เล่ม 1 ตอนที่ 82-2 อยู่ลำพังท่ามกลางราตรี

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 82-2 อยู่ลำพังท่ามกลางราตรี
ตอนนี้ครอบครัวสามคนนี้เป็นคนดังในหมู่บ้านแล้ว ทุกคนต่างอยากนั่งร่วมเกวียนกับพวกเขา เพราะท่านน้าตระกูลจางช่วยดึงวั่งซูขึ้นมา วั่งซูจึงเข้าไปนั่งข้างนาง เฉียวเวยนั่งติดกับวั่งซู ส่วนจิ่งอวิ๋นนั่งต่อจากเฉียวเวยอีกที นั่งกันเรียบร้อยตามนี้

จากอดีตที่เคยหลบเลี่ยงสามแม่ลูก ยามนี้กลับรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้นั่งเกวียนคันเดียวกัน จิตใจคนช่างเปลี่ยนแปลงง่ายดายนัก

ก่อนเกวียนเคลื่อนตัว น้าหลิวก็วิ่งตะลีตะลานเข้ามา “เดี๋ยว รอข้าก่อน รอข้าด้วย!”

ตาเฒ่าซวนจื่อจึงเอ่ยถาม “สะใภ้บ้านหลิวไปเมืองด้วยหรือ!”

น้าหลิวยืดอก “ไปเมืองอะไร ข้าจะไปเมืองหลวงต่างหาก!”

คนในหมู่บ้านเล็กๆ เข้าเมืองสักครั้งก็เป็นเรื่องแปลกแล้ว เข้าเมืองหลวงยิ่งสุดยอด น้าหลิวคิดว่าทุกคนคงจะอิจฉานางไม่มากก็น้อยแล้วเข้ามาถามว่านางไปเมืองหลวงทำอะไร แต่สิ่งที่ทำให้นางผิดหวังก็คือไม่มีผู้ใดสนใจนางสักนิด

ตรงกันข้ามลูกสะใภ้บ้านเหอกลับถามเฉียวเวยว่า “เสี่ยวเฉียว พวกเจ้าจะไปไหนกันหรือ”

เฉียวเวยตอบอย่างเป็นมิตร “เข้าเมืองซื้อของเล็กน้อย”

“ไปซื้อเครื่องเรือนใช่หรือไม่” สะใภ้บ้านเหอถาม

เฉียวเวยพยักหน้า

น้าหลิวผู้ถูกเมินอย่างสิ้นเชิงขึ้นเกวียนโดยที่หน้าดำทะมึน นางเป็นญาติของหัวหน้าหมู่บ้าน ยามปกติทุกคนล้วนวนล้อมรอบตัวนาง แต่ตอนนี้กลับถูกหญิงม่ายจากต่างถิ่นคนหนึ่งมาแย่งความสำคัญ ความจริงก็ถูกแย่งไปนานแล้ว แต่ในใจนางไม่เคยยอมรับก็เท่านั้น

นางนั่งตรงข้ามกับเฉียวเวย ด้านข้างลูกสะใภ้ตระกูลเหอ

ลูกสะใภ้ตระกูลเหอเขยิบไปอีกด้านหนึ่งเล็กน้อย ตั้งใจจะเว้นระยะห่างจากนางสักหน่อย ก็มิใช่ว่าลูกสะใภ้ตระกูลเหอรังเกียจนาง อีกฝ่ายเพียงไม่ต้องการเบียดกับนางเท่านั้น

แต่นางกลับคิดว่าลูกสะใภ้ตระกูลเหอกระสันอยากประจบเฉียวเวยจงใจวาดเส้นแบ่งกับนาง จึงแค่นเสียงอย่างดูแคลนทันที “มีอันใดยอดเยี่ยมนัก มิใช่แค่ลูกสะใภ้ที่หนีออกจากบ้านคนหนึ่งหรือ ก็มิรู้ว่าถูกใครทำจนท้องป่อง บ้านแม่สามีถึงไม่กล้ารับกลับ”

