บทที่ 245 หยอกล้อหยอกเอิน
บทที่ 245 หยอกล้อหยอกเอิน

ม่อจิ่งอวี้นั้นโชคดีมากแล้วที่ยังครองตำหนักเจ้านรกอยู่ ไม่เช่นนั้นหากได้เจ้าคนที่รู้จักแต่การฆ่านี่ครองนรกละก็ ทั่วทั้งแดนเมฆาสวรรค์คงตกลงสู่ห้วงแห่งความโกลาหลแบบที่ไม่อาจนึกภาพออกเลยก็เป็นได้

เห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งไม่เอ่ยคำ ซิวอี้หรานจึงยกยิ้มกล่าว “ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้วก็ควรกลับไปดูตำหนักเจ้านรกเสียหน่อย พี่ใหญ่สั่งข้าไว้ว่าให้เอาตัวเจ้ากลับให้ได้ ต้องได้เห็นเจ้าตัวเป็น ๆ เท่านั้นเขาถึงจะวางใจ”

เมื่อพูดถึงพี่ใหญ่ สีหน้าม่อจิ่งอวี้ก็อึ้งไปบ้าง “พี่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง?”

“เจ้ากลับไปก็รู้เอง”

ซิวอี้หรานไม่เผยให้มากความ เพียงแต่ตบพัดกับฝ่ามือ คนกลุ่มหนึ่งพลันเหินร่างมาจากที่ไกล ยกเกี้ยวขนาดใหญ่ดูหรูหรามาด้วย ก่อนจะหยุดอยู่กลางอากาศที่เหนือศีรษะเขา

ทั่วทั้งแดนเมฆาสวรรค์ อาจจะมีเพียงตำหนักเจ้านรกเท่านั้นที่จะสามารถแสดงความยิ่งใหญ่อู่ฟู่เช่นนี้ได้ ผู้ที่ยกเกี้ยวทั้งสิบสองนั้นเป็นจอมยุทธ์ทรงพลัง เคลื่อนกายรวดเร็วกว่าอสูรวิญญาณส่วนมากทั้งหลาย ดูยิ่งใหญ่จนคนมองต้องอิจฉา

ม่อจิ่งอวี้นัยน์ตาทะมึนลงเล็กน้อย เขาหันไปสบตากับชิงหลานเฟยเงียบ ๆ ดูเหมือนว่าเขาคงจะเมินอีกฝ่ายไม่ได้เสียแล้ว

——————————————

ที่อีกด้านหนึ่งของแดนเมฆาสวรรค์ วันนี้ก็เป็นอีกคืนที่ไร้เงาจันทร์ลมพัดแรง

ด้วยชิงอวี่หลงทาง กว่าจะกลับมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากชื่อเยว่ก็ต้องใช้เวลานาน เยว่เฝินจึงคิดว่าเด็กสาวนั้นใจกล้า หลบหนีไปแล้ว ทำให้พวกข้ารับใช้ทั้งหลายที่อยู่ใกล้กับชิงอวี่ต้องถูกลงโทษ

และเมื่อชิงอวี่กลับมา ยังไม่ได้ทันได้เดินเข้ามาใกล้ ก็เห็นว่าด้านนอกมีคนนั่งคุกเข่าเรียงกันอยู่ ร่างกายเหยียดตรง หากแต่ก้มหัวลงต่ำ

ชิงอวี่กะพริบตา ใบหน้าสับสนอยู่บ้าง เกิดอะไรขึ้นที่นี่หรือ?

“เด็กสาวคนเดียวยังเฝ้าไว้ไม่ได้งั้นหรือ? ในเมื่อไร้ประโยชน์เช่นนี้ก็ไปตายเสียเถอะ!”

เมื่อน้ำเสียงเคืองโกรธของชายหนุ่มดังขึ้น คนทั้งหลายก็ถูกพลังซัดจนกระเด็นไป เลือดสาดกระเซ็นด้วยความทุกข์ทรมาน และเมื่อเห็นเด็กสาวยืนมองอยู่ไม่ไกล พวกเขาก็เบิกตากว้างราวกับเห็นผี

ไม่ใช่ว่านาง….. หนีไปแล้วหรือ? ทำไมถึงมาปรากฏตัวเช่นนี้เล่า!?

