บทที่ 249 สุดท้ายก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 249 สุดท้ายก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง
บทที่ 249 สุดท้ายก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง

กระทั่งชิงอวี่ยังประหลาดใจนัก

ปกติเจ้าหมอนี่มักทำหน้าตารังเกียจเหยียดหยามนางอยู่ตลอดไม่ใช่หรือ? แล้วนี่เขากำลังพูดให้นางอยู่ ใช่หรือไม่?

หรือจะมีแผนอะไร…..

ชางเจี้ยนเองก็ดูประหลาดใจเช่นกัน แต่ใบหน้าก็กลับมาเป็นปกติโดยเร็ว เขายิ้มแล้วพยักหน้าเอ่ย “ท่านเยว่เฝินไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่ปล่อยให้นางเสียแขนขาที่นี่หรอก”

ได้ยินแล้วชิงอวี่ก็มุมปากกระตุกยิก ทำไมมันฟังดูน่ากลัวแปลก ๆ?

“เช่นนั้นรบกวนหัวหน้านักบวชด้วย” เยว่เฝินพยักหน้าตอบ ก่อนจะจากไป ยังเตือนให้ชิงอวี่อย่างก่อเรื่อง จากนั้นจึงขอตัวออกไป

ชางเจี้ยนมองหลังเยว่เฝินที่ค่อย ๆ เดินจากไปไกล จากนั้นก็หันมามองเด็กสาวตรงหน้า

ยังไม่ต้องมองอย่างอื่น แค่ท่าทางสงบของนางก็ดูน่าประหลาดแล้ว กล่าวกันว่านางถูกพาตัวมาจากแดนต่ำ ต้องพบกับเรื่องไม่คุ้นเคย แต่นางไม่กลัว ไม่ตกใจอะไรสักนิดเลยหรือ?

แล้วเช่นนี้นางจะเป็นเด็กสาวที่ไม่รู้ประสาได้อย่างไรกัน?

แม้ชางเจี้ยนจะคิดเช่นนั้น แต่ใบหน้าเขากลับไร้อารมณ์แสดง เพียงคลี่ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “สาวน้อย เจ้าชื่ออะไรหรือ?”

“อวี่ชิง” ชิงอวี่ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มไร้ภัย บอกชื่อคุ้นปากไปตาไม่กะพริบ ทั้งยังไม่เขินสักนิด

ชางเจี้ยนพยักหน้า “อวี่ชิง จากนี้ต่อไป เจ้าเป็นส่วนหนึ่งของตำหนักดารานักบวช เดี๋ยวจะมีคนพาเดินดูรอบ ๆ ให้คุ้นที่ทาง ที่นี่เจ้าจะมีอิสระ ไม่เหมือนกับที่อื่นที่ต้องทำงานน่าเบื่อซับซ้อน หน้าที่เจ้าคือการจัดตำราคัมภีร์ต่าง ๆ ในตำหนักทุกวัน”

ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?

ชิงอวี่อดรู้สึกแคลงใจไม่ได้ นางคิดว่าสตรีผู้นั้นจะส่งนางมาทำงานใช้แรงเสียอีก

“มีอยู่บ้างที่มีคนธรรมดาเข้ามาจัดตำราและคัมภีร์ที่นี่ เผลอครู่เดียวก็กลายเป็นคนโดดเด่นมีความสามารถขึ้นมา แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าแล้ว เพราะความลับในตำรานั้นไร้ขอบเขต” ชางเจี้ยนมองนางด้วยสายตาล้ำลึก น้ำเสียงมีความนัยยามเอ่ยคำ

ชิงอวี่กะพริบตาผงกหัวรับ ไม่รู้ว่านางเข้าใจจริง ๆ หรือไม่ “ข้าจะพยายามเต็มที่เจ้าค่ะ”

“อืม เจ้าไปได้แล้ว” ชางเจี้ยนโบกมือ ชายชุดขาวที่หน้าประตูพลันเดินเข้ามาพาชิงอวี่ออกไป

ผ่านไปไม่นาน ภายในตำหนักดารานักบวชอันว่างเปล่าก็มีน้ำเสียงไพเราะของสตรีดังขึ้น “เป็นอย่างไร?”

ชางเจี้ยนค่อย ๆ หันไป จากนั้นโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ชางเจี้ยนไร้ความสามารถ ไม่อาจจับอะไรผิดปกติได้”

“โอ๋? เจ้าจะบอกว่านางเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาจากแดนต่ำงั้นหรือ?”

