บทที่ 248 แผนการอีกหนึ่งผุดขึ้นมา

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 248 แผนการอีกหนึ่งผุดขึ้นมา
บทที่ 248 แผนการอีกหนึ่งผุดขึ้นมา

ในใจเขา อีกฝ่ายเป็นเหมือนบิดา อีกทั้งยังเป็นคนที่เหมือนกับพี่ชายของเขาด้วย

แม้อีกฝ่ายจะไม่เคยเป็นคนชั่วช้า แต่ในใจเขาปรีดีว่าอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนดีเลิศเลออะไร

“เจ้ากลับมาแล้ว”

เขากำลังคิดจนใจลอยไปไกลยามได้ยินน้ำเสียงบุรุษดังขึ้น

ดังนั้นจึงหลุดออกจางภวังค์โดยพลัน พบว่าตนเองเผลอเดินเข้ามาในสถานที่พักของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว

เขานั่งหันหลังให้ ในมือยกกาชาขึ้น เหมือนกำลังเตรียมชา เขาอยู่เบื้องหลังฉากกั้นจึงมองร่างไม่เห็นชัดเจนนัก เห็นเพียงไอน้ำจากชาร้อนพวยพุ่งขึ้นมาเท่านั้น

“จะไม่เข้ามาหน่อยหรือ? หึ ๆ เจ้าหายไปนานจนห่างเหินไม่คุ้นที่เลยใช่หรือไม่?” ชายผู้นั้นว่าพลางหัวเราะเบา ๆ

ม่อจิ่งอวี้สีหน้าตกใจ เขาพยายามกดอารมณ์ที่จะเผยออกมานัยน์ตาไว้ ก่อนจะเดินอ้อมฉากกั้นเข้าไป เมื่อไร้ฉากกั้นขวางเงาร่างนั้นไว้แล้ว ม่อจิ่งอวี้ก็เบิกตากว้างกับภาพที่ได้เห็น

“พี่ใหญ่…..”

เขานั่งไขว่ห้างเตรียมชา ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามอง ที่มุมปากมีรอยยิ้มขึ้นมาช้า ๆ จากนั้นก็ต้อนรับเสียงเรียกของม่อจิ่งอวี้ง่าย ๆ “อืม”

ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยนมีเรือนผมสีขาวประดับกวานหยก เผยกลิ่นอายงดงามไร้กาลเวลา

ม่อจิ่งอวี้ก้าวอีกหลายก้าวเข้าไป ก่อนจะก้มลงหยิบผมสีขาวปอยหนึ่งที่ไหล่ขึ้นมา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ “พี่ใหญ่ ผมท่าน….. ทำไมถึงกลายเป็นเช่นนี้…..”

สำหรับคนที่ผ่านเวลามาแล้วนับพันปี แม้จะผ่านไปอีกสักพันปีก็ไม่มีร่องรอยความชราให้เห็น แล้วผมสีขาวเช่นนี้….. มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน?

เขายิ้มแล้วปัดมือม่อจิ่งอวี้ออก “ไม่มีอะไร ก็แค่กลายเป็นสีขาว ข้าไม่ตายหรอก”

“เกิดอะไรขึ้นกับท่าน? ทำไมผมท่านถึงกลายเป็นเช่นนี้!?” ม่อจิ่งอวี้ขมวดคิ้วแน่น ก่อนถามเสียงเข้มขึ้นมา “ท่านไปทำอะไรมา ?”

