บทที่ 250 มานี่เลย ข้ารับรองว่าไม่ตีเจ้าจนตายหรอก
บทที่ 250 มานี่เลย ข้ารับรองว่าไม่ตีเจ้าจนตายหรอก
หากคัมภีร์ที่มีอำนาจสะท้านฟ้าเช่นนี้หลุดออกไป ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดความโกลาหลใดขึ้นบ้าง
ชื่อเยว่เห็นชิงอวี่หน้าตาตกใจก็อดหัวเราะเสียงเบาออกมาไม่ได้ “หอตำราอารามจันทร์กระจ่างเป็นสถานที่ที่หลายขุมอำนาจบนแดนเมฆาสวรรค์จ้องตาเป็นมัน แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่รู้ความลับเบื้องหลัง ฉะนั้นแม้หอตำราจะอยู่ตรงหน้า แต่ก็ไม่มีใครเห็นสักนิด”
ชิงอวี่พลันนึกเรื่องหนึ่งได้ “แล้ววิธีเห็นคัมภีร์นี่ มีแต่คนในอารามศักดิ์สิทธิ์ที่รู้ใช่หรือไม่?”
“ก็ไม่เชิง” ชื่อเยว่ส่ายหน้า “จริง ๆ แล้วนอกจากพระเจ้าและคนที่มีหน้าที่จัดหอตำราแล้วก็ไม่มีใครรู้อีก หลังจากพระเจ้าจากไป คนที่รู้จึงเหลือเพียงชางเจี้ยนกับข้า”
“เฮ้อ น่าเสียดายที่ใจชางเจี้ยนคิดร้าย กลายเป็นคนทรยศไป ตอนนี้เขาไม่น่าจะเห็นหอตำราแล้ว ไม่เช่นนั้นจะปล่อยให้หอตำราถูกทิ้งร้างเช่นนี้หรือ? เขาคงต้องเอาพวกมันออกมาเพื่อเอาชนะใจสตรีชั่วร้ายผู้นั้นเป็นแน่” ชื่อเยว่เอ่ยเสียงเหยียด
“งั้นหรือ” ชิงอวี่พยักหน้า “ไม่แปลกที่เขาให้ข้ามาที่นี่ อย่างแรกคือทดสอบว่าข้าเป็นใคร สองคือเขาไม่อาจเข้าหอตำราได้อีกแล้ว ฉะนั้น….. นี่คงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาส่งคนมาที่นี่!”
คิดหวังในตัวคนอื่น ในหมู่คนทั้งหลาย วันหนึ่งอาจเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นก็ได้
ชิงอวี่คิดแล้วก็เดาะปาก ชางเจี้ยนคนสิ้นหนทางมากจึงคิดแผนโง่เง่าเช่นนี้ขึ้นมาได้ นางรวมจิตคิดสะสางงาน คัมภีร์ทั้งหลายที่ลอยกระจัดกระจายในอากาศไร้ระเบียบก็ถูกจัดเก็บเข้าชั้นอย่างรวดเร็ว ทั้งมีระเบียบและเรียบร้อยนัก
“ชิงอวี่ ท่าน…..” ชื่อเยว่มองหน้าเด็กสาวด้วยความตกตะลึง “เมื่อครู่…..”
ไม่รู้เลยหรือว่าทำเช่นนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง?
หอตำรานั้นเป็นศูนย์กลางของอารามศักดิ์สิทธิ์ เมื่vคัมภีร์ทั้งหลายถูกจัดเก็บถูกที่ถูกทาง ทั่วทั้งสถานที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
เหมือนกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้…..
ชื่อเยว่สายตาลึกล้ำ นางเห็นพลังวิญญาณรอบกายมีมากขึ้นเรื่อย ๆ
พวกนางคงซ่อนต่อไปไม่ได้แล้ว
ชิงอวี่ยิ้มให้นางวางใจ “ท่านอย่าห่วง ข้ารู้ว่าทำอะไรอยู่ ในเมื่อท่านคิดให้ข้าโค่นสตรีผู้นั้น ซ่อนตัวไปไม่ใช่เรื่องดี”
“แต่ทำเช่นนี้มันอันตรายมาก” ชื่อเยว่มุ่นคิ้วแน่น “หากชิงลั่วเยี่ยนรู้ว่าท่านเป็นลูกขององค์หญิง นางต้อง…..”
