ตอนที่ 146 สังหาร!

ขณะที่ดอกไม้ทั้งหลายเริ่มหายไป ใบหน้าที่ซีดเผือดของเฟิงอวี่เผยออกมาที่ละน้อย

แต่ทันใดนั้นเสียงตัดอากาศได้ดังก้องขึ้น เฟิงอวี่หน้าซีดอีกครั้งหลังจากได้ยิน และประกายความกลัวก็ได้ปรากฏขึ้นผ่านดวงตานาง ดาบทั้งสีพุ่งมาก่อนจะถึงเฟิงอวีด้วยความเร็วที่นางไม่สามารถหลบได้ ดาบทั้งสีได้แทงทะลุแขนขาและยึดร่างนางลงกับพื้น

แต่มันยังไม่จบ เพราะดาบอีกสองเล่มได้พุ่งตรงไปยังหน้าท้องของนาง

“ไม่!” เฟิงอวี่ร้องตะโกนดังลั่น

ทันใดนั้นดาบทั้งสองเล่มได้หยุดงี้อยู่ตรงหน้าท้อง

นางถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นมันหยุดลงก่อนจะมองไปยังหยางเย่ที่ยืนอยู่ในสายตา ท่าที่หยิ่งผยองของนางหายไปหมดสิ้น ตอนนี้เหลือเพียงอาการตกใจและหวาดผวา

“วิชาขั้นสีดําระดับสูงของยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณถูกป้องกันได้โดยหยางเย่ ชายหนุ่มขั้นปราณสวรรค์ มันเป็นไปได้ยังไง? เขายังมีไพ่ตายอะไรอีก? เขาเป็นอสูรปีศาจหรือยังไง?? คําถามมากมายปรากฏขึ้นในหัวของเฟิงอวี่

“เจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้ยังไง!?” เฟิงอวี่ตะโกนดัง

หยางเย่ไม่ตอบนาง เขาหยิบยันต์ฟื้นฟูระดับสูงมาแปะตนเองก่อนจะเดินไปหาเฟิงอวี่อย่างช้า ๆ เขามองไปที่เฟิงอวี่ที่นอนอยู่บนพื้น พร้อมเผยรอยยิ้มแห่งความชั่วร้ายตรงมุมปาก “เจ้าทราบหรือไม่ว่าทําไมข้าถึงไม่สังหารเจ้า?”

“เจ้าต้องการให้ข้าขอความเมตตาหรือไง?” ประกายแห่งความเย้ยหยันปรากฏผ่านตรงมุมปากของเฟิงอวี่ “หยางเย่ ข้ายอมรับว่าข้าประเมิณเจ้าต่ําไป ดังนั้นทําอย่างที่เจ้าต้องการเสีย แต่หากเจ้าคิดว่าข้าจะขอความเมตตาจากเจ้า เช่นนั้นก็จงฝันไปเถอะ!” ยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณมีความหยิ่งทะนงในตนเอง ถึงแม้นางจะเกรงกลัวความตาย แต่ก็ไม่ยอมขอความเมตตาหยางเย่ เพราะการขอความเมตตาจากหยางเยู่มันก็ไม่ต่างจากการดูถูกตนเอง!

“เจ้านี้ช่างหยิ่งยโสนักนะ ฮึ!” หยางเย่เผยรอยยิ้มขณะเหยียบท้องเฟิงอวี่

“อ๊าก!!” ร่างของนางบิดเบี้ยวทันที่จากอาการบาดเจ็บ หลังจากนั้นนางคํารามออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ไอ้เด็กสารเลว! แกทําลายจุดตันเถียนข้า! อ๊าก!!!”

การทําลายจุดตันเถียนคืออะไร? มันหมายความว่าถึงแม้หยางเย่จะปล่อยนางไป นางก็ต้องกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต

หยางเย็ไม่ได้สนใจการทรมาน เขาแค่ตัดไฟแต่ต้นลม ตอนนี้ที่เขาไม่สังหารนางเพราะต้องการถามคําถาม ถึงแม้ต้องการตรวจสอบความแข็งแกร่งของราชวังบุปผา เขาก็ไม่ทราบถึงความสามารถทั้งหมดของราชวังบุปผาได้ ดังนั้นหยางเยู่จึงต้องการทราบข้อมูลทั้งหมดที่ราชวังบุปผามีจากเฟิงอวี่!

“บอกข้าทุกอย่างเกี่ยวกับราชวังบุปผาและมารดาของข้า แล้วข้าจะให้เจ้าตายอย่างไม่ทรมาน มิเช่นนั้นข้าจะทรมานเจ้าจนตายแน่นอน!” หยางเย่กล่าวอย่างเย็นเยือกขณะเฟิงอวี่มองเขาอย่างอุ่นเคือง

เฟิงอวี่นิ่งไปชั่วครู่ ทันใดนั้นดวงตาหยางเย่หรี่ลงพร้อมเอ่ย “ปรมาจารย์หรือเจ้าสํานักราชวังบุปผาเป็นยอดฝีมือขั้นปราณจักรพรรดิ นอกจากนั้นยังมีขั้นปราณจุติอีกยี่สิบหกคน และขั้นปราณจิตวิญญาณอีกมากมาย รวมถึงขั้นปราณราชัน ยิ่งกว่านั้นยังมีผู้อาวุโสสูงสุดที่ผนึกตนเองเพื่อบ่มเพาะพลัง หากนางไม่ตายจากการบ่มเพาะพลัง เช่นนั้นความแข็งแกร่งของนางจะเหนือกว่าเจ้าสํานักของราชวังบุปผา!”

