บทที่ 246 ชื่อแสดงความรัก
บทที่ 246 ชื่อแสดงความรัก

ชื่อเยว่มีท่าทีกะทันหันนัก ทำให้คนทั้งสองชะงักไปครู่หนึ่ง

โหลวจวินเหยาใช้หางตามองนาง คลี่ยิ้มแทบมองไม่เห็น เอ่ยเสียงสงบขึ้นว่า “รู้จักข้าด้วยหรือ?”

น้ำเสียงนั้นเจือด้วยแววอันตราย

ชิงอวี่ดึงแขนเสื้อเขาไว้ เอ่ยเสียงกระซิบ “ท่านไม่ต้องทำเข้มเช่นนั้น นางพวกเดียวกับเรา”

โหลวจวินเหยาก้มหน้ามองชิงอวี่ นัยน์ตาเขาดูไม่เชื่อใจสตรีผู้นั้นสักนิด

เห็นแล้วชื่อเยว่จึงยกยิ้ม “ท่านจอมมารคงจะจำข้าไม่ได้แล้วกระมัง ตอนนั้นท่านยังเด็กมาก แต่นัยน์ตาสีม่วงของท่าน ไม่ว่าใครมองก็ไม่อาจลืม”

“เจ้าเป็นใครกันแน่?” โหลวจวินเหยาขมวดคิ้ว ได้ยินคำนางแล้ว เหมือนว่านางจะรู้จักเขามาก่อน

ชื่อเยว่ถอนหายใจแผ่ว น้ำเสียงเจือแววเยาะตนเองไปด้วย “ใช่แล้ว อารามจันทร์กระจ่างในตอนนี้ ใคร ๆ ก็คงจะรู้จักแต่คนที่อยู่เหนือทุกคนเป็นรองเพียงหนึ่ง นั่นคือหัวหน้านักบวชชางเจี้ยน เป็นคนที่ทันเห็นตอนพระเจ้ายังอยู่กับเรา ชางเจี้ยนผู้นั้น….. แต่ก่อนเป็นเพียงชื่อที่ไม่เคยมีใครได้ยิน”

ส่วนนางตอนนั้นเป็นหนึ่งในสิบหัวหน้านักบวชที่มีอนาคตไกล ทว่าตอนนี้กลับถูกทำลายพลังบำเพ็ญสิ้น ทั้งอ่อนแอบอบบาง เป็นตัวไร้ค่าที่เพียงแค่โดดแสงแรงหน่อยก็อาจถึงแก่ชีวิตได้

ราวกับว่าความทรงจำทั้งหลายในอดีตถาโถมเข้ามาในใจนางนั้นรุนแรงนัก ชื่อเยว่พลันรู้สึกเพลีย นางโค้งคำนับคนทั้งคู่ช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เลือนหายไป

“นางคือชื่อเยว่ เคยเป็นผู้ช่วยคนสนิทของท่านแม่” ชิงอวี่อธิบาย

นางย่อมเชื่อคำชื่อเยว่ อาจเพราะผ่านมาสองชาติแล้ว นางได้พบเจอคนมากมาย ทำให้สามารถแยกคนเสแสร้งกับคนจริงใจออกได้

ตั้งแต่พริบตาที่นางปรากฏตัวขึ้นที่นอกตำหนักร้างนั่น ชิงอวี่ก็เห็นนัยน์ตาที่แห้งเหี่ยวราวกับธุลีเพลิงกลับส่องประกายด้วยความหวัง เป็นความปีติยินดีที่มาจากก้นบึ้งหัวใจ

ได้ยินชิงอวี่อธิบายแล้ว โหลวจวินเหยาจึงคลายท่าทีเคร่งเครียดลงบ้าง เขาหรี่ตามองจุดที่สตรีผู้นั้นหายไป ราวกับเพิ่งนึกบางอย่างได้ สีหน้าดูประหลาดใจยามเอ่ยคำ “ร่างเนื้อนาง….. ตายไปแล้วหรือ?”

จริง ๆ แล้วนับตั้งแต่นางปรากฏตัวขึ้น เขาก็น่าจะเห็นแล้วว่ามีเรื่องผิดปกติ แต่ความระแวดระวังทำให้เขาไม่ทันสังเกต ตอนนี้เพิ่งจะทันเห็นเท่านั้น

ชิงอวี่รีบเอ่ย “ข้าอยากถามมาตั้งนานแล้ว หากถูกคำสาปแล้วร่างถูกทำลายไปเรื่อย ๆ เช่นนี้ ยังมีทางรักษาหรือไม่?”