เริ่มแรกทุกคนยังไม่เข้าใจว่านางด่าผู้ใด จนกระทั่งนางใช้สายตาแฝงเจตนาร้ายกวาดมองบนร่างจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูสองรอบ ทุกคนถึงเข้าใจว่าลูกสะใภ้หนีออกจากบ้านที่นางว่าก็คือเฉียวเวย

คำพูดนี้เจตนาว่าร้ายชัดจริงเชียว ไม่เพียงด่าเสี่ยวเฉียวว่าเป็นหญิงร่าน แม้แต่ลูกทั้งสองคนก็พลอยถูกด่าไปด้วย ขาดก็เพียงบอกมาชัดๆ ว่าจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเป็นลูกชู้เท่านั้น

สายตาของเฉียวเวยเย็นยะเยือกในพริบตา “หลิวชุ่ยฮวา! เจ้าพูดอะไร หากกล้าก็ลองพูดให้ข้าฟังอีกครั้งสิ!”

“ทำไม กล้าทำ แล้วไม่กล้าให้คนพูดหรือ” หลิวชุ่ยฮวาชอบใจท่าทางเดือดดาลของนางนัก อาศัยอะไรตนเองชีวิตย่ำแย่เช่นนี้ แต่นางกลับรุ่งโรจน์สุขสบาย นางสมควรเป็นเหมือนลูกสะใภ้ครอบครัวยากจนทุกคน อยู่ที่บ้านถูกแม่สะใภ้ผู้ร้ายกาจตวาดตะคอก ถูกน้องสามีใช้ทำโน่นทำนี่ มีงานในนากองพะเรอที่ทำไม่เสร็จ แล้วยังมีเสื้อผ้าที่ซักไม่หมดไม่สิ้น ไม่อาจกินของอร่อย ไม่อาจสวมเสื้อผ้าดีๆ ไม่อาจท่องเที่ยวไปทั่ว ไม่อาจมีสิทธิมีเสียงในบ้าน…นี่สิชีวิตของนาง มิใช่ชีวิตที่ทำให้ทุกคนอิจฉานางเช่นนี้!

เฉียวเวยเห็นท่าทางเจ็บแค้นของน้าหลิวก็รู้ว่าโรคขี้อิจฉาของนางกำเริบอีกแล้ว จึงเอ่ยอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “ข้ากล้าฟังอยู่แล้ว แต่เจ้ากล้าพูดต่อหรือไม่”

อีกฝ่ายจะไปปากเปราะลับหลังนางก็ช่างเถิด หากไม่มาทำให้นางรำคาญ นางก็คร้านจะสนใจอีกฝ่าย แต่วันนี้อีกฝ่ายดันมาพูดถ้อยคำทนฟังไม่ได้เช่นนี้ต่อหน้าลูกของนาง แล้วจะให้ในใจเด็กๆ คิดอย่างไร

สิ่งที่นางเกลียดที่สุดก็คือยามบุรุษวิวาทกันลากสตรีเข้าไปเกี่ยว ยามสตรีทะเลาะกันลากเด็กน้อยเข้าไปยุ่ง การกระทำเช่นนี้น่ารังเกียจยิ่งกว่าเดนมนุษย์

น้าหลิวถูกสายตาของเฉียวเวยมองจนหวาดผวาขวัญสะท้าน แต่มีคนมากมายเช่นนี้มองอยู่ นางย่อมมิอาจปล่อยให้ผู้อื่นเห็นนางทำตัวขายหน้า “ทำไม แม่สามีเจ้าไปหาเจ้าไม่ใช่หรือ แปดส่วนคงพบว่าลูกสองคนของเจ้าไม่ใช่หลานแท้ๆของนาง ดังนั้นเลยไม่เอาเจ้าแล้วล่ะสิ ทุกคนมาดูเร็วเข้า นางคนนี้มีบ้านสามี มีสามีแล้ว แต่นางลอบคบชู้ลับหลังสามี จนมีลูกชู้เกิดมา แม้แต่บ้านสามีก็ไม่กล้ารับกลับไป! คนพรรค์นี้ สมควรถูกจับถ่วงน้ำใน…”

ปึง!