“นางไม่รู้หรอก ข้าก็จะไม่ให้นางรู้เร็วนักด้วย” ชิงอวี่ว่าพลางยิ้มตาหยี ใบหน้างดงามน่ามองนัก “ไม่เพียงข้าจะทำให้นางหวาดกลัวข้า แต่ยังทำให้นางชื่นชอบข้ามากด้วย”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
ชิงลั่วเยี่ยนเป็นคนที่ระแวดระวังทุกสิ่งรอบกาย กระทั่งชางเจี้ยนที่กลายเป็นคนทรยศเพื่อช่วยนางยังไม่อาจได้ความเชื่อใจเต็มที่จากนาง อีกทั้งชิงอวี่ยังหน้าตาเหมือนองค์หญิงมากขนาดนี้
ชิงอวี่เพียงแต่ส่งสายตาลึกล้ำให้ “อะไรก็เกิดขึ้นได้ อีกทั้ง….. โชคมักเข้าข้างข้าเสมอ”
———————————–
อีกฟากหนึ่งบนแดนเมฆาสวรรค์ ณ แคว้นมารที่ห่างไปนับพันลี้
“รายงานนายท่าน จัดการเรื่องสุดท้ายเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“ดีมาก เจ้าออกไปได้” โหลวจวินเหยาตอบ จากนั้นก็โบกมือให้ชายชุดดำที่ยืนอยู่นอกประตู
ผู้คนที่พากันประชุมกันอยู่พลันส่งสายตาสงสัยให้กัน เกิดอะไรขึ้นหรือ?
ทำไมนายท่านช่วงนี้ทำตัวลึกลับนัก? ไม่รู้ว่านายท่านแอบวางแผนอะไรไว้ในใจบ้าง
สวินลั่วที่นั่งข้างไป๋จือเยี่ยนจึงกระซิบถามขึ้น “ช่วงนี้นายท่านคิดจะทำอะไรหรือ?”
“ข้าจะไปรู้หรือ?” ไป๋จือเยี่ยนทำหน้าเลิ่กลั่กโยนคำถามกลับไป
“ก็เจ้าเป็นมือขวาที่นายท่านไว้ใจที่สุด ทั้งยังสนิทกับเขาที่สุดในหมู่พวกเรา เจ้าจะไม่รู้อะไรได้อย่างไร?” สวินลั่วเอ่ยเยาะ บนหน้าเขาราวกับมีคำเขียนอยู่ “หากไม่อยากบอกก็ช่างเถอะ แต่ข้าไม่ได้โง่”
ไป๋จือเยี่ยนดูเศร้าโศกรัก ข้าไม่รู้อะไรจริง ๆ เข้าใจไหม?
แค่โชคร้ายที่โหลวจวินเหยาไม่ปล่อยให้คนทั้งหลายสับสนนานนัก เพราะเขาเอ่ยอธิบายขึ้นว่า “เจ้าม่อจิ่งอวี้ถูกพาไปตำหนักเจ้านรกทันทีที่ออกมาจากชนเผ่าหมาน แต่ก็กลับออกมาได้อย่างปลอดภัย ตอนนี้กำลังถูกคนจากตำหนักเจ้านรกลอบติดตาม และข้าก็แค่ช่วยเหลือเขาเล็กน้อยเท่านั้น”
เป็นเช่นนี้เอง
“ไม่ใช่ว่านายท่านชังน้ำหน้าผู้อาวุโสท่านนั้นหรือ แต่ครั้งนี้ท่านกลับยอมช่วยเขาเองเลยเนี่ยนะ?” เม่ยจีเลิกคิ้วถามประหลาดใจ หรือนายท่านจะเปลี่ยนนิสัยแล้ว?
