บทที่ 251 ฆ่าข้าทำไม!?
บทที่ 251 ฆ่าข้าทำไม!?

นางยังจำได้ชัดเจนนักว่าครั้งสุดท้ายที่ฝนตกหนักเช่นนี้คือเมื่อตอนที่ท่านพ่อพบว่านางฝึกวิชาต้องห้าม สังหารพี่น้องไปหลายคนด้วยกัน

หากตอนนั้นเขาไม่ใจแข็ง คิดทำลายพลังบำเพ็ญนางแล้วขับไล่นางออกจากอาราม หากนางคิดถึงสายสัมพันธ์บิดาและบุตรสาวสักหน่อย นางก็คงไม่ต้องกระทำบาปเช่นนั้น

เล่าลือกันว่าพระเจ้าไม่อาจผ่านพ้นบททดสอบข้ามพ้นพันปีไปได้ จึงสิ้นใจลงอย่างไม่คาดคิด

หึ พวกเขาย่อมไม่รู้ว่าที่ท่านไม่อาจข้ามผ่านมันไปได้นั้นเป็นเรื่องลวง ความจริงก็คือนางทำลายพลังบำเพ็ญทั้งชีวิตของเขา สุดท้ายก็ตายลงเพราะแก่นพลังชีวิตได้สลายไป

หากเป็นมนุษย์ธรรมดานั้น ทำลายพลังบำเพ็ญจะทำให้กลับไปเป็นคนธรรมดา แต่ท่านพ่อมีอายุมากแล้ว อีกทั้งยังใกล้จะข้ามพ้นเวลาพันปีอันเป็นช่วงสำคัญ เมื่อพลังถูกทำลายจึงไม่อาจมีชีวิตรอด

สังหารบิดาตนเอง….. เป็นบาปหนักเท่าไหนกัน?

แต่ใครจะโทษนางได้!?

หากเขาไม่คิดมากความ หมายจะตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างกับนางแล้วประกาศให้โลกภายนอกรู้ก็คงไม่เป็นเช่นนี้

สิ่งที่นางรับไม่ได้คือ….. เรื่องที่เขาบอกว่าจะยกตำแหน่งเจ้าอารามให้ชิงหลานเฟย!

หึ! นางรู้มาตลอดว่าท่านพ่อรักชิงหลานเฟยมากที่สุดในหมู่ธิดาทั้งหลาย กระทั่งนางโยนความผิดทุกอย่างให้ชิงหลานเฟย นอกจากจะผิดหวังเล็กน้อยแล้ว ท่านพ่อก็ไม่ได้ลงโทษนางร้ายแรง ทั้งยังแอบส่งคนไปคอยดูแลนางอย่างลับ ๆ ด้วย

ที่เขาไล่หลานเฟยออกจากอารามศักดิ์สิทธิ์ ก็แค่หลอกสายตาของคนภายนอกเท่านั้น

เขาไม่เคยเชื่อว่าชิงหลานเฟยจะทำเรื่องร้ายแรงเช่นนั้นได้ เพราะลูกสาวคนเล็กของเขานั้นอ่อนหวานและเชื่อฟังมาโดยตลอด

แล้วหากสุดท้ายเขาได้รู้ความจริงเข้าเล่า?

นางย่อมไม่ปล่อยให้เขาได้เผยความจริง ในเมื่อเขาไม่คิดให้ทางลงแก่นาง เช่นนั้นก็จงตายเสีย!

นัยน์ตาเรียวยาวเย้ายวนใจของชิงลั่วเยี่ยนจ้องสายฝนในยามราตรีนิ่ง ภายใต้แสงเทียนสลัว ใบหน้ายั่วยวนนางครุ่นคิดไม่อาจหยั่งถึง

ฝนตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มสาดเข้ามาที่ขอบหน้าต่าง ชิงลั่วเยี่ยนหรี่ตาลง ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดหน้าต่าง

นางเพิ่งปิดมาได้ครึ่งหนึ่งก็เห็นเงาร่างหนึ่งเดินผ่านไป

สายตานางพลันเย็นเฉียบ มือหยุดค้างกะทันหัน

ร่างบางยืนอยู่ท่ามกลางฝนที่โปรยลงมายามค่ำคืนเงียบ ๆ นางสวมชุดสีแดงบาง ๆ ดูน่าสงสารไม่น้อย

ชิงลั่วเยี่ยนตะโกนเสียงเย็น “ใครคิดจะเล่นลูกไม้อะไรกัน!?”

