ตอนที่ 83-1 เฉียวเวยออกโรง
เฉียวเวยเลิกกระโดด นางหยุดยืนนิ่ง ศีรษะน้อยๆ ก้มหน้างุด จับจ้องปลายเท้าของตนที่กำลังวาดวงกลมบนพื้น
ท่าทางเศร้าสร้อยอันน่ารักน่าชังนั่นทำให้จีหมิงซิวรู้สึกว่าหากวันหนึ่งวั่งซูเติบใหญ่แล้วถูกคนรังแกก็คงจะมีท่าทางเช่นนี้
จีหมิงซิวอดกลั้นไม่ไหวยกมุมปากยิ้ม แล้วปักปิ่นลงบนเรือนผมของนาง
นางเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดิมทีเตรียมตัวจะนอนแล้ว เมื่อพบว่าปิ่นไม่อยู่จึงออกตามหา ด้วยความรีบร้อนจึงเพียงหวีผมเกล้ามวยไว้ลวกๆ เท่านั้น ปอยผมสีดำสนิทส่วนที่เหลือปล่อยสยายตามสบาย ยามอยู่ใต้แสงจันทร์เปล่งประกายดุจผืนผ้าไหม ขับผิวของนางให้แลดูละมุนขึ้นอีกหนึ่งส่วน
จีหมิงซิวยกมือขึ้น ปลายนิ้วเคลื่อนเข้าใกล้ใบหน้าของนางอย่างเชื่องช้า
“จริงสิ ท่านมาด้วยเหตุใดกันแน่” จู่ๆ เฉียวเวยก็เอ่ยปาก “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านมาเพื่อคืนปิ่นที่เก็บได้ให้ข้า ท่านพยากรณ์หยั่งรู้มิได้เสียหน่อย”
จีหมิงซิวแววตาชะงักวูบหนึ่งแล้วลดมือลง “มาซื้อไข่เยี่ยวม้าของเจ้า”
“บ้านท่านกินไข่เยี่ยวม้าเร็วจริงเชียว!” เฉียวเวยมองเขา ดวงตาเป็นประกายระยับดั่งดารายามค่ำคืน “ข้ามิใช่เคยบอกท่านแล้วหรือว่าไข่เยี่ยวม้ากินครั้งเดียวมากเกินไปไม่ได้”
“ไม่ได้กินมากเท่าไรหรอก ส่งเป็นของกำนัลให้ผู้อื่นหมด” ตั้งแต่เล็กจนโตล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าของสิ่งใดหากเขามอบให้ท่านแม่เฒ่า ท่านก็จะนำไปอวดเสมอ ไข่เยี่ยวม้าที่เป็นของกินเช่นนี้ย่อมหนีไม่พ้น
เฉียวเวยเข้าใจจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ไข่เยี่ยวม้าข้าเอาไปเก็บไว้ที่บ้านหลัวแล้ว ท่านรอประเดี๋ยว ข้าจะไปหยิบให้ท่าน”
จีหมิงซิวเอ่ยเย้า “จะให้บุรุษตัวโตยืนอยู่ตรงนี้ แล้วปล่อยให้สตรี ‘ทำงานรับใช้’ หรือไร”
โอ๊ะ เป็นสุภาพบุรุษเสียด้วย
เฉียวเวยลอบมองเขา ในใจเดาออกแล้วว่าเขาจะพูดอะไร แต่นางกดมุมปากที่จะขยับยกขึ้นมาไว้ แล้วแสร้งเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “ถ้าเช่นนั้นท่านจะทำเช่นไรเล่า”
จีหมิงซิวรู้ว่านางเดาออกแล้ว แต่ต้องการบีบให้เขาพูดออกมา “ข้าไปหยิบด้วยกันกับเจ้า เจ้าจะได้ไม่ต้องเดินเพิ่มเที่ยวหนึ่ง”
เฉียวเวยตอบทันที “ไม่ต้อง!”
