บทที่ 247 ข้าเชื่อว่าท่านต้องปกป้องข้า

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 247 ข้าเชื่อว่าท่านต้องปกป้องข้า
บทที่ 247 ข้าเชื่อว่าท่านต้องปกป้องข้า

ไม่เพียงแค่คนเท่านั้น สภาพอากาศเองก็ด้วย

ทั่วทั้งปีมีแต่หิมะขาวปกคลุม อากาศหนาวเหน็บ ผืนดินมีแต่น้ำแข็ง

ทุกคนที่นั่นล้วนบำเพ็ญตน ฝีมือสูงส่ง ไม่กลัวความหนาวเย็น ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือพลังบำเพ็ญล้วนแข็งแกร่ง พวกเขาอยู่ในสภาพอากาศเช่นนั้นทั้งปี ย่อมไม่ถูกความหนาวทำร้ายมากมาย

แต่คนธรรมดาย่อมไม่อาจต้านความหนาวของสถานที่นี้ได้ เช่นชิงหลานเฟยที่พลังบำเพ็ญไม่แกร่งเช่นกาลก่อน แม้นางจะกัดฟันทนความหนาว แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถห้ามไม่ให้ร่างกายสั่นสะท้านได้

เคราะห์ดีที่ม่อจิ่งอวี้คิดไว้แล้วว่าร่างกายอ่อนแอบอบบางของนางคงไม่อาจทนไหว ดังนั้นจึงเตรียมพร้อมมาแล้ว

ชิงหลานเฟยเพิ่งเริ่มรู้สึกหนาวหน่อย ๆ พลันรู้สึกหนักที่ไหล่ขึ้นมา ก่อนจะพบว่าทั้งร่างถูกความอบอุ่นปกคลุม นางเงยหน้าขึ้นมองม่อจิ่งอวี้ เห็นเขากำลังก้มหน้าผูกชุดคลุมขนจิ้งจอกให้นางอยู่

เมื่อเห็นสายตานาง เขาก็เผยยิ้มอ่อนโยนออกมา ใช้มือใหญ่กุมมือน้อยไว้ “ยังหนาวอยู่หรือ?”

ชิงหลานเฟยพลันรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ก่อนส่ายหน้าเบา ๆ “ข้าไม่หนาว ทว่ารู้สึกดีมาก”

ซิวอี้หรานที่เดินนำหน้าหยุดมองคนทั้งคู่ นัยน์ตาฉายแววขำขัน ก่อนจะเอ่ยล้อขึ้น “เจ้านี่พอมีสตรีข้างกายแล้วก็เปลี่ยนไปมาก กลายเป็นคนช่างเอาใจใส่อ่อนโยนขึ้นมากทีเดียว”

ว่าแล้วเขาก็มองหน้าสตรีที่หน้าซีดอยู่บ้างแล้วหัวเราะ “เสี่ยวหลานเฟย ทำไมเจ้ากับข้าไม่ไป เรือนไหมทอง ไปหาที่นั่งพักที่นั่น หมอนี่จะได้ไปคุยกับพี่ใหญ่ ในนั้นอุ่นกว่ามากเชียวนะ”

ชิงหลานเฟยชะงักไป ยังไม่ทันพูด ม่อจิ่งอวี้ก็เอ่ยขึ้น “ไม่ต้องหรอก เฟยเอ๋อร์อยู่ข้างกายข้าก็ดีแล้ว”

ตลกแล้วกระมัง เขาไม่ได้กลับตำหนักเจ้านรกมาหลายปี จะรู้หรือว่าเปลี่ยนไปมากเพียงไหน แล้วจะปล่อยให้เฟยเอ๋อร์ห่างสายตาในสถานการณ์เช่นนี้น่ะหรือ?

ซิวอี้หรานได้ยินแล้วก็เลิกคิ้ว “อะไร? เจ้ากลัวว่าข้าจะขโมยตัวนางไปงั้นหรือ?”