เงาร่างนั้นราวกับตกใจที่นางตะโกนลั่นออกมาจนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อย ๆ หันมา ใบหน้างดงามไร้ที่ติถูกฝนหนักกระหน่ำใส่จนซีดขาว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความงามลดลงสักนิด

ใบหน้านั้น ยังคงเป็นใบหน้าที่งามแทบลืมหายใจดังเคย

องค์หญิงทั้งสิบเอ็ดคนแห่งอารามศักดิ์สิทธิ์นั้นมีใบหน้างดงามชวนมองอย่างแปลกตา หากแต่องค์หญิงคนสุดท้องเป็นคนที่ผู้คนกล่าวขวัญถึงมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความสง่าหรือความงาม นางเป็นผู้ที่มีมันมากกว่าใคร บริสุทธิ์ผุดผ่องราวกับดอกบัว มองเพียงคราเดียวยังไม่อาจละสายตาไปได้

ชิงลั่วเยี่ยนใบหน้าทะมึนลง “ชิงหลานเฟย!”

นาง….. กลับมาจริง ๆ หรือ!?

ทันทีที่พูดจบ สตรีผู้นั้นก็พลันก้าวหายไปในสายฝนพร่ามัวโดยไม่เอ่ยคำ

“ชิงหลานเฟย! หยุดอยู่ตรงนั้น!”

นัยน์ตาชิงลั่วเยี่ยนฉายแววคมกริบ รีบไล่ตามไป “กล้ากลับมา แต่ไม่กล้าพบหน้าข้าหรือ? หยุดเลยนะ!”

เมื่อเห็นว่าตนไล่เงาร่างสีแดงใกล้ทันแล้ว ชิงลั่วเยี่ยนจึงยกแขนบางขึ้น ดาบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ มันส่องประกายเย็นเฉียบ และนางก็สะบัดดาบออกไปทันที

เงาร่างสีแดงถูกคลื่นดาบซัดจนกระจายหายไปอีกครั้ง

ชิงลั่วเยี่ยนอึ้งไป ได้แต่ยืนนิ่งไม่ขยับกาย

เกิดอะไรขึ้น?

นางไปไหนแล้ว?

“ทำไม…..” น้ำเสียงนางเจือรอยโศกอยู่ทั่ว มันดังขึ้นที่ด้านหลังช้า ๆ

ชิงลั่วเยี่ยนหันไปทันที เห็นเงาร่างที่หายไปเมื่อครู่ตอนนี้ยืนอยู่ด้านหลัง ก้มหน้าลงต่ำ

นางจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ใบหน้างามที่ได้เห็นเมื่อครู่ ที่มุมขมับพลันมีเลือดไหลออกจากรอยแตกลึกถึงกระดูก ก่อนมันจะแตกออกไปยังใบหน้า ดูน่าสยดสยองเป็นยิ่งนัก

“ท่านพี่ ท่านฆ่าข้าทำไม? ทำไมกัน? ทำไม!!?”

หญิงสาวที่ดูอ่อนแอบอบบางเมื่อครู่พลันกลายเป็นผีร้ายบ้าคลั่ง นางคำรามแยกเขี้ยว ก่อนจะกระโจนมาที่นางอย่างดุร้าย

เห็นอีกฝ่ายมีสภาพเช่นนั้น ไม่รู้ว่าชิงลั่วเยี่ยนเกิดรู้สึกผิดหรือมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมา ในใจนางบังเกิดความกลัวขึ้นเสี้ยวหนึ่ง นางตวัดดาบในมืออย่างบ้าคลั่ง กรีดร้องลั่นสุดเสียง “ข้าไม่ได้ฆ่าเจ้า! ไปเสีย! ไปให้พ้น…..!”

นางหลับตาแน่น กรีดเสียงร้องโหยหวนออกมา

ร่างของสตรีที่กระโจนเข้าใส่พลันสลายกลายเป็นชิ้น ๆ ในพริบตา มันร่วงกระจายลงบนพื้น ทำให้สถานที่นั้นราวกับภาพจากขุมนรกก็มิปาน

“ท่านพี่….. ข้าตาย….. ข้าตาย….. ไปแล้ว”

เสียงแผ่วเบาเหล่านั้นยังดังก้องอยู่ในอากาศก่อนจะค่อย ๆ จางหายไปจนทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบ

ไม่นานฝนก็หยุดตก แสงสว่างเริ่มสาดส่องไล่ความมืดมิด เปลี่ยนจากมืดสู่สว่างด้วยความรวดเร็ว

ชิงลั่วเยี่ยนเริ่มมีสีหน้าตื่นตระหนก ไม่จริง นางต้องตกอยู่ในภาพมายาเป็นแน่

นางจำได้แม่นยำว่านางกำลังนอนอยู่ในห้องตนเอง

อีกทั้งนางจำได้ว่าเพิ่งจะตกดึกไปไม่นาน แล้วจะรุ่งสางเร็วเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!?