จีหมิงซิวเลิกคิ้ว “ทำไม เป็นความลับหรือไร”
ขนตาของเฉียวเวยกระพือเบาๆ “ไม่ใช่ ดึกดื่นเที่ยงคืน หากข้าพาผู้ชายคนหนึ่งกลับบ้านแล้วถูกคนเห็นเข้าคงได้ตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน”
จีหมิงซิวยิ้มจางๆ “เจ้ากลัวเรื่องนี้ด้วยหรือ”
เฉียวเวยยืดร่างกายเล็กๆ ของตนตอบว่า “ข้ากลัวอะไรเล่า ข้าหญิงม่ายคนหนึ่งเลี้ยงลูกสองคน ได้ยินคำนินทามาน้อยนักหรือ ข้าไม่สนใจหรอกว่าผู้อื่นจะมองข้าเช่นไร ข้าเป็นห่วงท่านต่างหาก ดีเลวท่านก็เป็นคุณชายจากเมืองหลวง ท่านมิกลัวเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือ”
“ไม่กลัว” จีหมิงซิวยิ้มละไม เอ่ยจบก็ก้าวเท้าเดินลงจากเขา
เฉียวเวยสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วหันกลับไปเรียกเสี่ยวไป๋ที่อยู่ในความมืด เสี่ยวไป๋วิ่งว่องไวออกมา
โคมไฟที่ไม่ชอบส่องเรื่องชาวบ้านย่อมไม่ใช่โคมไฟที่ดี เสี่ยวไป๋ยืดอกน้อยๆ อย่างภาคภูมิใจ แล้ววิ่งเข้าไปใกล้แทบจะชิดทั้งสองคน
เฉียวเวยตามจีหมิงซิวไป
สายลมบนภูเขาพากลิ่นหอมของแมกไม้มาพร้อมกับความเย็นชื่น โชยพัดให้จิตใจคนปลอดโปร่ง
ระหว่างทั้งสองคนแรกเริ่มยังรักษาระยะห่างหนึ่งเมตรตามมารยาท แต่เมื่อเดินไปได้ระยะหนึ่งก็ค่อยๆ ลดลงเหลือครึ่งเมตร เมื่อเดินไปอีกช่วงหนึ่งก็กลายเป็นหนึ่งในสามของหนึ่งเมตร เมื่อใกล้ถึงตีนเขา ข้อศอกของทั้งสองคนก็แทบจะชิดติดกัน
แขนเสื้อปัดป่าย ส่งเสียงดังแสกสาก
ทั้งสองคนไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจา พวกเขาต่างมองตรงไปด้านหน้าไม่เหล่ตาเหลือบมองแม้แต่น้อย สีหน้าก็เคร่งขรึมอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นว่าใกล้จะเดินเข้าหมู่บ้านแล้ว เฉียวเวยก็หยุด นางกระแอมให้คอโล่งแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าอย่างไร…ท่าน ท่านรอข้าอยู่ตรงนี้ ในหมู่บ้านมีคนเลี้ยงสุนัขไว้ มันกัดคน”
จีหมิงซิวมองนางอย่างขบคิด มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ มีเสน่ห์ชวนหลงใหลยิ่งนัก “เพราะสุนัขจริงหรือ”
“แน่นอนสิ! ไม่เช่นนั้นจะเพราอะไรเล่า ท่านคิดว่าข้ากลัวผู้อื่นเห็นหรือ” ดวงตาของเฉียวเวยเบิกโตจนกลมดิก จากนั้นเอ่ยอย่างมั่นใจอย่างยิ่งของอย่างยิ่ง “ต่อให้แม่บุญธรรมข้ามา ข้าก็ไม่กลัวหรอก!”
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา
“เสี่ยวเฉียวหรือ! ใช่เจ้าหรือไม่”
เฉียวเวยขวัญกระเจิง ผลักจีหมิงซิวเข้าไปในพุ่มไม้!