“อาหลานอยู่กับเขา ข้าไม่อยากเสี่ยงอะไรทั้งนั้น” โหลวจวินเหยาตอบเสียงเรียบ
“หือ? อาหลานที่ข้าเคยได้ยินในเรื่องเล่าฟื้นคืนชีพแล้วงั้นหรือ?” เม่ยจีเบิกตากว้าง สีหน้าตื่นเต้นขึ้นมา
นางสงสัยมากจริง ๆ ก็นายท่านของพวกนางทั้งหยิ่งยโสโหดร้าย ไม่กลัวฟ้ากลัวดินเพียงนี้ ทำอะไรตามอำเภอใจ ใครกล้าต่อต้านก็เจอแต่ความตาย นางเคยได้ยินว่ามีอาหลานเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เขายอมก้มหัวให้ได้ นางสั่งอะไรก็ทำตามโดยดี
โหลวจวินเหยามองเม่ยจีสายตาขบขันอยู่บ้าง “ไม่ต้องตื่นเต้นไป ไม่นานเจ้าจะได้พบนางแล้ว”
ไม่คิดเลยว่าเขาพูดจบ ไป๋จือเยี่ยนก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านขึ้นมา “เจ้านี่ไม่รู้อะไร มันน่าประหลาดใจอะไรนัก? หากเจ้ารู้ว่านายหญิงแคว้นมารในอนาคต แท้จริงแล้วคือลูกสาวแท้ ๆ ของอาหลาน ตาเจ้าไม่หลุดจากเบ้าเลยหรือ…..”
พูดได้แค่ครึ่งประโยคก็พลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ พอกันกลับไปมองก็เห็นโหลวจวินเหยากำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง ส่วนคนอื่น ๆ ก็จ้องเขาอ้าปากค้าง
ยกเว้นเพียงปีศาจน้อยที่เย็นชาเรียบเฉยคนเดียว ดูเหมือนเขาจะรู้เรื่องนี้มานานแล้ว
ความเงียบเข้าปกคลุมสถานที่ทันใด มันเงียบจนน่าประหลาด
ไป๋จือเยี่ยนกะพริบตาปริบ ๆ อย่างใสซื่อ ก่อนเอ่ยเสียงแหยออกมา “เรื่องนั้น….. ข้าเพิ่งโพล่งเรื่องที่ไม่ควรพูดออกไปงั้นหรือ?”
“เช่นนั้นเจ้าก็รู้มาตลอดสินะ!” เม่ยจีว่าพลางเผยยิ้มเย้ายวนที่มุมปาก
สตรีส่วนมากชอบพูดคุยนินทากันเช่นนี้ แล้วเม่ยจีก็สงสัยในตัวสองคนนี้มาโดยตลอด
คนหนึ่งคืออาหลาน ผู้อาวุโสที่นายท่านบอกว่าเคารพรักนัก อีกคนหนึ่งคือเด็กสาวปริศนาที่ทำเอานายท่านหลงจนต้องแล่นลงไปยังแดนต่ำครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ยอมกลับมาแม้จะเป็นภัยต่อตนเองก็ตาม
นางแอบลอบถามไป๋จือเยี่ยนอยู่หลายครั้ง แต่เจ้านี่ก็ไม่ยอมปริปากบอกสักคำ ได้แต่บอกว่าเขาต้องคอยตามเช็ดตามล้างเรื่องวุ่นวายที่นายท่านทิ้งไว้ ทั้งยังยุ่งมากจนไม่อาจมีเวลามาสนเรื่องส่วนตัวของนายท่านได้
สุดท้ายก็ดันหลุดปากบอกออกมา เผยเรื่องราวให้ทุกคนรู้จนได้
เห็นได้ชัดว่านอกจากจะรู้เรื่องแล้ว ยังรู้รายละเอียดอีกด้วย
ไป๋จือเยี่ยนเพิ่งสำนึกได้ว่าตนทำอะไรลงไป หรือเขาจะเผลอเผยความลับใหญ่เข้าให้แล้วใช่หรือไม่?