“ลั่วเยี่ยน จิตใจของเจ้าช่างชั่วร้ายนัก ทำไมถึงทำกับข้าเช่นนี้?”

เสียงครวญของสตรีคนหนึ่งดึงชิงลั่วเยี่ยนออกจากภวังค์ นางหันหลังกลับไป เห็นว่าเป็นพี่ใหญ่ของนางนั่นเอง นางเป็นคนที่ใจดีอ่อนโยนที่สุดในหมู่พี่น้อง เป็นที่รู้จักในความมีจิตใจดีและมีคุณธรรม

เมื่อครั้งนั้นนางมีคนที่ชอบแล้ว กำลังจะได้แต่งงาน ในท้องนางอุ้มลูกอายุได้สามเดือน แต่ในคืนวันแต่งงานนั้นเอง เด็กกลับตายในท้อง นางเศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของลูกมาก สุดท้ายก็ถูกพบเป็นร่างไร้ลมหายใจในห้องเจ้าสาวนั่นเอง

เด็กคนนั้นตายเพราะวิชาต้องห้ามของชิงลั่วเยี่ยน ที่ถูกดูดพลังจากแก่นพลังชีวิตไปจนหมดสิ้น

แม้นางจะไม่ได้เจตนา แต่การตายของมารดาของเด็กคนนั้น ทำให้นางสลัดความผิดนี้ไม่ได้จริง ๆ

“พี่ใหญ่ ข้าขอโทษ…..”

“ข้าไม่ต้องการคำขอโทษจากเจ้า! ข้าต้องการลูกข้าคืนมา!! เจ้ารู้บ้างไหม!? เขาตายตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลกด้วยซ้ำ! เจ้าที่เป็นท่านน้าของเขาแท้ ๆ แต่เจ้ากลับทำเรื่องร้ายกาจเช่นนั้นกับเขาได้ลงคอ…..”

ใบหน้าอ่อนโยนเจือความบ้าคลั่งอยู่เล็กน้อย นางพุ่งเข้ามาคว้าคอนางไว้ แรงบีบทำให้ชิงลั่วเยี่ยนหายใจไม่ออก นางไม่สามารถแยกแยะได้อีกต่อไปว่านี้คือภาพลวงตาหรือว่าความจริง นั่นเพราะความรู้สึกใกล้ตายเช่นนี้มันเหมือนจริงเกินไปแล้ว

ในหมู่พี่น้องที่ต้องตายเพราะนาง มีเพียงคนตรงหน้าเท่านั้นที่นางรู้สึกเสียใจกับการจากไป

นั่นก็เพราะอีกฝ่ายใจดีกับนางมาก พี่ใหญ่รักนางราวกับเป็นมารดาคนหนึ่ง นางดูแลน้อง ๆ ดีกว่าท่านพ่อด้วยซ้ำ แต่กลับเป็นคนแรกที่ต้องจากไป

บาปที่ฝึกวิชาต้องห้ามจะทำร้ายคนที่ใกล้ชิดกับผู้ฝึกวิชาที่สุดเป็นอันดับแรก และชิงลั่วเยี่ยนก็สนิทกับพี่ใหญ่ที่สุด

ยามเรื่องเกิดมันก็สายไปเสียแล้ว พี่ใหญ่นอนจมกองเลือด ร่างกายเย็นซีดไปแล้ว สีหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความโศกเศร้าและความหวาดกลัว นัยน์ตาเบิกกว้าง ราวกับตายไปทั้งที่ใจยังทุกข์ทรมาน

แต่เมื่อตรวจสอบเข้าก็พบว่าการที่นางแท้งลูก ส่งผลต่อร่างกายและจิตใจนางมากเกินไป พวกเขาไร้เบาะแสอื่นจึงทำอะไรไม่ได้ ได้แต่วางมือพิสูจน์ศพไปเพียงเท่านั้น

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่ทำให้นางรู้สึกผิดไม่รู้จบ ชิงลั่วเยี่ยนก็ไม่อาจต้านทานได้ ปล่อยให้อีกฝ่ายบีบคอนางอย่างบ้าคลั่งต่อไป นางหลับตาลงยอมจำนน รู้สึกว่าอากาศในกายเริ่มลดน้อยลงเรื่อย ๆ นางพยายามอย่างยิ่งที่จะเค้นคำแผ่วออกมา “ข้า….. ข้าขอ….. โทษ…..”

