บทที่ 201 มีเรื่องปิดบังข้า

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 201 มีเรื่องปิดบังข้า

ตกบ่ายหลินเหราพาอาจื้อและเหยาเอ้อหลางกลับจากค่ายของจวนตรวจการ ซึ่งในตอนนี้ฮูหยินเจี่ยงพาเถิงเอ๋อกลับบ้านไปแล้ว

เด็กทั้งสองคนได้ขี่ม้าในช่วงบ่าย ร่างกายจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนและดิน ใบหน้าก็มีรอยฟกช้ำเขียว ๆ ม่วง ๆ เหงื่อผุดซึมออกมาเต็มหน้าผาก ทำให้ใบหน้าที่เดิมทีเปื้อนดินโคลนอยู่แล้วเกิดเป็นรอยชัดเจนมากขึ้น ยิ่งทำให้น่าขบขันและปวดใจในเวลาเดียวกัน

ครั้นเหยาซูได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากหน้าประตู ก็ลุกขึ้นและเดินออกไป กระทั่งเห็นลูกลิงจอมซนมีสภาพเช่นนี้จึงหุบยิ้มและถามว่า “เหตุใดจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้?”

ความกระตือรือร้นได้แสดงออกมาทางใบหน้าของเหยาเอ้อหลาง ก่อนจะชำเลืองมองหลินเหราด้วยความเคารพศรัทธา และพูดอย่างเบิกบานใจว่า “วันนี้ท่านอาเขยให้เราขี่ม้าแล้วขอรับ!”

เด็กทั้งสองคนอายุยังน้อยมาก เพิ่งเริ่มคลุกคลีกับม้า หลินเหราจึงเพียงอนุญาตให้พวกเขาได้นั่งบนหลังม้าและจูงม้าเดินช้า ๆ

วันนี้เป็นครั้งแรกที่ปล่อยให้พวกเขาขี่ม้า

มิน่าล่ะเหยาเอ้อหลางถึงได้มีท่าทางกระตือรือร้นเช่นนี้

เหยาซูฟังทั้งสองคนพูดสลับกันไปมาจนจบ ครั้นเห็นรอยถลอกบนใบหน้าของทั้งสองคน ก็อดเป็นกังวลไม่ได้ “บาดแผลบนหน้านี้ แสดงว่าตกจากหลังม้าใช่หรือไม่?”

แม้ว่าอาจื้อจะมีอายุน้อยกว่าเหยาเอ้อหลาง แต่กลับมีอารมณ์คงที่มากกว่า เขาเอ่ยปากพูดว่า “ท่านแม่ ม้าวิ่งไม่เร็วเลยนะขอรับ ยิ่งไปกว่านั้นท่านพ่อก็สอนไว้แล้วว่าถ้าตกจากหลังม้า จะต้องลงในท่าไหน ไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย”

เหยาเอ้อหลางพยักหน้าคล้อยตาม “อีกอย่าง เด็กผู้ชายหากไม่หกล้มเลยจะเป็นลูกผู้ชายได้อย่างไรเล่าขอรับ?”

เหยาซูหมดหนทาง ขวางไม่ได้แต่จะอ่อนข้อก็ไม่ได้เช่นกัน จึงพูดได้แค่ว่า “ต่อไปก็ระวังหน่อยเสียหน่อยแล้วกัน ในห้องครัวมีน้ำร้อน พวกเจ้าพากันไปอาบน้ำไป”

เหยาเอ้อหลางเดินตามอาจื้อเข้าไปยังห้องครัวอย่างชำนาญทาง

ครั้นเหยาซูเห็นหลินเหรายังยืนอยู่ จึงอดถามเขาไม่ได้ “มัวยืนอึ้งอันใดอยู่? ยังไม่รีบเข้ามาอีก?”

ชายหนุ่มกลับดูสะอาดสะอ้านกว่าเด็กทั้งสองคนมากทีเดียว อย่างน้อยเมื่อมองไปก็ไม่เห็นดินโคลนเปื้อนบนตัวสักแห่ง

ชายหนุ่มเดินขึ้นหน้าสองก้าว สีหน้าเมื่อได้สบตาของเหยาซู ก็พลันดูอ่อนโยนลงในชั่วพริบตา “ข้ากลัวเจ้าจะต่อว่าข้า”

เหยาซูไม่เข้าใจ “อยู่ดี ๆ ข้าจะว่าท่านทำไม?”