เหอะ ใจดีเสียเปล่าจริง ๆ

เขากับชิงหลานเฟย อย่างน้อย ๆ ก็เป็นคนรู้จักกัน และด้วยพลังบำเพ็ญของเขา เขาย่อมรู้ว่านางอยู่ในสภาพไหน ไม่ว่านางจะห่มชุดหนาเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าที่ไหน ๆ ในตำหนักเจ้านรกย่อมเหน็บหนาว ให้นางไปตากไอเย็นนาน ๆ เช่นนั้นย่อมเป็นการทำร้ายนาง

และทั่วทั้งตำหนักเจ้านรก ก็มีแค่ที่ เรือนไหมทอง ที่เดียวเท่านั้นที่อบอุ่นที่สุด

ซึ่งเป็นเรือนของเขาเอง

ซึ่งจะว่าไปก็แปลกไม่น้อย นับตั้งแต่ที่เขาเผลอตกลงน้ำเย็นเฉียบเมื่อครั้งยังเล็ก ร่างกายก็ไม่อาจทนความหนาวเหน็บได้สักนิด หากไอเย็นเข้าร่างจะทำให้เขาเจ็บปวดแสนสาหัส

กระทั่งตอนนี้ที่เดินนำทางคนทั้งสอง เขายังต้องเรียกพลังวิญญาณมาต้านไอเย็นอยู่เลย

ม่อจิ่งอวี้มุ่นคิ้ว หมายจะตอบปฏิเสธไปอีกรอบ แต่มือนุ่มก็แตะหลังมือเขาไว้ น้ำเสียงอ่อนโยนพลันดังขึ้น “จิ่งอวี้ ท่านไปเถอะ ภายในตำหนักเจ้านรก เรือนไหมทอง อาจเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว”

นางย่อมรู้ถึงความกังวลของเขา

เป็นเพราะนาง ม่อจิ่งอวี้จึงจากตำหนักเจ้านรกมา ดังนั้นสถานการณ์ของเขาภายในสถานที่นี้จึงค่อนข้างอันตราย

ตอนนี้คนพวกนั้นอาจยังไม่ลงมือกับนาง แต่หากพวกเขารู้ตัวตนนางแล้ว นางก็คงไม่อาจออกจากตำหนักเจ้านรกทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ได้

ภายในดวงตาที่จ้องตรงมา เขารู้สึกว่านางกำลังพยายามจะสื่อบางอย่างให้เขารับรู้

สุดท้ายแล้ว มือที่กุมนางอยู่จึงคลายออก สีหน้าเขาเคร่งขรึม ก่อนจะหันไปมองซิวอี้หรานจอมหยิบโหย่ง “หากเฟยเอ๋อร์เสียผมสักเส้น ก็ไม่ต้องเรียกข้าเป็นพี่น้องอีก”

พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินจากไปไม่หันมองอีก

ซิวอี้หรานกัดฟันเอ่ยด้วยเสียงแกมหมั่นไส้ “หมอนั่นยังชอบข่มขู่คนเช่นแต่ก่อนไม่เปลี่ยน”

แล้วเขาก็ยังอดกลัวไม่ได้อีก!

พูดแล้วเขาก็มองชิงหลานเฟยที่ยังจ้องแผ่นหลังคนที่เดินจากไปไม่วางตา “เลิกมองได้แล้ว เขาไม่เป็นไรหรอก เจ้าห่วงตนเองเถอะ! หากไม่ได้ข้าปกป้องเจ้า เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าพอพวกเขารู้ว่าเจ้าเป็นสตรีที่ทำให้เจ้านรกของเขาตกหลุมรักหัวปักหัวปำแล้วทิ้งตำหนักเจ้านรกไป พวกเขาย่อมทำลายเจ้าให้สิ้นซากไม่เหลือแม้วิญญาณสักส่วน?”