จีหมิงซิว “…”
“เสี่ยวเฉียว” ป้าหลัวเดินซอยเท้าเข้ามาหา นางหอบหายใจเอ่ยขึ้นว่า “ข้าเห็นเงาแล้วดูเหมือนเจ้า”
เฉียวเวยหัวเราะแห้งๆ “ท่านมาได้อย่างไร”
ป้าหลัวหอบหายใจ “เจ้าไม่กลับมาสักที ข้าเป็นห่วงว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับเจ้าหรือเปล่า”
เฉียวเวยแววตาวูบไหว “ข้าจะเกิดเรื่องอันใดได้เล่า ท่านกังวลมากไปแล้ว”
ป้าหลัวมองปิ่นดอกเหมยหยกน้ำผึ้งบนเรือนผมของนาง “หาเจอแล้วหรือ ทำหายที่ไหนเล่า”
เฉียวเวยขยับมือชี้ “บนเขา อยู่ตรงประตูอาจตกตอนออกมา”
ป้าหลัวตบหน้าอก “โชคดีไม่มีผู้ใดเก็บไป” นางไม่รู้ว่าปิ่นเล่มนี้ ผู้อื่นเป็นคนมอบให้ รู้แต่ว่าราคาหนึ่งร้อยตำลึง ของแพงเช่นนี้หากหาไม่เจอ นางคงกินข้าวไม่ลงไปสามวัน
นางผ่อนลมหายใจช้าลง แล้วชะเง้อมองรอบด้าน “เจ้าอยู่คนเดียวหรือ”
เฉียวเวยแววตาทอประกายวูบหนึ่ง “ข้า…ข้าก็อยู่คนเดียวนะ”
ป้าหลัวเกาคออย่างประหลาดใจ “เมื่อครู่เหมือนข้าจะเห็นอยู่สองคนนะ”
เฉียวเวยขยับไปทางพุ่มไม้ ใช้ชายประโปรงบังใครบางคนเอาไว้ แล้วเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ท่านมองผิดแล้ว มีแค่ข้ากับเสี่ยวไป๋”
ป้าหลัวเมียงมองรอบด้าน ด้วยไม่เห็นเงาคนและไม่คิดว่าเสี่ยวเวยมีอะไรต้องปิดบังตน จึงคิดว่าตนน่าจะตาลายจริงๆ “ถ้าเช่นนั้นก็แล้วไป พวกเรารีบกลับกันเถิด วันพรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้าอีก”
เฉียวเวยจึงถูกป้าหลัวลากไปอย่างไร้เมตตาเช่นนี้…
หลายวันต่อมา จีหมิงซิวไม่ปรากฏตัวอีก เฉียวเวยกังวลว่าเขาจะโกรธหรือไม่ แต่เมื่อคิดอีกครั้ง บุรุษตัวเบ้อเริ่มคงไม่ใจน้อยขนาดนั้นกระมัง
งานมากมายทำให้เฉียวเวยไม่มีเวลาคิดเหลวไหล เฉียวเวยโยนเรื่องนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็วแล้วทุ่มเทกายใจกับการสร้างบ้านของตน!
นี่เป็นครั้งแรกนับแต่ชาติก่อนจนถึงชาตินี้ที่ได้เห็นกระบวนการ ‘ถือกำเนิด’ ของบ้านตนกับตาตัวเอง ทุกวันขึ้นเขาก็จะพบว่าไม่เหมือนกับเมื่อวาน ความรู้สึกเช่นนั้นแปลกใหม่อย่างบอกไม่ถูก
บ้านมีนายช่างเจิ้งดูแลอยู่ไม่จำเป็นต้องให้เฉียวเวยกังวลใจ เฉียวเวยจึงใช้เวลาส่วนมากในการตระเวนร้านเครื่องเรือนร้านใหญ่แต่ละร้านมากกว่า แต่สุดท้ายนางก็ไม่มีความรู้ในด้านนี้ ตระเวนมาหลายวันก็ยังคงเป็นคนไม่รู้เรื่องอยู่ นางจำได้ว่าเถ้าแก่หรงคล้ายจะมีความรู้ด้านงานไม้อยู่บ้างจึงตัดสินใจไปเยือนหรงจี้สักครั้ง
ช่วงนี้ยุ่งอยู่กับการสร้างบ้าน เวลาที่มาอยู่ประจำหรงจี้จึงน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ทุกครั้งเพียงนำไข่เยี่ยวม้ามาส่งยามเช้าตรู่แล้วก็รีบร้อนกลับหมู่บ้าน
กิจการของหรงจี้แรกเริ่มเงียบเหงาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เงียบเหงาถึงขนาดวางตาข่ายจับนกหน้าประตูได้ ต่อมามี “อาหารสูตรลับ” เพิ่มขึ้นมาอีกหลายอย่าง กิจการจึงดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด แล้วตอนนี้ยังมีเต้าหู้เหม็นที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามเพิ่มขึ้นมาอีก หน้าประตูน่าจะประหนึ่งตลาดสด
ทว่าสิ่งที่ทำให้เฉียวเวยผิดหวังก็คือ เวลามื้อกลางวันแท้ๆ แต่ปริมาณลูกค้ากลับน้อยกว่าต้นเดือนครึ่งหนึ่ง!