นี่พวกเขาถูกลงโทษโดยไร้เหตุผลงั้นหรือ?!

ชิงอวี่ทำเป็นไม่เห็นสายตาแปลก ๆ ที่พวกเขาส่งมา นางค่อย ๆ เดินเอื่อยเข้ามาด้านในแล้วเอ่ยเสียงเฉื่อยขึ้น “พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่? ข้าแค่ออกไปเดินทอดน่อง ท่านเยว่เฝินกลับพาคนมาตั้งมากมาย หรือเป็นเพราะสาวใช้อุ่นเตียงเมื่อคืนของท่านทำหน้าที่ได้ไม่ดี ทำให้ท่านสุขสมไม่ได้ ท่านก็เลยมาลงอารมณ์โกรธในที่ของข้างั้นหรือ?”

เยว่เฝินเห็นนางแล้วก็ตกใจนัก นอกจากความตกตะลึงแล้วยังมีอารมณ์ที่เขาไม่อาจเข้าใจได้พลุ่งพล่านขึ้นมาด้วย

เมื่อได้ยินคำนาง อารมณ์ที่ดีขึ้นเล็กน้อยก็พลันกลายเป็นพายุคลั่งจนแทบจะระเบิดออกมาได้

บรรยากาศเงียบสนิทขึ้นมาทันใด

อารามศักดิ์สิทธิ์เมื่อสักพันปีก่อนอาจเป็นสถานที่ไร้สะอาดมลทินใด เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่บริสุทธิ์และน่าเคารพบูชายิ่ง

แต่หลายปีหลังจากที่พระเจ้าได้สิ้นใจลง พวกคนชั่วในอารามก็เริ่มกระทำการโอหัง เปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยสิ่งชั่วร้ายทุกแขนงแทน

ทว่าเยว่เฝินนั้นเป็นข้อยกเว้นที่หาได้ยาก

ชิงลั่วเยี่ยนเห็นค่าเขามาก เป็นเพราะเขามีจิตใจเรียบง่ายบริสุทธิ์ ไม่เคยเอาตนไปข้องเกี่ยวกับเรื่องชั่วช้าทั้งหลายของคนอื่น พวกของมึนเมาเช่นสุรานารี ความโลภความเย่อหยิ่งทั้งหลาย เขามองมันเป็นเพียงเรื่องน่าเบื่อ ไม่สนใจพวกมันสักนิด เขามีเพียงความภักดีให้กับอารามศักดิ์สิทธิ์และไม่เคยร้องขอสิ่งใดเลย

แม้เขาจะห่มชุดคลุมสีเข้มหน้าตึงอยู่ตลอดเวลา แต่ก็นับว่าหล่อเหลาไม่ใช่น้อย มีสตรีมากมายที่หลงใหลในตัวเขา น่าเสียดายที่เขาเป็นคล้ายกับท่อนไม้ไร้อารมณ์ รักษาระยะห่างกับสตรีไม่ว่าหน้าไหน

แล้วเมื่อครู่นางพูดอะไรนะ?

สาวใช้ทำหน้าที่อุ่นเตียงให้เขาเมื่อคืนหรือ?

หรือท่านเยว่เฝินจะเลิกงดเว้นแล้ว?!!

ไม่มีใครสงสัยเลยว่าชิงอวี่พูดจริงหรือไม่ เพราะเรื่องเช่นนี้ไม่มีใครกล้าเอ่ยวาจาเล่น ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าเป็นเรื่องจริงทันที

ทว่าชิงอวี่นั้นพูดเล่นอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแต่กล่าวหยอกล้อ หากแต่ยังทำสำเร็จ คนฟังพร้อมจะเชื่อว่าเป็นความจริงในทันที

และมันสำเร็จมากถึงขั้นที่ทำให้ใครบางคนโกรธจนแทบถึงขีดสุดเลยทีเดียว

“ข้า….. ต้องการ….. สาวใช้….. มาอุ่นเตียง….. ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