หลินเหรายื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากด้านหลัง เหยาซูเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาเอามือไพล่ไว้ด้านหลังตลอด

โชคดีที่ท้องฟ้ายังพอมีแสงรำไร จึงยังพอมองเห็นมือที่เห็นส่วนข้อต่อนั้นอย่างง่ายดาย บนฝ่ามือมีรอยกรีดสีแดงเป็นทางยาวราวกับถูกบางอย่างกรีดจนฉีกขาด

ตอนนี้ไม่มีเลือดไหลแล้ว แต่ก็สร้างความตื่นตกใจไม่น้อย

หญิงสาวรุดขึ้นหน้าหนึ่งก้าว จากนั้นก็กุมมือข้างนั้นของอีกฝ่ายไว้อย่างระมัดระวัง ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น “เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดแผลถึงได้หนักหนาเช่นนี้?”

หลินเหราเคยชินกับการเจ็บตัว จึงไม่รู้สึกว่าหนักหนาแต่อย่างใด แต่ในสายตาของเหยาซู เห็นได้ชัดว่ารอยแผลบนฝ่ามือทำให้นางสั่นเทาไม่น้อย และอดรู้สึกปวดใจไม่ได้

ชายหนุ่มพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “วันนี้ม้าของเหยาเอ้อหลางตื่นตกใจ มันวิ่งเร็วขึ้นในตอนที่ข้าดึงเชือกบังเหียนเลยได้แผลนี้มา”

เหยาซูตรวจดูอย่างละเอียด คราบเลือดนั้นเหมือนกับรอยถูกระชากรุนแรงอย่างที่คิดไว้จริง ๆ

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เชือกบังเหียนขาดง่าย โดยทั่วไปมักจะเลือกใช้เชือกที่หยาบและแข็งแรง ด้วยแรงดึงมหาศาล มิน่าล่ะเขาถึงได้รับบาดเจ็บเช่นนี้

“บอกกับเด็ก ๆ หลายรอบแล้ว ว่าขี่ม้าต้องระวัง เหตุใดถึงไม่รู้จักระวังเอาเสียเลย!”

เหยาซูเกิดอาการโกรธฉุนเฉียวเล็กน้อย หากแต่รู้สึกปวดใจมากกว่า

หลินเหราพยายามจะดึงมือขวากลับไปไพล่ด้านหลังดังเดิม ทว่าไม่อาจสะบัดให้หลุดพ้นจากพันธนการของหญิงสาวได้

เขาส่ายหน้า “สัญชาตญาณของม้า การพยศเป็นเรื่องปกติ”

เหยาซูรู้สึกไม่พอใจกับคำตอบนี้ แต่นางก็ไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้แค่ขมวดคิ้วและจูงมือของชายหนุ่มเข้าไปในห้อง

จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ไม่เคยเห็นผู้ใหญ่คนไหนไม่รู้จักดูแลตัวเองเช่นนี้ ยาจินชวงในบ้านก็ส่งไปให้พี่รองในคราวที่แล้วจนหมด ตอนนี้มีแค่ยาทั่วไป ใช้แล้วจะทำให้ปวดแสบยิ่งกว่าเดิม มันน่าสมน้ำหน้าท่านนัก!”

หลินเหรารู้ว่านางต้องการแค่ข่มขู่เขาเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น จึงอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ ทั้งยังปลอบใจนางด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เจ้าไม่เห็นหน้าของเหยาเอ้อหลางและอาจื้อที่มีแต่แผลถลอกทั่วตัวหรือ? พวกเขายังไม่ร้องโอดโอยเลยสักแอะ”

เอ้อหลางเคยชินกับการหกล้มมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่ได้รู้สึกว่าเจ็บรุนแรงมากขนาดนั้น

ส่วนอาจื้อแรกเริ่มเขาก็แหกปากร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดเหมือนกัน แต่ถูกหลินเหราถลึงตาใส่ จึงไม่พูดสิ่งใดแม้แต่คำเดียว คงกลัวว่าบิดาจะดุเขาว่าถือดีอีก

แต่บอกว่าถือดี เถิงเอ๋อไม่ถือดีกว่าหรือ?

เหยาซูไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในใจของอาจื้อเลย จึงได้แต่บ่นกับหลินเหราว่า “ตอนออกจากบ้านยังดี ๆ อยู่เลย ตามท่านไปไปทั่วหนแห่ง ไฉนหกล้มกลับมาเสียอย่างนั้น! ข้ายังไม่สะสางบัญชีกับท่าน…..”

หลินเหราปล่อยให้นางกระชากแขนเสื้อของตัวเองและลากเขาเข้าไปในห้องแต่โดยดี พลางพูดว่า “เด็กผู้ชายจะตามใจไม่ได้ หากไม่ลำบากบ้าง ไม่บาดเจ็บเสียบ้าง ต่อไปจะแบกรับเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างไร?”

เหยาซูหายาจินชวงเจอในที่สุด จากนั้นก็พูดเหมือนกับตั้งใจจะทะเลาะกับหลินเหรา “เหตุใดจะตามใจไม่ได้? พี่เจี่ยงก็เลี้ยงดูเถิงเอ๋อมาอย่างดี ทั้งฉลาดทั้งรู้ความ เนื้อตัวขาวเนียนนั้นก็ดูดีไม่ใช่น้อย ไม่ดีตรงไหน!”

หลินเหราโต้เถียงกับเหยาซูไม่เคยได้ เขาไม่อยากทะเลาะกับหญิงสาวเพราะเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ เพียงแต่เมื่อเอ่ยถึงเจี่ยงฉี หลินจึงอดถามประโยคหนึ่งไม่ได้ “เจ้ากับฮูหยินเจี่ยงไปสนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อใด?”

กลางวันเขาเอาแต่ยุ่งอยู่ในจวนตรวจการ ตกดึกกลับถึงบ้านก็มืดมากแล้ว เพราะเหตุนี้จึงไม่เคยเจอ ‘เถิงเอ๋อ’ ที่เหยาซูเอ่ยถึง

เพียงแต่นางมักจะรอเขากลับบ้านทุกคืนเสมอ จากนั้นก็เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันแลกเปลี่ยนกับเขา หลินเหราจึงได้เข้าใจความรู้สึกที่นางมีต่อสองแม่ลูกแปลกหน้าคู่นี้

เหยาซูหยิบผ้าขนหนูที่สะอาดออกมาจากตู้ จากนั้นก็รินน้ำชาบนโต๊ะลงไปก่อนจะเช็ดดินสกปรกรอบบาดแผลให้หลินเหรา “พี่เจี่ยงเป็นคนดีเลยล่ะ แค่ออกเรือนกับคนผิดจึงต้องใช้ชีวิตอย่างขมขื่นอยู่หลายปี เถิงเอ๋อยังเด็กร่างกายก็อ่อนแอ แรกเริ่มพี่เจี่ยงแค่อยากให้เถิงเอ๋อมีปฏิสัมพันธ์กับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ถึงอย่างไรอำเภอนี้ก็ห่างจากตัวเมืองไม่ไกลนักก็เลยพาเด็กมาส่งที่บ้านของเรา….ส่งไปส่งมา นางก็เลยส่งจนชินแล้วจะไม่ให้ความสัมพันธ์มันค่อย ๆ ดีขึ้นได้อย่างไร”

พูดจบ นางก็เงยหน้าและตั้งใจถามว่า “ทำไม ท่านมีปัญหาอันใดหรือ?”

หลินเหรารู้จักนิสัยของเหยาซูดี หญิงสาวมักจะชอบตั้งคำถามแปลก ๆ แบบนี้ให้ตนเองเสมอ ถ้าตอบไม่ได้นางก็จะโกรธ

ชายหนุ่มจึงพูดว่า “จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า เจ้าชอบนาง ชอบเถิงเอ๋อก็ต้องให้พวกเขามาถูกแล้ว กลางวันจะได้มีอะไรให้เจ้าทำ”

เหยาซูส่งเสียงฮึดฮัดออกมาทางจมูกและพูดอีกครั้งว่า “ข้าไม่ได้เล่นทุกวันนะ! วันนี้พี่เจี่ยงยังเอาดอกกล้วยไม้ที่ตัวเองปลูกไว้มาให้ข้าหนึ่งตะกร้าเล็กเลย”

ดอกกล้วยไม้ที่ไม่ได้ส่งมาพร้อมกับกระถาง แต่กลับส่งมาเป็นตะกร้านั้นหมายความว่าอย่างไร?