คำว่ากรงหมูยังไม่ทันเอ่ยจนจบ น้าหลิวก็ถูกแรงมหาศาลคว้าคอเสื้อแล้วเหวี่ยงลงบนพื้นเกวียนอย่างหนักหน่วง!

อวัยวะภายในของนางราวกับถูกกระแทกจนแหลกแล้ว นางเจ็บปวดจนสองตาเห็นดาว

เฉียวเวยคว้าลำคอของนางไว้ น้ำเสียงประหนึ่งบึงเหมันต์ “หากเจ้าเอาแต่พ่นอาจมออกมาจากปากอีก ข้าจะโยนเจ้าลงไปในบ่ออาจมจริงๆ ให้เจ้ากินเสียให้พอ!”

น้าหลิวถูกบีบคอจนหายใจไม่ออก ใบหน้านางกลายเป็นสีดุจตับหมู นางถลึงตาโตอย่างชิงชังและหวาดกลัว “เจ้า…เจ้าอย่าให้มัน…เกินไป…นัก…”

เฉียวเวยเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าทำเกินไปแล้วจะทำไม มีความสามารถเจ้าก็สวนกลับมาสิ ไม่มีความสามารถก็หดหางทำตัวให้มันดีๆ ตนเองมีความสามารถเท่าไรยังไม่รู้ ก็กล้ามามาอวดเบ่งต่อหน้าข้า! ตอนนั้นที่สั่งสอนเจ้าคงเบาไป เจ้าเลยคิดว่าข้ากลัวเจ้าใช่หรือไม่”

“ข้า…ข้าเป็น…ของหัวหน้าหมู่บ้าน…”

เฉียวเวยยิ้มหยัน “เจ้าเป็นพี่สาวของหัวหน้าหมู่บ้านหรือว่าน้องสาวของหัวหน้าหมู่บ้านเล่า เป็นญาติเกือบจะตั้งแต่ห้ารุ่นที่แล้ว ยังหวังว่าหัวหน้าหมู่บ้านจะออกหน้าให้เจ้าอีกหรือ ทำไมเจ้าถึงหน้าหนาเช่นนี้นะ”

หัวหน้าหมู่บ้านรำคาญหลิวชุ่ยฮวาแทบตายแล้วมากกว่า มิเช่นนั้นตอนนั้นก็คงไม่อาศัยเรื่องขโมยเสี่ยวไป๋ ริบนารกร้างที่รับปากจะมอบให้หลิวชุ่ยฮวาคืน หลิวชุ่ยฮวาคิดจริงหรือว่าหัวหน้าหมู่บ้านกำลังชดใช้ความเสียหายที่นางก่อ อย่าไร้เดียงสานักเลย นางเป็นคนนอกหมู่บ้านคนหนึ่ง มีค่าให้หัวหน้าหมู่บ้านชดใช้หรือ หัวหน้าหมู่บ้านกำลังตีระฆังเตือนหลัวชุ่ยฮวาต่างหาก เขากำลังบอกนางว่าหลังจากนี้อย่าได้เอาชื่อญาติของหัวหน้าหมู่บ้านวางอำนาจไปทั่วอีก

น่าเสียดายหลัวชุ่ยฮวาโง่ไปจนถึงกระดูก เป็นตายก็มองเจตนาของหัวหน้าหมู่บ้านไม่ออก แล้วยังมาคิดบัญชีก้อนนี้บนศีรษะของนางด้วย

นางกลายเป็นแพะรับบาปแทนเสียอย่างนั้น!

หลิวชุ่ยฮวามองลูกสะใภ้ตระกูลเหอกับท่านน้าตระกูลจางอย่างขอความช่วยเหลือ น่าเสียดายตัวนางนิสัยแย่เช่นนั้น ผู้อื่นจึงไม่อยากสนใจนางแม้แต่น้อย ทุกคนต่างรู้สึกว่าปากสกปรกอย่างนางสมควรถูกตีแล้ว

ตาเฒ่าซวนจื่อทำเป็นไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น มุ่งมั่นขับเกวียนต่อไป

เฉียวเวยคว้าตัวน้าหลิวแล้วโยนลงจากเกวียนดัง โครม!