ประโยคนี้ราวกับคนพูดกัดฟันเค้นมันออกมา เยว่เฝินกำมือแน่นจนข้อนิ้วลั่น ราวกับอยากจะบีบคอเด็กสาวบัดซบตรงหน้าให้ตายไปเสียตอนนี้

“หากเจ้ากล้าเอ่ยวาจาขยะไร้สาระออกมาเช่นนี้ย่อมต้องถูกลงโทษ”

“ข้าก็พูดเล่นเท่านั้นเอง? เห็นหน้าตาหล่อเหลาของท่านเยว่เฝินบึ้งตึงอยู่ตลอดแล้วมันช่างน่าเสียดายนัก” ชิงอวี่ว่าพลางยักไหล่ ดูจนใจอยู่บ้าง จากนั้นนางก็หาวออกมาหวอดใหญ่ คล้ายกับรู้สึกง่วงขึ้นมา จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินผ่านเขาไป นางจะได้ไปนอนหลับพักผ่อนเพื่อความงามเสียหน่อย

แต่ก้าวไปเพียงสองก้าว เยว่เฝินกลับคว้าแขนนางไว้ก่อนจะบิดอย่างแรง “เจ้าจะไปไหน? ข้าไม่เคยบอกเจ้าหรือว่าอารามศักดิ์สิทธิ์มีกฎ มีหลายที่ที่ห้ามไม่ให้ย่างกรายเข้าไป!?”

ชิงอวี่ขมวดคิ้ว แขนที่ถูกบีบรู้สึกเจ็บเล็กน้อย นางบิดแขนหลุดออกมาอย่างชำนาญ จากนั้นก็ถอยห่างออกมาท่าทางสุขุม แล้วเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ข้าแค่บังเอิญหลงทางเท่านั้น เดินหลงอยู่นานก็หาคนมาถามทางไม่ได้สักคน กว่าข้าจะหาทางกลับมาได้มันไม่ง่ายเลยท่านรู้บ้างหรือไม่?”

“เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?” เยว่เฝินขมวดคิ้ว มองนางด้วยสายตาเคลือบแคลง

ชิงอวี่เลิกคิ้วมองเขา “หากข้าคิดหนีจริง ท่านคิดหรือว่าจะได้ยืนจ้องหน้าข้าอยู่เช่นตอนนี้?”

เยว่เฝินถูกคำนางตีเสียตรงจุด ริมฝีปากเม้มแน่นไม่เอ่ยคำ ไม่คิดจะถามอะไรนางอีก ตวัดสายตามองคนที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่แล้ว นัยน์ตาก็พลันส่องแววหุนหัน สะบัดแขนเสื้อเอ่ยคำไม่ใส่ใจขึ้น “พวกเจ้าไปได้!”

ทุกคนได้ยินแล้วก็ประหลาดใจ นี่พวกเขา….. รอดพ้นความตายมาได้แล้วใช่หรือไม่?

ทุกคนพลันได้สติ เหลือบมองชิงอวี่ด้วยความขอบคุณ ก่อนจะรีบกระจัดกระจายแยกย้ายกันไปทันที

เยว่เฝินยังไม่จากไป หากแต่มองเด็กสาวที่กำลังเดินเข้าไปด้านในช้า ๆ ราวกับอีกฝ่ายไม่เห็นว่าเขายืนอยู่ ท่าทางนางง่วงเหงาหาวนอน ค่อย ๆ ปีนขึ้นเตียงเมฆไป

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” เยว่เฝินถามเสียงเย็นไร้อารมณ์

“นี่ก็ดึกมากแล้ว หากไม่ใช่ไปนอนข้ายังจะไปทำอะไรได้อีกเล่า?”

ชิงอวี่กลอกตาไร้คำจะเอ่ย เห็นเขายังยืนนิ่งไม่ไหวติง นัยน์ตาก็พลันฉายแววซุกซน ก่อนจะยกมือขึ้นเท้าคางแล้วยิ้มบางเอ่ยคำ เอนศีรษะไปข้างหนึ่งน้อย ๆ

“จู่ ๆ ท่านเยว่เฝินมาห่วงใยข้าเช่นนี้ แม้จะดึกมากแล้วก็ยังไม่กลับไปพักผ่อน อีกทั้งก่อนหน้ายังพาคนมาตามหาข้าเสียตั้งมาก หรือว่าท่านจะ….. มีใจให้ข้าจริง ๆ?”