“เรื่องนั้น….. เม่ยจี ข้าเกิดจำได้ขึ้นมา ข้าว่าท่านพ่อส่งคำให้ข้าเดินทางกลับสำนักเซียนแพทย์ใช่หรือไม่ เจ้าต้องรอถามตอนข้ากลับมาแล้วล่ะ…..”
“ข้าว่านะ นายน้อยสำนักเซียนแพทย์ผู้นี้ โกหกทีไรกลายเป็นเจ้าโง่ทุกที ลืมไปแล้วหรือว่าบิดาเจ้าลั่นวาจาไว้ว่าจะตัดสายสัมพันธ์ทุกอย่างกับบุตรชายอกตัญญูเช่นเจ้าไปตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนโน้นแล้ว? แล้วเจ้าจะบอกว่าจู่ ๆ เขาก็ส่งคำมาเรียกเจ้ากลับไปงั้นหรือ??”
เม่ยจีอยากหัวเราะใส่หน้าไป๋จือเยี่ยนออกมาดัง ๆ แต่แม้เขาจะทำตัวเหมือนคนโง่อยู่ตรงหน้า อย่างไรก็ไม่ทำให้นางคลายโกรธลงได้หรอก
นางเกลียดคนที่ทำเหมือนนางเป็นยัยโง่มากที่สุด
“ปีศาจน้อย! เจ้าจะไม่ทำอะไรหน่อยหรือ!?”
ไป๋จือเยี่ยนมองสตรีเย้ายวรสะบัดเรือนผม ก่อนลุกขึ้นจากที่นั่ง ราวกับหมายจะทำเรื่องน่ากลัวบางอย่างกับเขา ทำให้เขาร้องออกมาด้วยความกลัว
แม้เขาจะมีวิชาแพทย์สูงส่ง เป็นหนึ่งฝนยอดฝีมือบนแดนเมฆาสวรรค์ แต่นักปรุงยาก็แกร่งเพียงการรักษาคนเจ็บไข้และบาดแผล ไม่อาจเก่งกาจทั้งแพทย์และยุทธ์ไปพร้อมกันได้ ฝีมือการต่อสู้ของไป๋จือเยี่ยนอาจมากพอจะสังหารคนทั้งโขยงที่แดนต่ำได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหัวหน้าสิบสองสาวงาม มือสังหารฝีมือยอดแห่งแคว้นมารเช่นนาง เขาก็ตัวหดลงจนเล็กจิ๋ว
อีกอย่าง…. เขาก็ไม่อยากสู้กับสตรีด้วย เข้าใจหรือไม่?
ไป๋จือเยี่ยนมองเม่ยจีที่ค่อย ๆ ย่างเข้ามาทีละก้าว ก่อนจะรีบหลบหนีไปด้วยวิชาเคลื่อนกาย
เม่ยจีหัวเราะหยัน โกรธจัดจนถึงจุดเดือด ดังนั้นนางจึงไล่ตามไป๋จือเยี่ยนไป
คนที่เหลือมองดูเรื่องเอะอะเกิดขึ้นอย่างสงบเงียบดูน่าประหลาดนัก
บุรุษในชุดขาวสดใส ทั้งยังมีใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาสีแดงเคลื่อนสายตาออกจากจุดที่คนทั้งสองเคยยืนอยู่ น้ำเสียงกระจ่างน่าฟังดังขึ้น “หลายปีมานี้แคว้นมารเงียบสงบ ฝีมือการต่อสู้ไม่กล้าแกร่งเช่นแต่ก่อน แต่หากต้องเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ของขุมอำนาจอื่น เราก็อาจยังไม่แพ้ หากนายท่านตัดสินใจแล้ว พวกเราก็ไม่กลัวว่าจะมีสิ่งใดมาหยุดยั้งเราได้”
“รู้ใช่ไหมว่าข้ากำลังจะพูดอะไร?” โหลวจวินเหยาหัวเราะเสียงเบา สีหน้าขบขันอยู่เล็กน้อย
“นายท่านแสดงให้เห็นชัดเจนมากอยู่แล้ว”