“ทำไมเป็นเช่นนี้” เฉียวเวยถามเถ้าแก่หรงที่อยู่หลังโต๊ะคิดเงิน
เถ้าแก่หรงถอนหายใจดังเฮ้อแล้วตอบว่า “เจ้าถามเสี่ยวลิ่วเถอะ ข้าคร้านจะพูด”
เฉียวเวยมองไปทางเสี่ยวลิ่ว “เสี่ยวลิ่ว”
เสี่ยวลิ่วถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยบ่น “ชั่วครู่ชั่วยามข้าเล่าให้ท่านฟังไม่จบหรอก พาท่านไปดูเองก็แล้วกัน!”
เสี่ยวลิ่วพาเฉียวเวยไปที่ตลาด เหลาสุราเย่ว์ไหลที่อยู่ห่างหรงจี้ไม่ถึงร้อยเมตร มีลูกค้าเต็มแน่นจนไม่มีโต๊ะว่าง
เฉียวเวยจำโรงเตี๊ยมเย่ว์ไหลได้เลือนราง ครั้งแรกที่นางมาตั้งแผงขายของในเมือง นางเคยเดินชมร้านรวงทุกร้านบนถนนเส้นนี้ เหลาสุราเย่ว์ไหลกับหรงจี้ล้วนเป็นร้านที่ค่อนข้างเงียบเหงาเหมือนกัน หลายเดือนมานี้หรงจี้กิจการรุ่งเรืองขึ้น แต่เหลาสุราเย่ว์ไหลยังคงเงียบเหงา นี่เพิ่งผ่านไปครึ่งเดือนสั้นๆ เหตุไฉนจึงแย่งลูกค้าของหรงจี้ไปได้มากกว่าครึ่ง
“เสี่ยวลิ่ว เจ้ากลับไปก่อนรอฟังข่าวจากข้า”
“ขอรับ”
เสี่ยวลิ่วจากไปอย่างซึมๆ เฉียวเวยสีหน้าจริงจังยกเท้าก้าวเข้ามาในโรงเตี๊ยมเย่ว์ไหล เสี่ยวเอ้อร์ในร้านเห็นนางสวมผ้าไหมราคาค่อนข้างแพง หน้าตาท่าทางก็โดดเด่นกว่าผู้อื่น ในใจจึงคิดว่าลูกค้าใหญ่มาเยือนอีกคนแล้ว จึงเข้าไปต้อนรับนางอย่างเริงร่า
ชั้นล่างโต๊ะเต็มแล้ว เหลือแต่ห้องส่วนตัวที่ชั้นสอง
เฉียวเวยเลือกห้องแพงที่สุด เสี่ยวเอ้อร์ดีใจออกหน้าออกตา ใช้ผ้าเช็ดเก้าอี้ให้นาง “แม่นางเชิญนั่ง! แม่นางต้องการสั่งอะไรดีขอรับ”
เฉียวเวยยิ้มละไม “พวกเจ้ามีอะไรบ้าง ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะมีเงินไม่พอ ขอเพียงข้าทานแล้วพอใจ เงินย่อมเป็นของพวกเจ้า”
กล่าวจบ นางจึงหยิบเงินหนึ่งตำลึงออกมาจากในถุงเงิน
เสี่ยวเอ้อร์จะเคยเห็นรางวัลก้อนโตเช่นนี้สักกี่ครั้ง ดวงตาเป็นประกายในบัดดล “ข้ามิได้คุยโวนะขอรับ อาหารของเหลาสุราเย่ว์ไหลเราไม่มีจานที่แม่นางกินไม่ได้ มีก็แต่จานที่แม่นางคิดไม่ถึง”
“อ้อ” เฉียวเวยคล้ายจะเริ่มสนใจ “แนะนำสองสามอย่างให้ข้าลองฟังหน่อยสิ ดีที่สุดเอาที่หากินที่อื่นไม่ได้”
“โอ๊ะโอ๋ ถ้าเช่นนั้นแม่นางก็มาถูกที่แล้ว! อาหารสูตรลับของเหลาสุราเราน่ะ แบบนี้เลยเชียว!” เสี่ยวเอ้อร์ยกนิ้วโป้งขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
“ไม่ต้องโม้แล้ว รีบบอกชื่ออาหารมา!”