ใบหน้านางก็งดงามยั่วยวนมากพออยู่แล้ว เมื่อจงใจเผยสีหน้าเย้าแหย่เช่นนี้ ไม่ว่าชายใดได้เห็นก็คงไม่อาจรอดพ้น ถูกนางยั่วยวนเข้าจนได้

เยว่เฝินอยู่ในอารามศักดิ์สิทธิ์มาหลายร้อยปี แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยพบสตรีมาก่อน เพียงแต่ไม่เคยพบที่ใจกล้าหน้าทนอย่างชิงอวี่ก็เท่านั้น นอกจากนางจะไม่กลัวใบหน้าถมึงทึงของเขาแล้ว ยังกล้าหยอกเอินเขาเล่นอีกต่างหาก

เห็นสีหน้าเขาทะมึนลงเรื่อย ๆ ชิงอวี่ก็แสร้งทำหน้าประหลาดใจแล้วกะพริบตาปริบ ๆ “อุ๊ย นี่ข้าเดาถูกหรือ? จริง ๆ แล้วท่าน…..”

อาจเพราะนางหยอกเอินมากเกินไป ใบหน้าไร้อารมณ์ที่ดูเครียดขึงอยู่ตลอดของเยว่เฝินจึงเริ่มเผยแววโกรธขึ้นมาเป็นคราแรก “เจ้านี่เป็นสตรีที่ไม่อาจไร้ยางอายไปมากกว่านี้ได้อีกแล้วกระมัง เจ้าคิดหรือว่าด้วยหน้าตาของเจ้า….”

เขาหมายจะเยาะชิงอวี่ว่านางนั้นงามไม่พอให้เขาชายตามอง แต่เมื่อได้จ้องใบหน้างามไร้ที่ติของนางแล้ว เขากลับพบว่าตนเองพูดไม่ออก

ส่วนชิงอวี่ก็จ้องตาล้อเขา “หือออ? ท่านจะพูดอะไรนะ?”

เยว่เฝินเหมือนจะกัดฟันอยู่เงียบ ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เป็นตอนที่หันหลังไปแล้วเท่านั้นเขาจึงเอ่ยเสียงเรียบขึ้น “เจ้าอย่าได้มีความคิดน่าขันอะไรอีกจะดีกว่า หากไม่อยากให้คนพวกนั้นตายเพราะเจ้าก็สมควรจะรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวเสียบ้าง ท่านเจ้าอารามสั่งมาว่าให้เจ้าไปทำงานที่วิหารนักบวช”

พูดจบเขาก็เดินจากไปไม่หันกลับมาอีก

ชิงอวี่หรี่ตายกมือลูบคางตน

วิหารนักบวช….. คงไม่ไปเจอบุรุษคนเมื่อวานกระมัง?

คนผู้นั้นเหมือนจะสัมผัสกลิ่นอายนางได้ หากนางถูกส่งไปใกล้เขา ไม่นานอาจถูกเขาจับได้

คิดได้ดังนั้น ชิงอวี่จึงหันไป กำลังจะอ้าปากพูด อากาศเบื้องหน้าพลันถูกบิดเบือน ร่างสูงสง่าก้าวออกมาจากรอยแยกทันใด

จะเป็นใครไปได้อีก นอกจากโหลวจวินเหยาที่แอบเข้ามาที่ห้องนอนของนางอยู่ทุกคืน?

พริบตาที่เขาปรากฏกาย เขาก็ตรงมายังเตียงเมฆนุ่มนิ่มทันที จากนั้นก็อ้าแขนโอบร่างเด็กสาวให้เอนพิงอกเขาท่าทางน่าสบายนัก ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มน่าฟังขึ้น “เจ้าไปไหนมา?”

“หือ?” ชิงอวี่เลิกคิ้วมอง “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าวันนี้ข้าออกไปไหน?”