บนที่นั่งที่ชางเจี้ยนเพิ่งนั่งอยู่เมื่อครู่ คือเงาร่างเย้ายวนของสตรีผู้หนึ่งกำลังเอนกายเกียจคร้านอยู่ ดวงหน้านางยั่วยวนน่าหลงใหล

นัยน์ตาเมล็ดซิ่งดูเร่าร้อนของนางหรี่ลงเล็กน้อย มือเนียนรองใต้คาง เล็บสีแดงสดตัดกับสีผิวขาวราวหิมะ ดูเย็นชาเป็นพิเศษ

ชิงลั่วเยี่ยนมีหน้าตาสะสวยงดงามนัก เทียบเมื่อตอนนนางยังสาว ตอนนี้นางยิ่งมีความงามเย้ายวนแบบผู้ใหญ่ ทุกท่วงท่ายั่วยวนร้อนรุ่ม ไม่อาจต้านมนต์นางไหว ต้องตกอยู่ภายใต้อาณัตินาง

และยิ่งนางฝึกวิชาคงความงามร่วมด้วย ยิ่งทำให้นางดูสวยงามเยาว์วัยมากขึ้นกว่าเดิม มองไม่ออกเลยว่าเป็นสตรีที่ใช้ชีวิตมากกว่า 600 ปีแล้ว

เมื่อไหร่ที่ชางเจี้ยนติ้งเผชิญหน้ากับท่านเจ้าอารามผู้เย้ายวนเช่นนาง เขาก็ไม่อาจหยุดตนเอง ได้แต่ปล่อยให้ใจเต้นอย่างบ้าคลั่งไปเท่านั้น

แต่เขาไม่กล้าเผยความรู้สึก เพราะเขารู้ดีว่ามีคนเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในใจท่านเจ้าอารามได้ ไม่อาจมีบุรุษใดจะเอาชนะในนางได้อีก แม้จะเป็นเพียงตัวแทนคลายความเหงาชั่วครั้งชั่วคราวก็ตาม

เขาเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบหลบตา “ขอท่านเจ้าอารามโปรดอภัย อาจเพราะวันนี้มีเวลาไม่มาก แต่จากนี้ไปนางอยู่ในความดูแลของข้า วันหนึ่งต้องเผยตัวตนเป็นแน่”

“ข้าอยากรู้เพียงว่านางเกี่ยวข้องกับชิงหลานเฟยหรือไม่” ชิงลั่วเยี่ยนเอ่ยเสียงเย็น ที่หว่างคิ้วเจือรอยใจร้อน “เจ้าต้องเข้าใจว่าเจ้าได้ตำแหน่งหัวหน้านักบวชมานั้น ไม่ใช่เพราะเจ้ามีความสามารถเหนือใคร”

“แต่เป็นเพราะเจ้าช่วยทำลายอารามศักดิ์สิทธิ์จากภายใน เป็นเจ้าที่ร่วมมือกับข้าเมื่อครั้งนั้น สั่งสมความดี ทำให้ข้ายอมมอบตำแหน่งหัวหน้านักบวชให้ หากต่อไปเจ้าไร้ประโยชน์ คนที่จะมาแทนเจ้าก็มีอยู่มากหลาย”

ชางเจี้ยนหน้าซีดลงเล็กน้อยทันควัน

ใช่แล้ว เขาอยู่ตำแหน่งนี้มานาน เกือบลืมไปแล้วว่าเขาได้มันมาอย่างไร

หึ ก็เพราะกลายเป็นคนทรยศอย่างไร

สมคบคิดกับชิงลั่วเยี่ยนที่หมายทำลายภายในสู่ภายนอก กำจัดพระเจ้าโดยไร้คนรับรู้ กวาดล้างกลุ่มอำนาจเก่าของอารามศักดิ์สิทธิ์ในข้ามคืน เพื่อที่จะปูทางให้ชิงลั่วเยี่ยนขึ้นเป็นท่านเจ้าอารามคนใหม่ ทุกอย่างเป็นไปได้ราบรื่นนัก

ในฐานะที่นางเป็นสายเลือดคนสุดท้ายของพระเจ้า เมื่อท่านจากไปไม่ทันได้ตั้งตัว ย่อมต้องเป็นนางที่ได้รับสืบทอดอารามศักดิ์สิทธิ์ต่อ

มีแต่เขาที่รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอารามศักดิ์สิทธิ์ในคืนนั้นเป็นอย่างไร เหตุผลเดียวที่เขายังมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะนางยังเชื่อใจว่าเขาไม่มีวันทรยศนาง

ไม่เพียงแต่รู้เรื่องที่ชางเจี้ยนมีใจให้นาง แต่เพราะทุกคนในอารามศักดิ์สิทธิ์นั้นมีคำสาปในร่าง ดังนั้นไม่ว่าใครก็ไม่อาจทรยศนางได้ ไม่เช่นนั้นก็จะถูกคำสาปตีกลับ ตายอย่างเจ็บปวดแสนสาหัสทีเดียว

ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว และถูกคิดคำนวณอย่างละเอียด

ชางเจี้ยนสีหน้าทะมึนลง ก่อนตอบเสียงทุ้ม “ข้าน้อยจะเปิดโปงตัวจริงของนางโดยเร็ว ท่านเจ้าอารามโปรดวางใจ”

“ย่อมดีที่สุด” ชิงลั่วเยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย พริบตาต่อมาเงาร่างนางก็หายไป

ชางเจี้ยนอดยิ้มขื่นกับตนเองไม่ได้

สุดท้าย เขาก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ยังมีประโยชน์ต่อท่านเจ้าอารามสินะ?