ยามที่รู้สึกว่าไม่มีอากาศให้หายใจอีกและใกล้จะสิ้นใจเต็มทน แรงบีบที่คอก็หายไป อากาศไหลกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง

พริบตาถัดมา เปลือกตาที่ปิดแน่นก็ค่อย ๆ เปิดออก

นางกำลังนอนอยู่บนเตียงตนเอง หลังชุ่มเหงื่อเย็น ภายในเรือนนอนกว้างขวาง มีเพียงเทียนเล่มหนึ่งถูกจุดไว้เท่านั้น ไม่มีอะไรแปลกไปสักนิด

แต่ชิงลั่วเยี่ยนรู้ดีว่าตนเพิ่งพบกับสิ่งใดมา

นางยกมือขึ้นแตะลำคอ มันยังรู้สึกเจ็บอยู่เล็กน้อย

ฝัน…หรือมันคือความจริงกันแน่?

ชิงลั่วเยี่ยนค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งบนเตียง ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวไปที่หน้าต่างที่เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวทั้งหมด มือที่ยื่นออกไปชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ผลักมันเปิดออก

ฝนยังตกอยู่ ท้องฟ้ายังมืดสนิท ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

นางฝันไป….. จริง ๆ หรือ?

ชิงลั่วเยี่ยนถอนหายใจคุมสติ กำลังจะปิดหน้าต่าง ที่หางตากลับเห็นบางอย่างเข้า นางรีบผงะถอยออกมาด้วยความหวาดกลัว

ภายใต้ท้องฟ้าฝนตกพรำ ๆ ยามค่ำ ทุกสิ่งอย่างดูพร่ามัวมืดมนไปหมด แต่ยามที่สายฟ้าฟาดลงที่ขอบฟ้าเมื่อครู่ เกิดแสงสว่างวาบขึ้นพริบตาหนึ่ง นางจึงเห็นเศษชุดสีแดงห้อยอยู่บนกิ่งไม้….

ที่อีกด้านหนึ่ง ชิงอวี่เพิ่งจะกลับถึงห้อง นางถอดชุดชั้นนอกที่สวมยามออกไปเดินออก ดีดนิ้วครั้งหนึ่งก็เรียกเปลวไฟออกมาเผามันเพื่อทำลายหลักฐาน

ที่มุมปากนางปรากฏรอยยิ้มบางเบา นัยน์ตาหงส์ส่องสว่างด้วยประกายแสงประหลาด นางอดรู้สึกตลกไม่ได้ที่ก่อนหน้านี้ชิงลั่วเยี่ยนดูหวาดกลัวหนักหนา

ว่ากันว่าหากไร้บาปใดก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาหายามราตรี เมื่อครู่ได้เห็นใบหน้านางแล้ว คงจะก่อกรรมทำเข็ญไว้มากโขทีเดียว

นางยังครุ่นคิดอยู่ยามที่รู้สึกว่ามีแรงรัดที่เอว ก่อนที่อกกว้างจะทาบทับกับแผ่นหลังนาง แขนยาวของชายหนุ่มโอบร่างนางไว้แน่น น้ำเสียงทุ้มพลันเอ่ยขึ้นดูขบขัน “เจ้าคิดแผนร้ายอะไรอยู่ถึงได้ยิ้มชั่วร้ายถึงเพียงนั้น หือ?”

ชิงอวี่ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากถองศอกเข้าที่อกนั่น “ปล่อยข้า ชุดข้าเปียกนะ”

โหลวจวินเหยากุมมือเย็นเฉียบของนางไว้ “ไม่เป็นไร ตัวข้าอุ่น เดี๋ยวข้าช่วยทำให้เจ้าอุ่นเอง”

ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมปล่อยนางง่าย ๆ

ชิงอวี่จึงได้แต่กลอกตาจนใจ เดิมทีนางคิดไปอาบน้ำ แต่เขาก็มาเสียได้ นางย่อมไม่สามารถเอ่ยคำใดออกไปได้ ไม่เช่นนั้นเจ้าหมอนี่คงได้เอ่ยคำราว ๆ อาบน้ำด้วยกันเทือกนี้ออกมาแน่นอน

นางคิดได้ดังนั้นจึงรวมพลังวิญญาณเพื่อไล่น้ำฝนออกจากร่างจนตัวแห้ง

“เป็นอย่างไรบ้าง? คืนนี้ไปทำอะไรมา?” โหลวจวินเหยาโอบร่างนางไว้พร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนเปิดปากถาม

ชิงอวี่ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเผยใบหน้าสุขสันต์นัก “ข้าไปกลั่นแกล้งสตรีผู้นั้นมา”