หยางเย่ขมวดคิ้วเพราะความแข็งแกร่งของราชวังบุปผานั้นเหนือความคาดหมายอย่างมาก! มันมีทั้งเจ้าสํานักที่อยู่ขั้นปราณจักรพรรดิ และผู้อาวุโสสูงสุดที่เหนือกว่ายอดฝีมือขั้นปราณจักรพรรดิ กล่าวคือ ถึงแม้จะบรรลุขั้นปราณจักรพรรดิ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปะทะโดยตรงกับราชวังบุปผา

บางทีเขาอาจจะกําจัดราชวังบุปผาให้สิ้นซากได้หลังจากบรรลุขั้นเซียนในตํานาน!

“ทราบหรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงบอก?” ทันใดนั้นเฟิงอวี่ถามคําถามขึ้น

หยางเย่หยุดคิดไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะมองไปที่นาง เพราะเขาเองก็สงสัยว่าเหตุใดนางถึงให้ความรวมมือ

“เจ้ารู้สึกสิ้นหวังหรือไม่ล่ะ?” เฟิงอวี่เผยรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้น “เจ้ารู้สึกสิ้นหวังหลังจากทราบถึงความแข็งแกร่งของราชวังบุปผาสินะ หยางเย่ ถึงแม้เจ้าจะฝึกฝนอย่างหนักตลอดชีวิตจนบรรลุขั้นปราณจักรพรรดิ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยมารดาและแก้แค้นราชวังบุปผา เพราะมารดาของเจ้าจะถูกทรมานจนตาย และลูกของมันก็ทําอะ ไรไม่ได้นอกจากเฝ้าดูมารดาตาย โอ้เจ้ายังทําได้อยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือเอาชีวิตไปทิ้งยังไงล่ะ! ฮ่าฮ่าฮ่า!”

หยางเย่เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มจะมืดลงทุกขณะ จากนั้นเขาก้มมองเฟิงอวก่อนจะเอ่ย “หากเจ้าคิดจะทําให้ข้าสิ้นหวัง และมองดูข้าทุกข์ทนแล้วล่ะก็ ขอบอกไว้เลยว่าเจ้าคํานวณพลาดแล้ว แต่เดิมข้าคิดว่าจะจบชีวิตเจ้าโดยการโจมตีเดียว แต่ข้าคิดว่ายังมีวิธีการที่เหมาะสมอยู่ที่จะให้เจ้าตาย!”

“อะไร? คิดจะทําให้ข้าอับอายก่อนจะฆ่าทิ้งหรือไง?” นางหัวเราะอย่างเย็นเยือกขณะกล่าว

หยางเย่ยักไหล่ขณะได้ยิน อันที่จริงสตรีตรงหน้าเขานั้นมีสิ่งที่ผู้ชายต่างปรารถนา แต่เขาจะสนใจนางงั้นหรือ?

“ข้าไม่ได้สนใจเจ้าแม้แต่น้อยถึงจะเปลื้องผ้าออกหมดก็ตาม!” หลังจากกล่าวจบหยางเย่ไม่เสียเวลา เขาเก็บดาบทั้งสี่ที่ปักแขนขาเฟิงอาอยู่ จากนั้นได้อุ้มนางตรงไปยังหุบเหวมรณะ

ข้างใต้หุบเหวมรณะ

ถึงแม้เฟิงอวจะไม่สามารถขยับได้ แต่ดวงตานางยังมองเห็นรอบ ๆ ตอนนี้สิ่งที่นางสงสัยได้คลายออกอย่างหมดสิ้น

หลังจากคลายความสงสัยแล้วนางมองหยางเย่พร้อมเอ่ย “ไอ้หนู เจ้าคิดจะทําอะไร!?”

หยางเย่ขยับมือดึงแหวนมิติออกจากมือนาง เขามองดูข้างใน หลังจากนั้นได้เผยอาการไม่พอใจออกมาเมื่อ เห็นว่ามีหินพลังปราณอยู่เพียงสามพันก้อน นางยากจนขนาดนี้เชียวหรือ

นางมีกระบวนท่าและวิชาบ่มเพาะพลัง แต่เขาเองก็ไม่สามารถฝึกฝนได้ บัดนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดราชวัง บุปผาถึงรับศิษย์เฉพาะสตรี มันเป็นเพราะวิชาทั้งหมดมีแค่สตรีที่สามารถฝึกฝนมัน!

แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย เพาะเขายังสามารถนํามันไปขายได้

“ไอ้หนู หากจะสังหารข้าก็ลงมือเสียที เหตุใดต้องพาข้าลงมาที่นี่!?” เฟิงอวี่ถามหยางเย่ที่เงียบอยู่นาน

หยางเย่มองลงไปที่นางก่อนจะเอ่ย “เจ้าไม่อยากทราบความลับของข้างั้นหรือ? ดูสิ ไม่เห็นหรือว่าข้าพาเจ้า ลงมายังก้นเหวที่ไม่มีใครกล้าลงมาได้แล้วไง? เก็บแรงไว้ดูสถานที่นี้เสีย เพราะมันเป็นโอกาสที่หายาก ไม่สิ ก ล่าวได้ว่าเป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้า!”

เฟิงอวี่เงียบไปชั่วครู่ก่อนจะมองหยางเย่ “กล่าวอย่างแท้จริง เจ้าคืออัจฉริยะที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่เคยพบเจอมา แต่ไม่ว่าจะอัจฉริยะเพียงใดก็ไม่สามารถต่อกรกับราชวังบุปผาได้ ดังนั้นมารดาเจ้าคงต้องทรมานจนตาย เจ้าไม่เคยเห็นลมหนาวปีศาจสินะ? อย่าว่าเพียงไม่กี่ปี แม้กระทั่งข้าเองยังไม่อาจทนได้ถึงครึ่งชั่วยาม ลมปีศาจนั้นเป็นใบมีดที่เต็มไปด้วยพลังงานหยิน ดังนั้นเมื่อมันตัดผ่านเนื้อมนุษย์ มันจึงเหมือนโดนมีดนับพันเล่มบาดอยู่ตลอดเวลา ไม่สิ มันน่าสะพรึงกว่านั้น เมื่อพลังงานหยินเข้าไปยังร่างกาย มันจะทําลายอวัยวะภายใน และทําให้เจ็บปวดจนไม่อาจจะบรรยายได้…”

“คิดจะทําให้ข้าโกรธและสังหารทิ้งตรงนี้งั้นหรือ?” หยางเย่เอ่ย

“หยางเย่ ให้ข้าตายโดยเร็วที่สุดเถอะ เพราะครั้งหนึ่งข้าก็เคยเป็นศิษย์ร่วมสํานักเดียวกับมารดาของเจ้า!” ถึงแม้นางจะไม่ทราบว่าหยางเย่คิดจะทําอะไร นางก็มีความรู้สึกแย่กับสถานที่ตรงนี้ และนางยังรู้สึกว่ามีบางอย่างกําลังจ้องมองมาผ่านหมอกสีม่วงเหล่านั้น

“เจ้าเพิ่งตระหนักได้ตอนนี้หรือไง?” ท่าที่หยางเย่เปลี่ยนไปทันที “ตอนมารดาข้าขอร้องเจ้าให้ปล่อยน้องสาวและตัวข้าไป เหตุใดเจ้าถึงไม่ตระหนักว่าเป็นศิษย์ร่วมสํานักกันมาก่อนล่ะ เหตุใดเจ้าถึงไม่ตระหนักได้ตอนบอกให้คนในสํานักดาบราชันขับไล่ข้ากับน้องสาวทิ้งล่ะ? เหตุใดเจ้าถึงไม่ตระหนักได้ตอนส่งมือสังหารมาจัดการข้าล่ะ? เหตุใดถึงมาคิดได้ตอนนี้? เจ้า…”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ หยางเย่หยุดไปชั่วครู่ก่อนจะมองรอบด้านพร้อมเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย “เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับสัตว์อสูรทมิฬระดับแปด นกรัตติกาลหรือไม่? ข้าได้ยินมาว่ามันชอบกินสมองมนุษย์ที่สุด หากเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน เช่นนั้นเจ้าจะได้ลิ้มรสมันแน่นอนคืนนี้”

เมื่อกล่าวจบ หยางเยเรียกมิงค์ม่วงออกมายืนอยู่บนไหล่ จากนั้นเขาถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน สายตาสีเขียวหลายคู่ภายในหมอกม่วงได้ส่องประกายขึ้น

ซึ่ง!

เสียงตัดอากาศดังขึ้นรอบด้าน สายตาสีเขียวนับพันพุ่งลงไปที่ร่างเฟิงอวี่

เฟิงอวี่เปิดตากว้างพร้อมเผยอาการที่หวาดผวาอย่างมาก “ไอ้เด็กสารเลว ข้าขอสาป…”

เสียงของนางชะงักหยุดไปทันทีที่ถูกฝูงนกเข้าตะครุบ

ผ่านไปเพียงไม่กี่ช่วงลมหายใจ ฝูงนกรัตติกาลได้แยกย้ายกันหมดสิ้น เฟิงอวี่ได้หายไปทิ้งไว้เพียงกองเลือ

หลังจากจัดการเฟิงอวี่เสร็จ ฝูงนกรัตติกาลมองไปทางหยางเย่อย่างพร้อมเพรียง แต่ก็ไม่มีตัวใดกล้าเข้าใกล้เขาแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าพวกมันยังจํามิงค์ม่วงที่อยู่บนไหล่หยางเย่ได้!

– จบเล่มหนึ่ง –