“ขอรับๆ!” เสี่ยวเอ้อร์ขานรับพลางยิ้มจนตาหยี แล้วร่ายชื่อสิ่งที่เรียกว่าอาหารสูตรลับออกมาในเฮือกเดียว สี่อย่างในนั้นเป็นอาหารที่เฉียวเวยถ่ายทอดวิชาให้หรงจี้
เฉียวเวยยกถ้วยขึ้นจรดริมฝีปากจิบน้ำโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “เอ๋ เต้าหู้เหม็น ไข่เยี่ยวม้า เจดีย์เนื้อ ปลากุ้ยเหม็นนี่ไม่ใช่อาหารสูตรลับของหรงจี้หรือ ครั้งก่อนข้าเคยไปกินที่หรงจี้มาแล้ว”
เสี่ยวเอ้อร์พบลูกค้าช่างสงสัยเช่นนี้มามากจึงตอบอย่างลื่นไหล “แม่นางไม่รู้เสียแล้ว อาหารสามสี่อย่างนี้พวกเราโรงเตี๊ยมเย่ว์ไหลทำออกมาก่อน หรงจี้แอบมาขโมยสูตรอาหารของพวกเราไป รสชาติไม่ดั้งเดิมเท่าพวกเราหรอก!”
ขโมยสูตรอย่างนั้นหรือ!
ใครขโมยสูตรใครกันแน่ ยังไม่แน่หรอก!
เฉียวเวยหัวเราะหยันในใจ แต่ใบหน้ากลับไม่แสดงออกมา “ถ้าเช่นนั้นก็ดี เจ้ายกอาหารที่เจ้าเพิ่งพูดเมื่อครู่มาให้หมด”
“แม่นาง ท่านตัวคนเดียว…ทานมากเช่นนี้ไหวหรือ” สีหน้าสงสัยเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสี่ยวเอ๋อร์ ‘ลูกค้า’ เช่นนี้ พวกเขาก็พบมาไม่น้อย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพื่อนร่วมอาชีพที่มาขโมยวิชา
เฉียวเวยมองความคิดเขาออกจึงยิ้มหวาน “ผู้ใดบอกว่าข้าจะกินคนเดียว เจ้าช่วยไปส่งสารให้พรรคชิงหลงแทนข้า บอกว่าเสี่ยวเฉียวเชิญหัวหน้าพรรคเฉินมาทานอาหาร”
คนของพรรคชิงหลงหรือ เสี่ยวเอ้อร์มิกล้าชักช้า หลังจากไปสั่งอาหารที่ห้องครัวก็มุ่งหน้าไปพรรคชิงหลงด้วยตนเองทันที
เฉินต้าเตามาเร็วยิ่งนัก เฉียวเวยไม่ได้บอกจุดประสงค์ของตนกับเขา เพียงบอกว่าอีกสักพักจะต้องขนเครื่องเรือน อาจต้องขอให้เขากับเหล่าพี่น้องในพรรคมาช่วย เฉินต้าเตาไม่สงสัยว่าเป็นเรื่องอื่น เขาลงมือกินอย่างไม่เกรงใจ
เฉียวเวยชิมอาหารทุกอย่างจนครบ พูดตามตรง รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ เทียบกับของหรงจี้แทบจะใช้ของปลอมมาเป็นของจริงได้ หากมิใช่ว่าตนเป็นคนคิดสูตรอาหารหลายอย่างนี้ขึ้นมาเอง น่ากลัวว่าคงชิมไม่รู้ว่ามีสิ่งใดแตกต่าง
เฉินต้าเตามองไข่เยี่ยวม้าคลุกเต้าหู้บนโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เอ๋ ฮูหยิน โรงเตี๊ยมของพวกเขาเหตุใดจึงมีไข่เยี่ยวม้าด้วยเล่า ไม่ใช่ว่ามีแต่หรงจี้ของท่านที่ขายเจ้านี่หรือ”
ริมฝีปากของเฉียวเวยปรากฏรอยยิ้มเย็นชาจางๆ “เรื่องนี้ยากตรงไหนเล่า ซื้อกลับไปสักสองสามใบก็ทำได้แล้ว”
“ขนมนี่ก็เหมือนจะเป็นของหรงจี้!” เฉินต้าเตาแม้ภายนอกดูโผงผางแต่ก็ช่างสังเกต เขาจึง ‘กิน’ จนพบความผิดปกติอย่างรวดเร็ว “ฮูหยิน ท่านคงไม่ใช่ว่า…แอบร่วมมือกับเย่ว์ไหลลับหลังหรงจี้หรอกนะ”
เฉียวเวยยิ้มไม่ตอบ “กินอิ่มแล้วหรือยัง”
เฉินต้าเตาวางตะเกียบลง “กินอิ่มแล้ว ฮูหยิน อาหารเหล่านี้หากท่านไม่เอา ข้าขอห่อกลับไปให้พวกพี่น้อง!”