เมื่อถูกเค้นถามเช่นนี้ เขาก็ถอนหายใจอย่างจนใจ “ข้าก็แค่ต้องแลกอะไรเล็กน้อยเพื่อแลกกับการรักษาใจน้ำแข็งอันเปราะบางของเจ้าอย่างไร หากหัวใจเจ้าไม่ตาย เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่ตาย”

ได้ยินแล้ว มือที่ยกขึ้นของม่อจิ่งอวี้ก็ทิ้งตัวลงไร้เรี่ยวแรง

เขาว่าแล้ว แม้เฟยเอ๋อร์จะสละตนเองและลูก ๆ ไปเมื่อตอนนั้น แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้เขาที่บาดเจ็บหนักสามารถฟื้นคืนกลับมาได้ง่ายดายเช่นนั้น

ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาแล้ว แก่นพลังชีวิตของเขาก็คือหัวใจที่ไม่เหมือนใครของเขาดวงนั้น

ไม่ว่าร่างกายจะบาดเจ็บสาหัสเพียงไหนก็จะไม่ถึงชีวิต เพราะใจน้ำแข็งเขามีความสามารถในการฟื้นฟูตนเอง ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวการหลั่งเลือดหรือบาดเจ็บใด

แต่เมื่อครั้งนั้น เขาไม่ทันระวังสตรีชั่วนั่น นางจึงร่ายคำสาปใส่หัวใจโดยที่เขาไม่รู้ตัว ทำลายเขาจากแก่นด้านใน แก่นพลังชีวิตของเขาถูกทำลายหนัก ทำให้เขาอ่อนแอลงมาก

แต่ครั้งนี้ที่เขาตื่นขึ้นมา ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกไม่สบายตัวสักนิด หากแต่ยังรู้สึกว่าหัวใจแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วย

เขาคิดมาตลอดว่าเป็นเฟยเอ๋อร์ที่ใช้วิชาลับอะไรบางอย่างที่ทำให้เขารอดพ้นภัยมาได้ ไม่คิดเลยว่าจะมีพลังจากตำหนักเจ้านรกรวมอยู่ด้วย

หากแต่เมื่อตอนนั้นก็ลั่นวาจาไว้แจ่มชัดแล้วว่าหากเขาจากที่นี่ไป เขาก็ไม่ใช่เจ้านรกของที่นี่อีก ดังนั้นแม้จะตกอยู่ในอันตรายเพียงไหน เขาก็ไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากตำหนักเจ้านรก

แต่คนผู้นี้กลับยังลงมือช่วยเหลือเขาไว้

“พี่ใหญ่ ข้า…..”

“ข้าไม่อยากได้ยินคำขอบคุณใด ๆ ทั้งนั้น เรื่องเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องมีระหว่างพวกเรา” เขาเอ่ยขัดม่อจิ่งอวี้พลางยิ้มบาง

ม่อจิ่งอวี้นัยน์ตาทะมึนลง “ไม่ใช่ท่านบอกไว้ว่าข้าจากไปเมื่อไหร่ก็จะตัดสิ้นทุกความสัมพันธ์หรือ? แล้ว….. ทำไมท่านถึงยังช่วยข้าไว้…..”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” อีกฝ่ายว่าพลางยกยิ้ม ก่อนจะดันถ้วยชาที่เพิ่งรินเสร็จให้ “เป็นพี่น้องกันมาหลายปี เพียรสร้างตำหนักเจ้านรกด้วยกันมาก็หลายปี เจ้านึกออกหรือไม่ว่าข้าผิดหวังเพียงไหนยามเจ้าบอกว่าจะยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อสตรีนางหนึ่ง?”

ม่อจิ่งอวี้ยังนิ่งฟังต่อไป เขาเม้มปากแน่นไร้คำตอบ

“แม้เจ้าจะทิ้งตำหนักเจ้านรกไป แต่ก็ยังเป็นเจ้านรกของที่นี่ พวกเรารอเจ้ากลับมาโดยตลอด”

เมื่อพูดเข้าเรื่องแล้ว ม่อจิ่งอวี้จึงเริ่มขมวดคิ้ว “พี่ใหญ่ ครั้งนี้ข้ามาเพื่อพบท่านเท่านั้น ข้าไม่คิดจะกลับมาแล้ว อีกทั้งข้ายังมีธุระที่ยังไม่ได้สะสาง”

เขาใช้นิ้วเรียวแตะฟองที่ลอยอยู่ในถ้วยช้าเบา ๆ จากนั้นเอ่ยเสียงเบา “เจ้าคิดจะกลับไปแก้แค้นเรื่องเมื่อตอนนั้นหรือ? หึ ด้วยพลังของอารามศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ เราไม่ต้องกลัวพวกเขาด้วยซ้ำ ทำไมเจ้าต้องลงมือเองด้วย? คงจะเป็นเพราะนางสินะ!”