หรือเขาจะมาหาก่อนหน้านี้?

โหลวจวินเหยาหัวเราะเบา ๆ ก่อนนิ้วเรียวจะเอื้อมผ่านแก้มนางไปช้า ๆ นางจ้องเขาด้วยสีหน้าฉงน เขาพลันถูจุดที่ถูกผมยาวสีดำปิดบังไว้เบา ๆ และเมื่อเก็บมือกลับมา นัยน์ตาเฉียบคมของชิงอวี่ก็พลันเห็นว่าปลายนิ้วเนียนนั่นมีอะไรสีดำ ๆ ติดอยู่

นั่นเป็นรอยที่ได้จากตอนที่เขาป้ายเอารอยดำที่หลังแก้มนางออกมา

ชิงอวี่เบิกตากว้าง

นั่นมัน…..

หรือตอนที่อยู่ในตำหนักทรุดโทรมนั่นนางจะไปถูกับอะไรเข้าจนมีรอยติดมาเช่นนี้?

“หากเปื้อนผิวแล้วจะล้างออกได้ยากมาก ทั้งยังมีกลิ่นพิเศษอีกด้วย” โหลวจวินเหยาว่า จากนั้นยื่นนิ้วไปใกล้จมูกนางแล้วขยับเล็กน้อย

นางได้กลิ่นไม้จาง ๆ แม้มันจะจางมาก แต่นักปรุงยานั้นเกิดมาพร้อมความสามารถในการดมกลิ่นที่พิเศษกว่าคนทั่วไป แม้กลิ่นจะเบาบางขนาดไหนก็ไม่อาจรอดพ้นจมูกพวกเขาไปได้

คิดแล้วชิงอวี่ก็เสียวสันหลังวาบ เคราะห์ดีนักที่เยว่เฝินไม่ใช่นักปรุงยา ไม่เช่นนั้นนางก็คงถูกเปิดโปงไปแล้ว!

ชิงอวี่ไม่เห็นหน้าตนเอง ดังนั้นจึงเงยหน้ามอง โหลวจวินเหยา “เลอะหน้าข้ามากหรือไม่?”

“แค่เล็กน้อยเท่านั้น” โหลวจวินเหยาตอบ

จากนั้นเขาก็ร่ายวิชาน้ำ ร่องรอยเล็ก ๆ บนใบหน้านางพลันหายไปไม่เหลือร่องรอย

“เสร็จแล้ว” โหลวจวินเหยาเอ่ย จากนั้นก็กอดร่างนุ่มในอ้อมแขน นิ้วม้วนผมสีดำสนิทของนางเล่น “บอกได้หรือยังว่าวันนี้ออกไปไหนมา?”

“อืม วันนี้ข้าพบคนสำคัญคนหนึ่ง เป็นสตรีที่เคยเป็นผู้ช่วยของท่านแม่”

นางพูดไป สายตาก็จับจ้องไปยังจุดหนึ่ง จากนั้นเอ่ยเสียงเบาออกมา “ชื่อเยว่ ท่านออกมาได้แล้ว”

ด้วยนางกลัวว่าอีกฝ่ายอยู่คนเดียวแล้วจะเป็นอันตราย ชิงอวี่จึงพานางมาด้วย อีกฝ่ายร่างกายอ่อนแอบอบบางคล้ายวิญญาณล่องหน ดังนั้นชิงอวี่จึงซ่อนนางไว้ได้ไม่ยาก

ได้ยินเสียงเรียกชิงอวี่แล้ว ร่างของชื่อเยว่ก็มีรูปร่างขึ้นมา พริบตาที่เห็นโหลวจวินเหยา ร่างกายนางก็แข็งค้าง ใบหน้าตื่นตะลึงเป็นยิ่งนัก

นัยน์ตาที่ม่วงที่คุ้นตานั่น ทั่วทั้งแดนเมฆาสวรรค์มีเพียงหนึ่งเท่านั้น

เป็นเด็กคนนั้นที่มักอยู่กับองค์หญิงบ่อย ๆ ส่วนตัวตนที่แท้จริงของเขานั้น…..

“ทำความเคารพท่านจอมมาร!”