ปีศาจน้อยหรี่ตาลงเล็กน้อย “ม่อจิ่งอวี้เป็นหัวหน้าชนเผ่าหมาน แต่ก็มอบตำแหน่งให้สหายสนิทนามเหยียนจูไปหลายปีแล้ว กลายเป็นบุรุษอิสระ ไม่มีใครคิดว่าเขาจะมีความสัมพันธ์กับตำหนักเจ้านรก ตอนนี้นายท่านช่วยม่อจิ่งอวี้กำจัดอุปสรรค เช่นนั้นก็ได้แต่ล่วงเกินตำหนักเจ้านรกแล้ว”
“ส่วนเรื่องอาหลาน ข้าได้ยินว่า….. ตัวตนที่แท้จริงของนางคือธิดาแห่งพระเจ้าอารามศักดิ์สิทธิ์ เมื่อนางกลับมา ในอารามศักดิ์สิทธิ์ย่อมไม่สงบแน่ สมาพันธ์นักล่าเองก็มีความเชื่อมโยงใกล้ชิดกับอารามศักดิ์สิทธิ์ พัวพันอย่างน้อยสามขุมอำนาจใหญ่ ดูท่าอีกไม่นานกลุ่มอิทธิพลบนแดนคงได้เปลี่ยนแปลงแล้ว”
“โฮ่ เจ้านี่สมกับที่เป็นกุนซือแคว้นมารจริง ถอดความคิดข้ามาได้ตรงจุดเช่นนี้”
โหลวจวินเหยายกยิ้มมุมปาก นัยน์ตาสีม่วงน่ามองราวกับมีพายุซัดกระหน่ำอยู่ภายใน “แดนเมฆาสวรรค์ตกอยู่ในกลียุคมานานเกินไป ถึงเวลาก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่แล้ว…..”
แคว้นมารต่างหากที่ควรจะครองแดนเมฆาสวรรค์
ตำหนักเจ้านรก ยอดเขาใจสงบ ทั้งหมดจะต้องถูกสยบแทบเท้าพวกเขา!
————————————–
มันเป็นราตรีที่เต็มไปด้วยเมฆดำไม่สิ้นสุด ดาวสักดวงไม่มีให้เห็น ท้องฟ้าสีครึมเหมือนพายุกำลังจะเข้า
ชิงลั่วเยี่ยนนั้นเป็นคนช่างระแวง ดังนั้นนางจึงไม่ให้มีผู้ช่วยมาดูแลนางยามราตรี สาวรับใช้ทั้งหลายรู้นิสัยนางดี ดังนั้นจึงเข้ามาจัดห้องให้เท่านั้น จุดเทียนให้ จากนั้นทุกคนก็จะออกไป
เรือนนอนอันกว้างขวางนั้นว่างเปล่า รู้สึกโดดเดี่ยวอยู่บ้าง
ชิงลั่วเยี่ยนนอนหลับตาอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น หากแต่ร่างนางกลับไร้ความรู้สึกอุ่นแม้สักนิด
ไม่รู้ว่าทำไม คืนนี้นางจึงไม่รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนสักนิด
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝนที่กำลังจะตกลงมาหรือไม่ สภาพอากาศจึงรู้สึกอุดอู้ ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว
ในเมื่อนอนไม่หลับ นางจึงไม่คิดพยายามอีก นางลงจากเตียงแล้วเดินไปยังหน้าต่าง บังเอิญนักที่จังหวะนั้นเกิดเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นขึ้นพอดี ตามมาด้วยฝนที่เทลงมาอย่างหนักหน่วง
พายุฝนมาเร็วนักจนนางไม่ทันตั้งตัว ชิงลั่วเยี่ยนจึงมึนงงอยู่เล็กน้อย นานเท่าไหร่แล้วหนอ….. ที่แดนเมฆาสวรรค์ไม่ได้เห็นฝนห่าใหญ่เช่นนี้?