น้าหลิวล้มคว่ำดินโคลนเต็มปาก “ของข้า!”

เฉียวเวยหยิบห่อผ้าแล้วโยนลงไป “ตาเฒ่าซวนจื่อ ค่ารถของนางข้าออกเอง”

“เอ้อ” ตาเฒ่าซวนจื่อขานรับ

ท่านน้าตระกูลจางเอ่ยปลอบ “เสี่ยวเฉียวเจ้าอย่าโกรธไปเลย นางก็เป็นเช่นนี้ ปากเอ่ยคำดีๆ ออกมาไม่เป็น ตอนนั้นนางบอกทุกคนไปทั่วว่าข้าขโมยของบ้านนาง ข้ายังไม่เคยไปบ้านนางด้วยซ้ำ!”

สะใภ้ตระกูลเหอเอ่ยบ้างว่า “ตัวนางเองต่างหากที่ชอบหยิบฉวยข้าวของ ปีกลายฉวยข้าวโพดจากไร่ของข้าไปตั้งหลายฝัก แต่ข้าไม่สะดวกใจจะต่อว่านาง!”

ท่านน้าตระกูลจางหัวเราะ “ใช่แล้ว นิสัยนางมีปัญหา คำพูดของนาง เจ้าอย่าเก็บไปใส่ใจเป็นดี พวกเราล้วนเชื่อเจ้า”

เชื่ออะไรนาง เชื่อว่าลูกของนางไม่ใช่ลูกชู้ หรือเชื่อว่านางไม่ได้หนีออกจากบ้านสามี ความจริงแล้วตัวนางเองยังไม่แน่ใจแลยว่าตนเองมีสามีกับแม่สามีจริงหรือไม่ นางเพียงรู้จากปากป้าหลัวว่านางถูกครอบครัวไล่ออกมาเท่านั้น ครอบครัวที่ว่านี้คือครอบครัวบ้านแม่ของตนเองหรือครอบครัวสามีก็มิอาจรู้ได้

เฉียวเวยมาถึงในเมืองก็พบว่าปริมาณคนสัญจรไปมามากกว่าเคยเล็กน้อย บนถนนใหญ่รถม้าวิ่งกันขวักไขว่ ไม่มีตรงไหนไม่พลุกพล่าน

“ฮูหยิน!” เฉินต้าเตาแบกดาบเล่มใหญ่วาววับเล่มหนึ่งเดินเข้ามาอย่างชวนข่มขวัญ

“ท่านอาต้าเตา!” วั่งซูทักทายเสียงหวาน

จิ่งอวิ๋นนิสัยนิ่งขรึม คนไม่สนิทเขาไม่ทักทาย เฉินต้าเตาถูกเขาจัดอยู่ในประเภทคนไม่สนิทอย่างชัดเจน

เฉินต้าเตาหัวเราะร่าขยี้หัวเด็กน้อยน่ารักทั้งสองคน “วันนี้ทำไมมาเดินตลาดได้เล่า”

วั่งซูยิ้มแก้มปริตอบว่า “ท่านแม่พาพวกเรามาซื้อของ!”

“ยังดักตีคนปล้นของอยู่หรือ” เฉียวเวยเอ่ยหยอก

เฉินต้าเตาตบหน้าอก “ใช่ที่ไหนเล่า ข้าเป็นคนดีแล้ว! พวกร้านค้าเชิญพวกเราพรรคชิงหลงไปช่วยคุ้มครองความปลอดภัยแถวนี้ ป้องกันโจรขโมยอะไรพวกนั้น”

พูดมาพูดไปก็เป็นการเก็บค่าคุ้มครองอยู่ดี แต่ถูกกฎหมายแล้ว อย่างนี้ก็ไม่เลว

เฉียวเวยแสดงท่าทีชมเชยอย่างหาได้ยาก “ทำให้ดีเล่า ต้าเตา”

เฉินต้าเตาเกาศีรษะ ยิ้มอย่างกระดากอาย “เมื่อครู่พวกพี่น้องบอกว่าทางตะวันออกมีเรื่อง ข้าต้องไปดูก่อน กลับมาจะเลี้ยงน้ำชาฮูหยิน!”