อารามจันทร์กระจ่างเดิมทีเป็นปฏิปักษ์กับตำหนักเจ้านรกเหมือนน้ำกับไฟ ต่อสู้ประมือกันอยู่ตลอด ทว่าม่อจิ่งอวี้กลับตกหลุมรักศัตรูเข้า สุดท้ายก็ทอดทิ้งตำแหน่งไป ทำให้ทุกคนในตำหนักเจ้านรกเกลียดนางปีศาจยั่วยวนอย่างถึงที่สุด

“ข้าย่อมเชื่อ แต่ข้าเชื่อในตัวท่านมากกว่านิดหนึ่ง” ชิงหลานเฟยก้มหน้าตอบพลางยิ้ม

“เชื่อในตัวข้า?” ซิวอี้หรานมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

“ข้าเชื่อว่าท่านต้องปกป้องข้า” ชิงหลานเฟยตอบ จากนั้นก็ก้าวเท้าเข้าเรือนไหมทองไป

ซิวอี้หรานอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบเดินตามนางไป สายตาซับซ้อนเล็กน้อยยามกล่าว “เจ้ามั่นใจหรือว่าอย่างไรข้าก็จะปกป้องเจ้า?”

เขาเกิดมาฆ่าคนตาไม่กะพริบ เป็นบุรุษเลือดเย็นไร้เมตตา คนนอกยังตั้งฉายาให้เขาว่า “อสูรชั่ว” เลยด้วยซ้ำ แค่ได้ยินชื่อก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดีอะไร

แล้วยัยหนูนี่ไปเอา….. ความมั่นใจนี่มาจากที่ไหนกัน?

แม้นางจะมีใบหน้างดงามนัก แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ยอมจำนนต่อคนงาม

ตอนที่กำลังฉงนอยู่นั่นเอง นางก็หัวเราะเสียงเบาออกมา “เพราะครั้งหนึ่งข้าเห็นท่านคุ้ยกองศพที่เต็มไปด้วยเลือดเพื่อช่วยชีวิตเด็กน้อยคนหนึ่งที่ร้องไห้ไม่หยุดไว้”

“นับแต่นั้นมาก็ลือกันให้ทั่วว่าท่านชั่วร้ายโหดเหี้ยมนัก กระทั่งเด็กตัวเล็ก ๆ ยังไม่รามือ ไม่รู้เลยว่าท่านไม่ได้สังหารนาง เด็กคนนั้นรอดมาจากการต่อสู้ระหว่างขุมพลังทั้งสองได้อย่างปาฏิหาริย์ แล้วท่านก็เป็นคนที่ช่วยนางไว้ กระทั่งคอยดูแลนางอีกต่างหาก”

“พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว!”

ทันใดนั้น น้ำเสียงสดใสก็ดังขึ้นที่เบื้องหน้า เจือไปด้วยแววยินดี

ชิงหลานเฟยเงยหน้ามอง เห็นเป็นเด็กตัวน้อยสวมชุดหนาหลายชั้น ทำให้เหมือนสัตว์ตัวน้อยตัวเงอะงะ ใบหน้าน่ารัก นัยน์ตาเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ด้วยยังไม่รับรู้ความแปดเปื้อนของโลกภายนอก

ซิวอี้หรานเห็นว่าจู่ ๆ นางก็ออกมาจึงมุ่นคิ้ว ดูไม่พอใจเล็กน้อย “ข้าบอกไว้ว่าไม่ให้ออกมาเช่นนี้ไม่ใช่หรือ!? ทำไมเจ้าถึงไม่ฟัง?”

