! คุณมีรถ เพราะงั้นคุณจะเป็นคนขับรถให้เรา”

หนึ่งชั่วโมงต่อมา โจวอี้และชูเทียนซิงก็กลับไปที่ช็องเซลิเซ่ ลานติง วิลล่าด้วยรถของซีชิงอิ่ง

หลังจากที่โจวอี้แสดงสัญญาซื้อขายที่ดิน ชูเทียนซิงก็มั่นใจเต็มร้อยแล้วว่าโจวอี้พูดความจริง

จากนั้นพวกเขาก็เดินทางไปที่ภูเขาหลี่ซาน

“ผมซื้อที่ดินผืนนี้มาจากหยางกรุ๊ป พื้นที่มีขนาดสี่ร้อยไร่ สามส่วนจะใช้สร้างโรงเรียน และอีกเจ็ดส่วนจะใช้สร้างที่อยู่อาศัยสำหรับเด็ก ๆ และอาคารอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิตที่จำเป็น…” โจวอี้พาคนทั้งสองเดินไปบนที่ดินที่เป็นของเขาและพูดตามที่เขาวางแผนไว้

ความชื่นชมของซีชิงอิ่งที่มีต่อโจวอี้นั้นเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ

ในทางกลับกัน ชูเทียนซิงกลับหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ

จนกระทั่งต่อมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คุณโจว ถ้าคุณสร้างตามที่คุณพูดมา ผมเกรงว่าปริมาณโครงการจะมากเกินไป ก่อนที่จะได้รับเด็กเร่ร่อนมาเลี้ยง เราคงใช้เงินทุนไปอย่างมหาศาล”

“เงินไม่ใช่ปัญหาหรอก” โจวอี้กล่าวพร้อมโบกมือ

“…”

ชูเทียนซิงพูดไม่ออก

ก็จริง…ถ้าเงินไม่ใช่ปัญหา แบบนั้นก็จะไม่มีปัญหา

“เดี๋ยว…”

จู่ ๆ โจวอี้ก็นึกอะไรบางอย่างได้และยิ้มออกมาทันที “ไม่สิ อันที่จริงมันก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าโรงเรียนของเราจะไม่มีรายได้เข้าเลย เพราะมีหลายคนสัญญากับผมล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่าพวกเขาจะบริจาคช่วยเหลือเราหลังจากก่อตั้งโรงเรียนและรับเด็กเร่ร่อนมาเป็นบุตรบุญธรรมสำเร็จ”

“ใคร? เท่าไหร่?” ชูเทียนซิงรีบถาม

“หยางเซี่ยวหาง หัวหน้าใหญ่ของหยางกรุ๊ปยินดีที่จะบริจาคเงินสองร้อยล้านให้เรา และหวงไห่เทา จากตระกูลหวงแห่งจินหลิง เขาก็ยินดีที่จะบริจาคหนึ่งร้อยล้านให้เรา และยังมีเฉิงฮ่าว ประธานของเฉิงกรุ๊ป เขาก็ยินดีที่จะบริจาคหนึ่งร้อยล้านให้เราทุกปี พูดง่าย ๆ ก็คือ หลังจากที่เราสร้างโรงเรียนเสร็จแล้ว คุณสามารถไปหาพวกเขาเพื่อขอเงินได้เลย” โจวอี้หัวเราะ