เฉียวเวยมองแผ่นหลังของเขาเคลื่อนไกลออกไป จากนั้นก็เหงื่อตก ‘ต้าเตา ทางนั้นมันทิศใต้…’

เฉียวเวยพาลูกๆ มาเดินตระเวนร้านขายเครื่องเรือน ถามไถ่ราคาสักหน่อยก็พบว่าพวกมันแพงกว่าที่คิดไว้เล็กน้อย ไม่ได้บอกกันว่ายุคโบราณมีไม้มาก ตัดได้ตามใจ ดังนั้นจึงไม่แพงนักหรือ แค่เตียงไม้หลังใหญ่หลังหนึ่งก็ตั้งเจ็ดแปดตำลึงแล้ว! ตู้เสื้อผ้าหลังหนึ่งก็สองตำลึง โต๊ะเครื่องแป้งตัวหนึ่งก็สองตำลึง โต๊ะแปดเหลี่ยมก็หนึ่งตำลึงกับสิบอีแปะ…

นางซื้อของครบห้องหนึ่งก็จ่ายไปสิบห้าตำลึงแล้ว แต่ของเด็กๆ ยังไม่ได้ซื้อสักชิ้นเลยนะ!

“เถ้าแก่ ของร้านท่านออกจะแพงไปหน่อยแล้ว”

เถ้าแก่อธิบาย “แม่นาง เครื่องเรือนพวกนี้ทั้งหมดล้วนทำมาจากไม้ประดู่ชั้นดีเชียวนะ นายช่างที่ทำก็เป็นนายช่างอาวุโสที่ทำงานมาหลายสิบปี ราคานี้คุ้มค่ามากแล้ว ข้าเห็นแก่ที่เจ้าพาลูกน้อยมาสองคนจึงไม่เรียกราคากับเจ้า”

พูดเสียน่าฟังกว่าครวญเพลง ไม่เรียกราคาแล้วเจ้าเอากำไรจากไหน

“มีของที่ชอบหรือไม่” เฉียวเวยลูบหัวทั้งสองคน

จิ่งอวิ๋นส่ายศีรษะอย่างรู้ความ

วั่งซูเห็นพี่ชายส่ายหน้า นางก็ส่ายหัวบ้าง ความจริงนางชอบเตียงหลังใหญ่นั่นมาก หลังใหญ่ มันวาว กระโดดไปมาด้านบนได้

เฉียวเวยไหนเลยจะไม่ทราบความคิดของนาง นับตั้งแต่เข้ามาในร้าน ดวงตาคู่นั้นก็จ้องเตียงหลังนั้นแล้ว “พวกเราลองดูก่อนว่ามีอย่างอื่นที่ดีกว่าเตียงหลังใหญ่หรือไม่ หากไม่มี แม่จะกลับมาซื้อเตียงหลังนี้ให้”

วั่งซูพยักหน้าอย่างเบิกบานใจ “อืม!”

เฉียวเวยพาลูกๆ ไปร้านเครื่องเรือนร้านอื่น ราคาแทบจะเหมือนกันกับร้านแรก ดูท่าราคาตลาดจะเท่านี้ หากต้องการซื้อเครื่องเรือนให้ครบจริงๆ สิบห้าตำลึงก็มิใช่ว่าจะไม่พอ เพียงลดระดับลงไปหน่อย กลับไปใช้ของระดับเดียวกับก่อนหน้านี้ก็ใช้ได้แล้ว แต่สายน้ำไหลลงต่ำ คนก้าวขึ้นที่สูง นางจะยิ่งซื้อยิ่งได้ของเลวลงได้อย่างไร

ทุกร้านที่ไป วั่งซูล้วนจ้องเตียงของผู้อื่นไม่วางตา ดวงตาคู่นั้นทอประกายแวววาวดั่งเสือพบกระต่าย

เฉียวเวยลูบศีรษะน้อยของนางอย่างอดไม่ได้ “แม่รับปากเจ้า ต้องซื้อเตียงที่ทั้งใหญ่ทั้งดีให้เจ้าหลังหนึ่งแน่นอน!”