ที่อีกด้านหนึ่ง หลังจากชายชุดขาวพาชิงอวี่มาสถานที่หนึ่งกว้างขวางแล้ว เขาก็จากไปทั้งอย่างนั้น

ปล่อยให้ชิงอวี่ยืนงงอยู่คนเดียว

เขาบอกนางว่า….. แล้วตำราและคัมภีร์ทั้งหลายไปไหนหมด? ทำไมนางไม่เห็นพวกมันเลยเล่า?

“ชิงอวี่”

น้ำเสียงอ่อนโยนของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นเบา ๆ ก่อนร่างกึ่งล่องหนของชื่อเยว่จะปรากฏขึ้น

ชิงอวี่ตกใจไปเล็กน้อยก่อนรีบเอ่ย “ท่านเผยตนทำไมเล่า? หากมีคนเห็นเข้าจะว่าอย่างไร? รีบกลับไปเถอะ…..”

“ไม่เป็นไรหรอก นอกจากท่านแล้วก็ไม่มีใครเห็นข้าได้อีก” ชื่อเยว่ยิ้มยืนยัน

ชิงอวี่จึงไม่บอกให้นางกลับไปอีก

ชื่อเยว่เดินเข้ามา จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแปลกใจที่ไม่เห็นคัมภีร์สักเล่มใช่หรือไม่?”

ชิงอวี่เบิกตากว้างประหลาดใจ “มีอยู่จริง ๆ หรือ? แล้วท่านเห็นพวกมันด้วย??”

“อืม” ชื่อเยว่สายตาคมขึ้น “จริง ๆ แล้วงานที่ชางเจี้ยนมอบให้ท่านก็หนักไม่น้อย คงต้องการทดสอบท่านแน่!”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

“มีคนสองประเภทเท่านั้นที่จะเห็นคัมภีร์พวกนี้ได้ ประเภทแรกคือคนพิเศษที่เกิดมาพร้อมกับดวงตาหยินหยาง หรือเรียกตาที่ตาม ส่วนประเภทที่สอง…..” ชื่อเยว่หยุดไปนิดหนึ่ง ก่อนหันมามองหน้านาง “คือคนตาย”

ยามชิงอวี่ได้ยินคำ นางก็เอ่ยเสียงไม่อยากเชื่อขึ้น “เขาใช้ข้าเล่นเพื่อความสนุกงั้นหรือ?”

ตอนที่บอกว่างานนางคือจัดคัมภีร์ นางก็นึกว่าอยู่ว่ามันง่ายไปหรือไม่ ที่จริงแล้วเขามีแผนการซ่อนอยู่นี่เอง!

ชื่อเยว่เห็นใบหน้าโกรธเกรี้ยวของชิงอวี่แล้วก็ยิ้มส่ายหน้า “แต่นอกจากสองประเภทนั้นก็ยังมีอีกวิธีหนึ่ง”

ชิงอวี่คิดครู่หนึ่งก่อนเลิกคิ้ว “ท่านหมายความว่า….. ต้องให้จิตออกจากร่าง จนร่างไร้การเคลื่อนไหว เข้าสู่สภาวะหยุดนิ่งกระมัง?”

“ไหวพริบดี”

ชื่อเยว่เอ่ยพร้อมแววตาชื่นชม “เป็นเพราะคัมภีร์เหล่านี้เป็นผลมาจากหยาดเหงื่อแรงกายทั้งชีวิตของผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายนับหลายพันปีก่อน แม้พวกเขาจะตายไปแล้ว แต่จิตที่เหลืออยู่ก็ยังสถิตอยู่ในคัมภีร์เหล่านี้ ดังนั้นพวกมันจึงนับเป็นวิญญาณ มีแต่คนที่อยู่ในร่างวิญญาณเท่านั้นจึงจะเห็นมันได้”

“เช่นนี้นี่เอง” ชิงอวี่พยักหน้าเข้าใจ จากนั้นก็เหมือนนึกบางอย่างได้จึงถามขึ้น “แล้วสมัยก่อนท่านชางเจี้ยนเป็นคนจัดเก็บคัมภีร์พวกนี้เองเหมือนกันหรือ?”

คำถามนี้ทำให้อีกฝ่ายชะงักไป

ชื่อเยว่อึ้งไป ก่อนจะตอบช้า ๆ “ท่านรู้ได้อย่างไร….. ว่าเขาเคยจัดคัมภีร์มาก่อน?”