“คำสาปหรือ?” โหลวจวินเหยาส่งเสียงหึหยัน “มีแต่พวกคนจากอารามศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ที่จะทำเช่นนี้ได้”

“พวกข้ามีผู้ฟื้นวิญญาณอยู่ในแคว้นมาร สามารถรักษาผู้บำเพ็ญที่วิญญาณบาดเจ็บหนักหรือแตกสลายได้ แต่หากเป็นสถานการณ์เช่นนาง…..” โหลวจวินเหยาหยุดไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยต่อ “พลังจากคำสาปนั้นไม่เหมือนพลังจากอำนาจอื่น เพราะมันเป็นพลังชั่วร้ายนอกรีต ข้าไม่อาจมั่นใจได้”

ชิงอวี่ตาเป็นประกาย “แสดงว่าก็ยังมีโอกาส ดีเลย! เช่นนั้นเรื่องนี้ข้าฝากท่านด้วย”

เด็กสาวใช้นัยน์ตาเป็นประกายมองเขา ดูเหมือนเด็ก ๆ ที่เพิ่งได้ขนมกำลังดีอกดีใจใหญ่

โหลวจวินเหยาหลุดหัวเราะ นิ้วเรียวยาวไล้ผมนาง น้ำเสียงทุ้มต่ำอ่อนโยน “เจ้าต้องมากพิธีกับข้าเช่นนั้นเลย? หากข้าทำให้ได้ ข้าย่อมทำทุกอย่างเพื่อช่วยเจ้า”

ชิงอวี่ยิ้มตาหยีก่อนเงยหน้าขึ้นสบนัยน์ตาสีม่วงอ่อนโยนของชายหนุ่ม มันล้ำลึกราวกับเป็นบ่อน้ำสีม่วงที่ไร้ก้นทีเดียว

แม้มันจะดูลึกลับอันตรายยิ่ง แต่ในใจนางรู้ดีว่านัยน์ตาคู่นั้นมีความจริงใจตั้งใจจริงอยู่ด้วย ไร้ซึ่งแววหลอกลวงใด ๆ

“อะไรหรือ?” เห็นนางสายตาแปลก ๆ โหลวจวินเหยาจึงถามขึ้น “ทำไมมองข้าเช่นนั้น?”

ชิงอวีส่ายหน้าพลางหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยคำที่ไม่เคยพูดมาก่อนออกมาด้วยแรงอารมณ์ “ข้าเพียงคิดว่าข้าชอบหน้าตาจริงใจของท่านยามที่บอกว่ายอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือข้า”

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่บุรุษจอมวางท่าหยิ่งผยองกลายเป็นยอมให้นางทุกครั้ง แม้แต่คราวที่นางเองก็จัดการปัญหาเองได้ ไม่ว่าจะยุ่งยากเพียงไหน จะต้องบาดเจ็บหลั่งเลือด หรือเจ็บปวดเขาก็ยอมทำเพื่อนาง

เขาตั้งมั่นแน่วแน่ ไม่ยอมให้นางต้องพบอันตรายใด จนกระทั่งหากนางยินยอม เขาก็สามารถคุ้มครองนางดั่งนกคีรีบูนได้

หากเป็นนางในชาติก่อนได้คนมาใส่ใจดูแลนางถึงเพียงนี้ แม้จะแบ่งแค่เสี้ยวหนึ่งของความใส่ใจให้นางก็ตาม นางก็คงไม่กลายเป็นคนน่าเศร้าถึงเพียงนี้หรอก!

“ซื่อบื้อจริง”

เหมือนเขาจะสัมผัสอีกอารมณ์หนึ่งในนัยน์ตายิ้มของเด็กสาวได้ โหลวจวินเหยาจึงรั้งร่างนางแนบอก กอดนางแน่นเสียจนนางเริ่มเจ็บ

แต่แม้จะรู้สึกไม่สบายตัวนัก ชิงอวี่ก็ไม่คิดต่อต้าน

พริบตาต่อมา นางก็ได้ยินน้ำเสียงทุ้มดังขึ้นเหนือศีรษะ “เจ้ารู้สึกหรือไม่?”