ตระเวนมาหลายร้าน เฉียวเวยก็ยังไม่พบราคากับรูปแบบเหมาะๆ นางไม่ค่อยรู้เรื่องไม้นัก ผู้อื่นบอกว่าเป็นไม้ประดู่ ไม้หวงหลี นางก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ อย่างไรคงต้องลองหาคนที่มีความรู้ด้านนี้สักคนมาถามดูจะเหมาะสมกว่า

ตกบ่ายเฉียวเวยพาลูกๆ ไปร้านขายผ้าสั่งตัดเสื้อผ้าสำหรับหน้าร้อนสี่ชุด แล้วจึงไปตลาดนัดซื้อผักสักหน่อย จากนั้นจ้างรถม้าจากร้านเช่ารถม้าเพื่อเดินทางกลับ ตอนถึงหมู่บ้านแสงอัสดงก็ส่องไปทั่วแล้ว

นางขึ้นเขาไปดูความคืบหน้าของบ้านก่อน บ้านดินหลังน้อยก่อนหน้านี้ถูกรื้อจนหมด เพิงที่ผูกไว้รอบด้านมีกลิ่นเนื้อหอมฉุยลอยออกมา ป้าหลัว มารดาของเอ้อร์โก่วจื่อและป้าจ้าวทำอาหารให้บรรดานายช่างอยู่

นางหิ้วเนื้อหมูกับเนื้อปลาที่ซื้อกลับมาเข้าไปใน ‘ห้องครัว’

ป้าหลัวเอ่ยทันที “ซื้อเนื้อมามากมายเช่นนี้ทำอันใด วันแรกกินดีก็พอแล้ว มีที่ไหนได้กินปลากินเนื้อทุกวัน”

สิ้นเปลืองเงินนัก!

เฉียวเวยยิ้มละไม ตอบว่า “ทุกคนกินอิ่มจึงจะมีแรงทำงาน ข้าหวังว่าเดือนหน้าบ้านจะเสร็จ”

ป้าหลัวหัวเราะนาง “ไม่เร็วปานนั้นหรอก! บ้านเจ้าหลังใหญ่ อย่างน้อยก็ต้องสองเดือน หากฝนตกลงมาก็ต้องสามเดือน!”

“นานปานนั้นเชียว!” นางจำได้ว่าตอนยังเด็กสร้างบ้านออกจะเร็วนี่นา เหมือนกับว่าชั่วข้ามคืนก็ผุดออกมาจากพื้น!

ป้าหลัวชี้นายช่างที่กำลังตัดไม้อยู่ “เจ้าใช้ไม้ตั้งมาก ไม่ว่าตรงไหนๆ ก็ต้องทำไปทีละส่วน! แล้วยังต้องขุดสระอีก เจ้าคิดว่าขุดสระง่ายนักหรือ!”

เฉียวเวยพยักหน้า “สามเดือนก็สามเดือน ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม!”

ข้าวเย็นกินกันบนเขา หลังฟ้ามืดทุกคนก็ลงจากเขา เหลือแต่หลัวหย่งจื้อเฝ้ายามกลางคืนอยู่บนเขา

ตอนเฉียวเวยอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก็พบว่าปิ่นของตนหายไปแล้ว ปิ่นดอกเหมยหยกน้ำผึ้งที่หมิงซิวมอบให้ นางตามหาในบ้านนอกบ้านตระกูลหลัวรอบหนึ่งก็หาไม่พบ คิดขึ้นมาว่าอาจตกอยู่บนเขาก่อนหน้านี้หรือไม่ จึงตัดสินใจออกไปตามหาบนเขาดู

เสี่ยวไป๋แบกโคมไฟบนหลังขึ้นเขาไปด้วยกันกับเฉียวเวย

ทิวทัศน์ยามค่ำคืนบนเขางดงามนัก ดวงจันทร์สว่างดั่งจานสีเงินลอยสูงอยู่บนม่านนภาสีครามเข้ม ดวงดาวพราวพร่างระยิบระยับ ขุนเขาเขียวแลดูเป็นสีดำทะมึน เงียบสงัดและสงบสุข