“ใช่” ม่อจิ่งอวี้ไม่ปฏิเสธ “มันเป็นสิ่งที่เป็นของเฟยเอ๋อร์มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และข้าก็จะเอามันกลับมาให้นางทีละอย่าง ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากตำหนักเจ้านรก และขอให้พี่ใหญ่อย่าได้ห้ามข้าเลย”

“ข้ากลับมาที่นี่ครั้งนี้ ขอให้พี่ใหญ่รักษาตัวด้วย” พูดจบ ม่อจิ่งอวี้ก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป

“ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่คิดจะกลับมางั้นหรือ?” น้ำเสียงนั้นเอ่ยขึ้นเรื่อย ๆ ที่ด้านหลัง ไร้ซึ่งอารมณ์ใดเจือ “กระทั่งข้ายอมลดอายุขัยตนเองเพื่อช่วยเจ้าไว้น่ะหรือ?”

ม่อจิ่งอวี้ชะงักฝีเท้าไป และแม้จะไม่หันกลับมา แต่ก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณที่พี่ใหญ่มีต่อข้า หากมีเรื่องอะไรให้ข้าช่วย ข้าไม่มีทางปฏิเสธ แต่หากเป็นเรื่องอิสระแล้ว มันเป็นสิ่งล้ำค่าและสำคัญเกินกว่าอะไร ดังนั้นขอให้ข้าได้มีอำนาจควบคุมมันเต็มที่ด้วยเถอะ”

“ทำไมพี่ใหญ่ถึงยังเชื่อคำทำนายที่ว่ามีเพียงผู้ที่ครองใจน้ำแข็งเท่านั้นถึงจะขึ้นเป็นราชันย์ได้? ท่านทั้งดีกว่า แกร่งกว่าข้าในทุกด้าน อีกทั้งยังเหมาะกับตำหนักเจ้านรกมากกว่าข้าเสียอีก”

ทันทีที่พูดจบ เขาก็ไม่รั้งอยู่ต่อ เดินตรงออกไปทันที

ในตำหนักนั้นกว้างใหญ่ ทั้งยังเงียบสงบอย่างน่าประหลาด ไร้ผู้คนให้เห็น กระทั่งข้ารับใช้สักคนยังไม่มี ยิ่งทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวเหี่ยวเฉามากขึ้นไปอีก

เขานั่งจิบชาไปเงียบ ๆ จนกระทั่งเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากด้านนอก คนผู้หนึ่งพลันปรากฏขึ้นที่หน้าประตูไกล ๆ ก่อนจะคุกเข่าลงดังตึง “ข้าน้อยไร้ความสามารถ ทำให้พวกเขาหนีไปได้”

“หึ พวกเจ้าทั้งหมดดูแลสตรีคนเดียวยังทำไม่ได้ ดูท่าจะหย่อนยานกันหมดแล้ว” เขาเอ่ยเสียงไร้อารมณ์

“โปรดระงับความโกรธ จริง ๆ แล้ว…..”