“อืม” เฉียวเวยพยักหน้า ต้าเตาน่าจะเป็นหัวหน้าพรรคผู้ประหยัดมัธยัสถ์ที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว
เมื่อกลับมาถึงหรงจี้ เฉียวเวยก็เรียกเถ้าแก่หรงไปที่ห้องบัญชีแล้วคุยกับเขาเรื่องอาหารสูตรลับของร้านที่ตนไปกินมา เถ้าแก่หรงเอ่ยอย่างคับแค้น “เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยกินหรือ ข้าก็เคยกิน! เหมือนกับพวกเราทุกอย่างจริงๆ เสี่ยวเฉียวอาเสี่ยวเฉียว มิใช่ว่าเจ้าแอบไปถ่ายทอดวิชาให้เหลาสุราเย่ว์ไหลลับหลังข้าใช่หรือไม่”
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขาอย่างโหดเหี้ยม “ข้าโง่เช่นนั้นหรือ ถ้าจะถ่ายทอดวิชาให้คนที่อยู่บนถนนเส้นเดียวกัน ไม่สู้ข้าเปิดร้านของตนเองเลยไม่ดีกว่าหรือ!”
“เจ้าจะเปิดร้านของตนเองหรือ” เถ้าแก่หรงยิ่งรับไม่ได้
เฉียวเวยตบหน้าผาก “ข้าเพียงเปรียบเทียบ พอแล้ว อย่าดึงออกนอกเรื่อง พูดเข้าเรื่องเลย อาหารของเย่ว์ไหลไม่ชอบมาพากล”
เถ้าแก่หรงยังเพ้อเจ้อไม่เลิก “เสี่ยวเฉียว เจ้าว่าอาจารย์ของเจ้ามาอยู่ที่เหลาสุราเผิงไหลหรือเปล่า”
เขาคิดว่าเสี่ยวเฉียวทำอาหารเก่งกาจเช่นนี้ ย่อมมิได้เกิดมาก็ทำเป็นมิใช่หรือ จะต้องเหมือนพ่อครัวพวกนั้นของเหลาสุราเป็นแน่ เริ่มจากเป็นลูกศิษย์ก้าวขึ้นมาทีละก้าว
เฉียวเวยคิดในใจว่า ‘อาจารย์ทั้งหลาย’ ของข้าล้วนเป็นคนยุคปัจจุบัน แต่ต่อให้มีคนข้ามมิติมาอีกคนหนึ่ง ก็ไม่อาจมีวิธีปรุงอาหารเหมือนตนราวกับเป็นพิมพ์เดียวกัน
“บ้านเกิดข้าอยู่ไกลมาก คนทั่วไปเดินทางไปไม่ถึง คนฝั่งนั้นก็มาไม่ได้ ดังนั้นท่านวางใจได้ อาหารสูตรลับของเย่ว์ไหลไม่เกี่ยวข้องสักนิดกับ ‘อาจารย์’ ของข้า” เฉียวเวยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาก็ฉายแววสงสัย “หากข้าเดาไม่ผิด ในหรงจี้น่าจะมีเกลือเป็นหนอน”
หรงจี้นับรวมเถ้าแก่หรงกับเฉียวเวยแล้วก็มีคนอยู่ทั้งหมดสิบเก้าคน ในนั้นมีบริกรห้าคน คนปัดกวาดสองคน คนล้างจานสองคน พ่อครัวสี่คน คนงานจิปาถะสองคน คนงานในห้องครัวสองคน คนที่ไม่เกี่ยวกับห้องครัวตัดทิ้งได้ พวกเขาน้อยครั้งนักจะเข้าไปในห้องครัวย่อมไม่รู้วิธีทำอาหารทุกอย่าง ไส้ศึกน่าจะเป็นหนึ่งในพ่อครัวหรือคนงานในครัวสองคน
เฉียวเวยตัดคนงานออกจากข้อสงสัยอย่างรวดเร็ว คนงานทั้งสองเพิ่งเข้ามาใหม่ไม่นานและขี้ขลาดดั่งมุสิก ไม่ต้องพูดถึงเป็นไส้ศึก น่ากลัวว่าแอบลักน้ำมันในห้องครัวสักหน่อยก็คงไม่กล้า
ถ้าเช่นนั้นปัญหาก็มาจากตัวพ่อครัวทั้งหลายแล้ว