น้ำเสียงเขาไม่ยินดีนัก สีหน้าก็ดูโกรธเล็กน้อย แววปีติบนหน้าเด็กน้อยพลันชะงักค้างไป ก่อนนางจะก้มหน้าลงแล้วเอ่ยเสียงเล็ก “ขออภัยด้วย หนวนหน่วนได้ยินเสียงพี่ใหญ่ อดวิ่งออกมาหาไม่ได้ ครั้งหน้าข้าจะไม่ทำแล้ว”

เห็นนางยอมรับผิดท่าทางเชื่อฟังเช่นนั้น ไม่ว่าซิวอี้หรานจะโกรธเพียงไหน ความโกรธก็พลันสลายไปทันที

อีกทั้งเขายังไม่ได้โกรธนาง เพียงแต่เป็นห่วงว่าวิ่งออกมาแล้วจะพบอันตรายอะไรหรือไม่เท่านั้น

ชิงหลานเฟยเห็นแล้วก็ยกยิ้ม ก่อนจะก้มลงมองเด็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงอ่อน “เจ้าชื่อหนวนหน่วนหรือ? เป็นชื่อที่เพราะไม่น้อยเลย!”

เมื่อเด็กน้อยเห็นสตรีไม่คุ้นหน้า ตอนแรกก็ดูเขินอายไม่สบายใจ แต่อาจเพราะชิงหลานเฟยนั้นน่ารัก ให้ความรู้สึกเป็นกันเอง เด็กน้อยพลันลืมความไม่สบายใจ ยิ้มตอบนางท่าทางเขินอาย “อื้ม พี่ใหญ่เป็นคนตั้งให้”

ได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มชิงหลานเฟยยิ่งอบอุ่นกว่าเก่า “ทำไมหนวนหน่วนไม่ไปเล่นสนุกสักหน่อยเล่า? พี่ใหญ่ของเจ้ากับข้ามีเรื่องต้องคุยกัน เข้าอยู่ฟังอาจจะเบื่อได้”

แม้หนวนหน่วนจะยังเด็ก แต่ก็ฉลาดมีไหวพริบยิ่ง ได้ยินคำชิงหลานเฟยแล้ว นางก็เข้าใจทันทีว่าเป็นเรื่องไม่ควรอยู่ฟัง นางเป็นเด็กที่เชื่อฟังคำคนมาตลอด จึงพยักหน้าแล้วกลับเข้าเรือนไปทันที

ซิวอี้หรานเห็นแล้วประหลาดใจ เจ้าเด็กผีน้อยปกติฟังแต่เขาไม่ฟังใครอื่นเลย

ทั้งตระกูลนางล้วนถูกสังหารไปแล้ว คราแรกที่พานางกลับมา นางเหมือนเม่นตัวน้อยระแวดระวัง ไม่วางใจกับใคร ยังดีที่เวลาผ่านไปแล้วนางก็ค่อย ๆ เชื่อใจเขา

แต่เมื่อครู่ชิงหลานเฟยพูดไม่กี่คำ กลับทำให้เจ้าเด็กน้อยเชื่อฟังแล้วเดินจากไปโดยง่ายเช่นนี้เลยหรือ?

“นี่ เจ้าเข้ากับเด็กได้ดีเลยนี่” ซิวอี้หรานหัวเราะ

“หากจำไม่ผิด ข้าจำได้ว่าแต่ก่อนท่านมีแฝด ชื่อว่าหนวนหน่วน” ชิงหลานเฟยคลี่ยิ้มมองไม่เห็น “คนที่มีจิตใจอ่อนโยนขนาดนั้น ข้าไม่คิดว่าจะเป็นคนเลวไปเสียทั้งหมด ข่าวลือก็เป็นเพียงข่าวลือ จะเชื่อทั้งหมดไม่ได้หรอก”

มุมปากซิวอี้หรานกระตุกยิก ๆ “น่ากลัวจริง ๆ ข้ายังไม่รู้เลยว่ามีเรื่องไหนที่หลุดรอดหูตาเจ้าไปได้บ้าง”