“ข้าปล่อยไปเอง”

บุรุษคนแรกยังพูดไม่ทันจบ ก็พลันถูกอีกเสียงขัดขึ้น

ซิวอี้หรานโบกมือให้ชายคนแรกออกไป

เมื่อเห็นดังนั้น ชายคนแรกจึงโค้งศีรษะแล้วถอยออกจากตำหนักไป

“อะไรกัน กระทั่งเจ้าก็ต่อต้านข้าแล้วงั้นหรือ?” เขาหรี่ตาลง ใบหน้าหล่อเหลามีแววอันตรายฉายอยู่ทั่ว

“หากท่านบีบบังคับให้พวกเขาอยู่แล้วจะเปลี่ยนอะไรได้? สู้ปล่อยไป ให้ม่อจิ่งอวี้ยังมองพวกเราดี ๆ เสียยังจะดีกว่า” ซิวอี้หรานอธิบาย

เขาพลันหลุดหัวเราะออกมา “ไม่เห็นรู้เลยว่าเจ้ากลายเป็นคนดีไปเมื่อไหร่? ข้าจำได้ว่าเจ้ากับสตรีของจิ่งอวี้ก็ไม่ใช่ตื้นเขิน เป็นเพราะนางหรือ?”

ซิวอี้หรานเลิกคิ้ว “พี่ใหญ่เคลือบแคลงเปล่าแล้ว ข้าเพียงหาทางลงให้พวกเขา ท่านก็คิดว่าข้ามีใจให้นางแล้ว พวกเราสองคนจะเล่นบทตัวร้ายตลอดไม่ได้หรอกนะ?”

ได้ยินแล้วอีกไยจึงเอ่ยถามเสียงประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าจะบอกว่าเจ้าปล่อยพวกเขาไปเพราะต้องการให้พวกเขาเชื่อใจเราก่อน แล้วเจ้าค่อยลงมือตลบหลังงั้นหรือ?”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” ซิวอี้หรานพยักหน้ายิ้ม ๆ “ท่านเคยเห็นข้าใจดีด้วยหรือ? ข้าลงมือทำอะไรล้วนมีจุดประสงค์”

“เจ้าเหนือกว่าข้าเสียอีก ข้าก็ตัดสินเจ้าเร็วไป” ชายหนุ่มพลันคลี่ยิ้มอ่อนโยนขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะจำอะไรบางอย่างขึ้นได้ “ดูท่าจิ่งอวี้กับสตรีผู้นั้นจะมีลูกที่สืบสายเลือดด้วยนี่ ข้าส่งคนไปดูแล้ว เป็นแฝดมังกรหงส์ใช่หรือไม่?”

ซิวอี้หรานตกใจอยู่บ้าง “มีอะไรหรือ?”

“ดูท่าเจ้าก็รู้เรื่องนี้ เจ้าอาจเริ่มลงมือจากตรงนั้นได้” เขาเอ่ยมีความนัย “หากลูก ๆ ของเขาทั้งสองคนต่างก็มาอยู่ที่ตำหนักเจ้านรก เจ้าคิดว่า….. เขาจะยังกล้าจากไปอีกหรือ?”

ซิวอี้หรานอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นเอ่ยถามเสียงประหลาดใจ “พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าเราควรจับตัวเจ้าเด็กแฝดของจิ่งอวี้มาไว้ที่นี่เพื่อให้สามารถควบคุมเขาได้หรือ?”

คงไม่ทำเช่นนั้นกระมัง!? นั่นมันไม่….. ไร้คุณธรรมไปหน่อยหรือ?

อาจเพราะเดาความคิดซิวอี้หรานได้ เขาจึงว่าต่อไม่ใส่ใจ “หากมันทำให้จิ่งอวี้นรั้งอยู่ที่ตำหนักเจ้านรกได้ ถึงชั่วช้าสักหน่อยจะเป็นไรไป? ให้เป็นเจ้าลงมือก็แล้วกัน!”

“ข้า?”