“ข้าก็เดาไปเรื่อยเท่านั้น!” ชิงอวี่ยักไหล่ตอบ ไม่ได้คิดอะไร “ฟังจากน้ำเสียงเขายามพูดแล้วก็เผยข้อมูลมาบ้าง ฉะนั้นก็เดาได้ไม่ยาก แล้วดูหน้าท่านแล้ว ที่ข้าเดาก็คงจะถูก”

“ใช่แล้ว เขากับข้า….. หลายปีก่อนเป็นแค่คนต่ำต้อยที่มีหน้าที่จัดตำราและคัมภีร์เท่านั้น”

ชื่อเยว่หรี่ตาลง ก่อนเอ่ยเสียงเหยียดออกมา “แม้พวกเราจะไม่โดดเด่นไร้ความสำคัญ แต่ก็ใฝ่ฝันว่าสักวันจะเป็นนักบวชที่เก่งกาจให้ได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระเจ้าบังเอิญมาที่หอคัมภีร์ เห็นว่าพวกเรามีความสามารถทั้งยังมุมานะ เขาจึงพาเราออกมาจากหอคัมภีร์”

“เขากระทั่งหาผู้อาวุโสอันเป็นที่เคารพมาสั่งสอนเรา ความเมตตาของเขาทำให้พวกเราราวกับได้ชีวิตใหม่”

“โชคไม่ดี จากวันที่ชางเจี้ยนออกจากหอคัมภีร์มา เขาก็กระหายอยากมากขึ้นเรื่อย ๆ ความต้องการไม่รู้จบของเขาเปลี่ยนเขาไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้กลายเป็นคนแปลกหน้าในสายตาข้าไป”

“สุดท้าย เขาก็กลายเป็นคนทรยศ กลายเป็นเพชฌฆาตที่ทำลายอารามศักดิ์สิทธิ์ เป็นคนไร้ใจ เป็นอสูรไร้เมตตา”

พูดถึงตรงนี้ ชื่อเยว่ก็คล้ายกับต้องเค้นคำออกมา ทุกคำที่เอ่ยมีแต่ความเหยียดหยาม

เห็นได้ชัดว่านางเกลียดชางเจี้ยนแค่ไหน

แต่หลังพูดจบ นางก็เหมือนจะรู้ว่าตนเสียท่าที ก่อนจะรีบสำรวมกิริยาอีกครั้ง “ขออภัยด้วย ข้านึกย้อนอดีตไป ทำให้คุมอารมณ์ไม่ได้ไปชั่วขณะ”

ชิงอวี่ยิ้มตอบ “ไม่เป็นไรหรอก ข้าเข้าใจดี”

“อืม เช่นนั้นคุยกันเรื่องจะเห็นคัมภีร์อย่างไรดีกว่า” ชื่อเยว่เอ่ยพลางยื่นแขนสีจางมาทางเด็กสาว “จับมือข้าไว้แล้วก็น่าจะมองเห็นได้”

“เท่านี้เองหรือ?” ชิงอวี่สงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ยื่นมือออกไปจับมือนางไว้

“ท่านเป็นธิดาขององค์หญิง อย่างน้อยก็ต้องมีความสามารถของนางอยู่บ้าง เมื่อครั้งนั้น องค์หญิงเป็นคนเดียวที่สามารถมองเห็นคัมภีร์โดยไม่ต้องใช้วิธีใดมาช่วย…..”

ชิงอวี่ฟังอีกฝ่ายพูดไม่ทันจบ ตาก็พลันพร่ามัว ก่อนที่สายตาเมื่อก่อนหน้าที่ไม่เห็นอะไรเลย เห็นเพียงพื้นที่กว้างขวางว่างเปล่าจะเห็นภาพน่าเวียนหัว ด้วยมีวัตถุแผ่แสงเรืองที่สองล่องลอยอยู่นับร้อยชิ้น ทั้งหมดต่างรูปแบบและรูปร่าง

ชิงอวี่หันไปมองตำราที่เรืองแสงสีเงินออกมา อยากรู้ว่ามันเขียนอะไรไว้ พริบตาต่อมา มันก็ราวกับมีชีวิตแล้วเริ่มเปิดหน้ากระดาษออกมาเองอย่างรวดเร็ว

ภายในตำราเล่มนั้น มีสูตรยาระดับสูงที่สูญหายจากใต้หล้าไปนานแล้วปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษ อาจกล่าวได้ว่านักปรุงยาที่ไหนก็ยอมถวายชีวิตเพื่อตามหามัน เพราะได้มันมาแล้วก็เท่ากับกระโดดคราเดียวถึงสวรรค์ ดีไม่ดีอาจได้กลายเป็นพระเจ้าไปเลย!