“อะไรหรือ?” ชิงอวี่ถามหน้าฉงนเล็กน้อย

“ว่าตอนนี้เจ้าอยู่ในอ้อมกอดข้า” โหลวจวินเหยาเสียงแหบห้าวเล็กน้อย มือลูบหลังเด็กสาวอย่างอ่อนโยนราวกับกำลังปลอบโยนนางอยู่

ชิงอวี่เงียบไป

จู่ ๆ นางก็นึกถึงชาติก่อน ไม่อาจแยกแยะได้ว่าตอนนี้เป็นเพียงเรื่องที่นางคิดขึ้นเองหรือเรื่องจริงกันแน่

ใช่แล้ว นาง….. ไม่ใช่ตัวนางในชาติก่อนอีกต่อไป

และตอนนี้นาง….. ก็ไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว

ชิงอวี่หลับตาแน่น พลันยืดแขนโอบรอบเอวเขา ก่อนเอ่ยเสียงอ่อนโยนขึ้น “โหลวจวินเหยา…..”

“อืม”

เขาตอบรับ รอให้นางว่าต่อเงียบ ๆ แม้นางจะไม่เอ่ยคำอีกนานก็ตาม

เขารู้จักนางมานาน ไม่เคยเห็นเจ้าตัวเล็กดูเศร้าโศกเพียงนี้ เขาจึงพยายามอ่อนโยนกับนางที่สุด ปลอบโยนคนตัวเล็กที่ตอนนี้ดูเปราะบางเป็นพิเศษ

นางกอดเขาแน่นไม่เอ่ยคำจนเขาคิดว่านางคงจะผล็อยหลับไปแล้ว ดังนั้นจึงขยับตัวเล็กน้อย เป็นตอนนั้นที่นางพึมพำเสียงเบาแทบไม่ได้ยินออกมา

“เจ้าว่าอะไรนะ?” เสียงนางเบามากจนเขาไม่ได้ยิน

มือที่โอบรอบเอวค่อย ๆ กำแน่น เนื้อผ้าที่ถูผิวให้ความรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย

“เหยา” ในที่สุดนางก็เอ่ยเสียงเบาออกมา

โหลวจวินเหยาอึ้งไปนานกว่าจะตั้งสติได้ “เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่า….. เหยางั้นหรือ?”

“อืม” ชิงอวี่เงยหน้าที่อิงแอบกับอกเขาเมื่อครู่ขึ้น ในดวงตางามชวนให้หลงใหลที่มักแสร้งรอยยิ้มอยู่ตลอด ในตอนนี้กลับเห็นความปีติยินดีไม่ปิดบัง

“ข้าชอบให้เจ้าเรียกเช่นนั้น ดูสนิทสนมกันดี ข้าชอบมาก”

คนจู้จี้จุกจิกเช่นเขากลับเอ่ยปากว่า “ชอบ” ติดต่อกันสองครั้งสองคราเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาชอบมันมากเพียงไหน

ชิงอวี่ส่งยิ้มตอบ หากแต่เมื่อได้ยินคำต่อมา นางก็หลุดหัวเราะเสียงดังออกมาด้วยความขบขัน

“มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าตอนข้าอิจฉาเพียงไหนยามได้ยินเจ้าเรียกเจ้านั่นว่าเสี่ยวเยี่ย เสี่ยวเยี่ย ทุกคราที่พวกเจ้าพบกัน”

น้ำเสียงเขาทั้งดุทั้งเคร่งขรึม หากฟังดี ๆ จะเห็นว่ามีความน้อยใจเจืออยู่เล็กน้อยด้วย

ชิงอวี่หัวเราะเสียงดัง “ก็เป็นเพียงการเรียกชื่อเท่านั้น เรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นยังต้องจับผิดด้วย?”

“ย่อมต้องจับผิด! ยิ่งต้องจับผิดทีเดียว!” โหลวจวินเหยาทำหน้าเคร่งพยักหน้าขึ้นลง “พอมาได้ยินเทียบกันเช่นนี้แล้วก็เห็นได้ชัดว่าชื่อไหนสนิทสนมกว่ากัน ไม่ว่าจะฟังอย่างไร เหยาก็เป็นชื่อที่ใกล้ชิดสนิทสนม ดูเป็นที่รักกว่าเสี่ยวเยี่ยนัก”

“ท่านนี่พึงพอใจง่ายเหลือเกินเนอะ?” ชิงอวี่เอ่ยหยอก ยกมือขึ้นหยิกแก้มหล่อ ๆ นั่น

โหลวจวินเหยายิ้ม กุมมือที่กำลังทำร้ายใบหน้าเขาแล้วกำมันไว้แน่น “ครั้งนี้ข้ามาเพราะมีเรื่องอยากบอก”

“หืมมม?”