เสี่ยวไป๋วิ่งเหยาะๆ ขึ้นเขาไปตลอดทาง จะว่าไปแล้วก็แปลก เจ้าตัวนี้ตอนมาเป็นลูกเพียงพอนตัวหนึ่ง แต่ตอนนี้ผ่านไปหลายเดือนแล้วก็ยังเป็นลูกเพียงพอนอยู่

บนเขาข้าวของวางระเกะระกะอยู่บ้าง เสียงกรนของหลัวหย่งจื้ออยู่ท่ามกลางราตรีอันเงียบสงัดฟังกระจ่างชัดยิ่งนัก เฉียวเวยไม่อยากปลุกเขา จึงแยกย้ายกันหากับเสี่ยวไป๋

ทันใดนั้นเงาดำร่างหนึ่งก็ทาบทับมาจากด้านหลัง นางเห็นเงาดำที่ทอดลงบนพื้นจึงชักมีดสั้นในแขนเสื้ออกมาอย่างเงียบเชียบ

“จะสังหารคนอีกแล้วหรือ”

เสียงของจีหมิงซิวเอ่ยเนิบช้า โทนเสียงทุ้มต่ำแฝงแววหยอกล้อ เสียงน่าฟังชวนให้คนหลงใหล

เฉียวเวยใจเต้นจังหวะหนึ่ง จากนั้นหันกลับไปพร้อมสีหน้ามึนงง “เหตุใดเป็นท่าน ดึกดื่นเที่ยงคืน ไม่อยู่ในเมืองหลวง วิ่งมาบ้านข้าทำอันใด”

จีหมิงซิวไม่ได้ตอบคำถามของนางทันที แต่กวาดสายตามอง “เจ้าสร้างบ้านอยู่หรือ”

เฉียวเวยขานตอบ “เพิ่งเริ่มสร้าง”

จีหมิงซิวมองพื้นที่เพิ่งปรับ “เห็นแล้ว” จากนั้นชี้รั้วไม้ที่ล้อมอยู่ไม่ไกล “ตรงนั้นจะทำอันใด”

“ขุดสระน้ำ”

“สระเลี้ยงปลา?”

“สระว่ายน้ำ!”

“อ้อ สระว่ายน้ำ” แววตาของจีหมิงซิวเหมือนแฝงความนัยบางอย่าง

เฉียวเวยรู้สึกใจฝ่ออย่างประหลาด นี่ช่างแปลกนัก ตนจะขุดสระน้ำ แต่เหตุใดพอเขาถามขึ้นมา กลับใจฝ่อ เหมือนว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจบอกกับเขาได้เสียอย่างนั้น

“ท่านมาทำอะไร” เฉียวเวยรีบเบี่ยงประเด็น

จีหมิงซิวรั้งสายตากลับมาจากสระว่ายน้ำในอนาคต “ใครบางคนทำของตกไว้ ข้าเก็บได้ไม่คิดลักเอาเป็นของตัว จึงมาตามหาเจ้าของ” พูดพลางก็แบฝ่ามือออก เผยปิ่นดอกเหมยหยกน้ำผึ้งที่สมบูรณ์ดีเล่มนั้น “เมื่อครู่เพิ่งเก็บได้ คิดว่าเจ้าจงใจทิ้งเสียอีก”

“ไม่ใช่สักหน่อย” เฉียวเวยเอื้อมมือมาคว้า

แต่เขากลับยกแขนขึ้นเล็กน้อย หลบมือของเฉียวเวย

เฉียวเวยเอื้อมมือไปอีกครั้ง เขาก็ชูสูงขึ้นอีก

เฉียวเวยกระโดด แต่ผู้อื่นตัวสูงแขนยาว กระโดดอย่างไรก็ไม่ถึง!

เจ้าหมอนี่!

เฉียวเวยมองเขาอย่างฮึดฮัด

เขายกริมฝีปากยิ้มละไม รอยยิ้มบนดวงหน้าทำให้รัตติกาลอ่อนโยนตามไปด้วย