“เมื่อครู่เจ้าเพิ่งได้ความเชื่อใจมาไม่ใช่หรือ? เจ้าเหมาะกับงานนี้ที่สุด พวกเขาจะไม่คิดระแวงเจ้าแน่” เขาว่าพลางยกมือขึ้นโบกไล่ไม่ไยดี “เจ้าไปทำงานเสีย! ก่อนยอดเขาใจสงบจะเปิดให้เดินทางเข้าไป จิ่งอวี้จะต้องมาปรากฏตัวในตำหนักเจ้านรกแห่งนี้”

มีใครที่ไม่ต้องการมีชีวิตเป็นอมตะบ้างเล่า?

— อารามจันทร์กระจ่าง —

เป็นรองเพียงเรือนพักของท่านเจ้าอารามนั้น คือตำหนักดารานักบวชที่หรูหรารุ่งโรจน์ที่สุด ทั้งยังเต็มไปด้วยปริศนา

หลังจากที่ถูกพลังลึกลับซัดเข้าในคืนก่อน อาการเขาก็ดีขึ้นภายในไม่กี่วัน

“ท่านหัวหน้านักบวช เยว่เฝินนำคนมาแล้วขอรับ” น้ำเสียงนอบน้อมดังขึ้นด้านนอก

ชางเจี้ยนชะงักไปครู่หนึ่ง เขาลืมไปแล้วจริง ๆ ท่านเจ้าอารามว่าไว้เมื่อหลายวันก่อนว่านางจะส่งสตรีผู้ช่วยมาให้ เขาก็มึนงงอยู่ว่าทำไมการส่งผู้ช่วยสตรีมาสักคนถึงต้องให้ท่านเจ้าอารามเป็นคนมาบอกเขาด้วยตนเอง

ทว่าท่านเจ้าอารามได้บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงหลังจากนั้น ผู้ช่วยนางนี้เหมือนไม่ธรรมดา นางจึงส่งอีกฝ่ายมาให้เขาจับสังเกตและคอยจับตามอง

เมื่อนึกขึ้นได้ ชางเจี้ยนก็สงสัยขึ้นมาทันที เขาเอ่ยขึ้นว่า “ให้เข้ามาได้!”

ครู่ต่อมา เยว่เฝินผู้หล่อเหลาหากแต่สีหน้าเย็นชาในชุดสีดำสนิทก็เดินเข้ามา พร้อมกับเด็กสาวในชุดสีชมพูเดินตามมาด้านหลัง

ชุดผู้ช่วยหญิงของอารามจันทร์กระจ่างนั้น ทั้งรูปแบบและสีสันแทบจะไร้ความแตกต่าง

หากแต่ชุดบนร่างเด็กสาวผู้นี้กลับให้ความรู้สึกแตกต่างอย่างสิ้นเชิง อาจเพราะใบหน้านางงามเกินไปกระมัง บรรยากาศสูงส่งที่แผ่จากร่าง กระทั่งชุดผู้ช่วยที่มีคุณภาพต่ำ กลับไม่ทำให้นางหมองลงเลยแม้แต่น้อย

“ทำความเคารพหัวหน้านักบวช” เยว่เฝินโค้งศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อทักทาย ไม่ดูเย่อหยิ่งแต่ก็ไม่ได้ดูนอบน้อมเกินควร

เขารับใช้ท่านเจ้าอารามโดยตรง ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องคุกเข่าเคารพคนอื่น กระทั่งต่อหน้าหัวหน้านักบวชผู้สูงส่งก็ตาม

“ท่านเยว่เฝิน รบกวนท่านพาคนผู้นั้นมาถึงที่นี่แล้ว” ชางเจี้ยนทักตอบอย่างสุภาพ

“เป็นหน้าที่ของข้า ฝากนางให้อยู่ในความดูแลของท่านหัวหน้านักบวชด้วย นางดื้อรั้นไปสักหน่อย อาจเพราะเพิ่งเริ่มงานเลยทำให้ไม่อาจรับคำสั่งใดได้ง่ายกระมัง” เยว่เฝินเอ่ยเสียงเรียบ เหมือนพยายามจะช่วยให้อีกฝ่ายมองชิงอวี่ในแง่ดี