“เจ้ารู้ไหม….. หากแฝดข้าหนวนหน่วนโชคดีมีคนช่วยไว้ นางก็คงอายุพอ ๆ กับเจ้าแล้ว คงจะมีคนรักที่ปฏิบัติต่อนางด้วยความจริงใจ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”

จู่ ๆ เสียงซิวอี้หรานก็แตกพร่า ทอดสายตามองไปไกล เหมือนตกอยู่ในภวังค์ หลุดลอยกลับไปยังอดีต

ชิงหลานเฟยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปตบหลังเกร็งของอีกฝ่าย “นางต้องมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขปลอดภัยอยู่บนโลกใบอื่นเป็นแน่ มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขเพื่อท่าน”

“อีกทั้ง ฟ้าก็เห็นใจท่าน จึงส่งหนวนหน่วนน้อยมาอยู่เป็นเพื่อนไม่ใช่หรือ?”

หนวนหน่วนยังเดินไปได้ไม่ไกล แม้จะไม่ได้ยินบทสนทนา แต่ก็ยังเห็นทั้งสอง สองมือน้อยค่อย ๆ ปั้นหิมะเป็นก้อน ก่อนจะรู้สึกถึงสายตาของสตรีผู้นั้นมองมายามเงยหน้าขึ้น

ชิงหลานเฟยส่งยิ้มพลางโบกมือให้ เด็กน้อยนัยน์ตาเป็นประกาย รีบเดินย่ำหิมะมาโดยเร็ว

นางเหลือบมองซิวอี้หรานอย่างระวัง ก่อนเอ่ยเสียงอ่อนถามชิงหลานเฟย “พี่สาวคุยกับพี่ใหญ่เสร็จแล้วหรือ?”

“อืม” ชิงหลานเฟยพยักหน้ายิ้ม ๆ “พี่ใหญ่ของเจ้าบอกก่อนหน้านี้ว่าเขาเกลียดตนเอง เพราะเขาเป็นปีศาจชั่วร้ายที่มือเปื้อนเลือด”

นางพูดจบปุ๊บ เด็กน้อยที่มีท่าทางขี้อายอ่อนแอตรงหน้ากลับเปลี่ยนเป็นคนละคนในฉับพลัน ใบหน้าแสดงความขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก เสียงที่เปล่งออกมาราวกับเสียงอสูรคำรามก็มิปาน

“เขาไม่ได้ชั่วร้ายสักหน่อย! พี่ใหญ่เป็นคนที่ดีสุดในใต้หล้านี้แล้ว!”

อาจเป็นครั้งแรกที่ซิวอี้หรานได้เห็นนางโกรธเช่นนี้ จึงอึ้งไปอย่างเห็นได้ยาก

ชิงหลานเฟยเม้มปากกลั้นขำ ก่อนจะตีหน้าเครียดแล้วพยักหน้าเอ่ยเสียงใส “อืม ข้าก็คิดว่าเขาเป็นคนดีเช่นกัน”

เห็นว่านางเห็นด้วยกับตน หนวนหน่วนน้อยจึงคลายใบหน้าโกรธขึ้งราวกับอสูรตัวน้อยลง ก่อนจะเล่นกับนางอย่างมีความสุขอีกครั้งหนึ่งราวกับเด็กตัวน้อยไม่มีผิด

ซิวอี้หรานเงียบไปนาน ก่อนจะก้มหน้าลงพึมพำเยาะตนเอง “ไม่ว่าใครก็เกลียดเจ้าไม่ลงจริง ๆ”

ที่อีกฟากหนึ่ง ม่อจิ่งอวี้จำทางได้จึงมุ่งหน้าไปโดยง่าย ในใจพลันมีความรู้สึกซับซ้อนพุ่งขึ้นมาขณะกำลังก้าวขาเข้าไป

ระหว่างทางมาที่นี่ ซิวอี้หรานบอกว่านับตั้งแต่เขาจากไป คนคนนั้นก็ไม่ก้าวเท้าออกจากที่นี่อีก