“ข้าให้ไป๋จือเยี่ยนลงไปพาเสี่ยวเป่ยจากแดนมุกหยกมาที่นี่แล้ว”

ชิงอวี่จ้องเขาเบิกตากว้าง “ท่านพาเสี่ยวเป่ยมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ห้าวันก่อน” โหลวจวินเหยาตอบ

“แล้วทำไมเพิ่งบอกข้าเล่า?” ชิงอวี่จ้องเขาสายตาขุ่นเคืองอยู่บ้าง เขามาหานางทุกวัน แต่ผ่านไปนานเพิ่งจะมาบอก

โหลวจวินเหยายิ้มก่อนเอ่ย “เดิมทีข้าไม่คิดบอกเจ้าด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อแผนมีการเปลี่ยนแปลง ข้าจึงตัดสินใจบอกเจ้าให้เร็วขึ้น”

“มันแผนอะไรของท่านกัน?”

“ตอนแรกข้าตั้งใจจะส่งเสี่ยวเป่ยไปหาบิดาเขา แต่คนผู้นั้นกลับเพิ่งออกจากชนเผ่าหมานไป ข้าจึงคิดว่านี่นับเป็นการฝึกฝนให้เสี่ยวเป่ยก็แล้วกัน ให้เขาเดินทางไปหาบิดาเอง” โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย

ชิงอวี่ฟังเขาพูดจนจบ ก่อนส่งสายตาเคลือบแคลงให้ “ท่านคิดวางแผนอะไรไว้?”

“หือ?”

“ข้ารู้สึกว่าท่านไม่ค่อยชอบท่านพ่อนัก อาจจะเรียกเกลียดเลยก็ว่าได้ แต่ตอนนี้ท่าน….. กลับทำตัวเป็นคนดี ส่งเสี่ยวเป่ยให้กลับไปพบหน้าเขา” ชิงอวี่ค่อย ๆ เอ่ยความสงสัย

โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว เหมือนไม่คิดว่าความไม่ชอบต่อคนผู้นั้นของเขาจะเห็นเด่นชัดเพียงนี้

“ข้าไม่ชอบเขาจริง ๆ เพราะเขาปกป้องอาหลานให้ดีไม่ได้ กระทั่งทำให้เจ้ากับเสี่ยวเป่ยต้องถูกทิ้งไว้ที่แดนต่ำ ลำบากยากเข็ญมาหลานปี แค่เรื่องนั้นก็ทำให้ข้าเกลียดเขาแล้ว” ยามพูด น้ำเสียงโหลวจวินเหยาก็เต็มไปด้วยแววดูถูก

แต่เขาก็มีท่าทีจนใจ ก้มหน้าลงเอ่ยคำกับชิงอวี่ “แต่ใครใช้ให้ข้ารักลูกสาวของเขามากเช่นนี้กัน? เพราะฉะนั้นถึงเขาจะเป็นบิดาที่ไม่ดีเท่าไหร่ ข้าก็ไร้ทางเลือก ต้องแสดงความเป็นมิตรกับเขาบ้าง เขาจะได้ไม่ขัดขวางพวกเราเพราะไม่ชอบขี้หน้าข้า”

ได้ยินแล้วชิงอวี่ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร นางอยากหัวเราะเยาะเขา แต่ก็รู้สึกว่าอีกฝ่าย….. น่ารักเกินต้านทานเช่นกัน

โหลวจวินเหยาไม่ทันตอบ ชิงอวี่ก็ดึงคอเขาลงมา ก่อนจะมอบจุมพิตให้ใบหน้าหล่อเหลานั่นแล้วขยิบตาให้หนึ่งคราอย่างเจ้าเล่ห์ “ท่านไม่ต้องห่วง ท่านพ่อต้องชอบท่านแน่”

แต่บุรุษที่โหลวจวินเหยากำลังพูดถึงนั้น ตอนนี้กำลังยืนอยู่ในสถานที่ที่ยิ่งใหญ่อีกแห่งนอกจากยอดเขาใจสงบอันลึกลับ นั่นคือตำหนักเจ้านรกนั่นเอง

ม่อจิ่งอวี้ไม่ได้กลับมาที่นี่มากว่าร้อยปี แต่ทุกอย่างยังเป็นเช่นเดิมไม่ผิดเพี้ยน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปสักนิด ยามเห็นเขากลับมาอีกครั้ง คนที่นั่นก็ไร้สีหน้าประหลาดใจ ทำราวกับเขาไม่เคยจากไปเสียอย่างนั้น

คนในตำหนักเจ้านรกรักสันโดษและเย็นชา ไร้ความรู้สึกความกระหายอยาก นับเป็นสถานที่ที่เยียบเย็นที่สุดบนแดนเมฆาสวรรค์