ยังไม่ทันที่หลินเหราจะเอ่ยปากถามออกไป เหยาซูก็ชี้ไปยังครกบดด้านข้าง “ตรงโน้น ถูกบดหมดแล้ว”

หลินเหราจึงได้สติกลับมา ส่วนที่เจี่ยงฉีส่งมาคือกลีบดอกไม้ ไม่ใช่ดอกกล้วยไม้ที่เอาไว้ชื่นชม

แต่ดอกกล้วยไม้มีมูลค่ามาก คนทั่วไปมักจะเพาะปลูกได้ไม่มากนัก กลีบดอกไม้หนึ่งตะกร้า …. มันสามารถสานสัมพันธ์ได้ดีมากทีเดียว

ครั้นเห็นสภาพจิตใจที่ดีขึ้นของเหยาซู ชายหนุ่มจึงยิ่งมีความมั่นใจต่อความคิดของเจี่ยงฉี

เขาก้มลงมองเหยาซูที่กำลังทายาให้เขา จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างลังเลประโยคหนึ่งว่า “ตอนนี้ฮูหยินเจี่ยงพาเถิงเอ๋อออกมาอยู่บ้านตระกูลเจี่ยงใช่หรือไม่?”

ก่อนหน้านั้นเหยาซูเคยเล่าเรื่องที่ฮูหยินเจี่ยงหย่าร้างกับนายอำเภอให้หลินเหราฟังรอบหนึ่งแล้ว ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจ ยามนี้เมื่อเอ่ยถึงฮูหยินขึ้นมา เขาเลยนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้

เหยาซูได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้น “ใช่ ทำไมเหรอ?”

หลินเหราแค่ถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดอยู่ดี ๆ พวกเขาสองคนถึงได้หย่าร้างกะทันหัน?”

เหยาซูขมวดคิ้วแน่น ริมฝีปากที่เรียวบางนั้นมุ่ยอย่างไม่พอใจ “จะเรียกว่าอยู่ดี ๆ ได้อย่างไร? นายอำเภอที่ผิดศีลห้าคนนั้นน่ะ เพียงข้าร่วมห้องกับเขาครึ่งชั่วยามก็ทนไม่ได้แล้ว! พี่เจี่ยงอุตส่าห์รักเขามานานหลายปี …. ทำไม ท่านรู้สึกว่าพี่เจี่ยงไม่ควรพาเถิงเอ๋อออกมางั้นหรือ?!”

เมื่อหลินเหราเห็นอารมณ์นางเหมือนกับช่วงคิมหันต์ที่บทจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนไปทันที จึงพูดแค่ว่า “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แค่อยากรู้เหตุผลที่หย่าร้างกันก็เท่านั้นเอง”

เหยาซูทายาจินชวงลงบนมือของเขา แม้ว่าใบหน้าจะยังเต็มไปด้วยโทสะ แต่การกระทำกลับยังอ่อนโยน เพราะกลัวเขาเจ็บพลางพูดว่า “ได้ยินมาว่านายอำเภอเหยามั่วโลกีย์เกินขีดจำกัดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจนทำให้ร่างกายบาดเจ็บ …เขาคงทนไม่ได้ ก็เลยไปชิงตัวลูกสาวตระกูลดีจากข้างถนน ไม่อายแม้กลางวันแสก ๆ! ต่อมาก็ถูกจับได้ หากไม่ใช่เพราะตระกูลเจี่ยงปกป้องเขาไว้ เกรงว่าเรื่องนี้คงดังกระฉ่อนแน่ พี่เจี่ยงเองก็รู้เรื่องนี้จึงได้ตัดสินใจหย่าร้างกับเขา”

มือของหลินเหราขยับโดยไม่รู้ตัว เหยาซูจึงรีบพูดว่า “เจ็บหรือ? เช่นนั้นข้าจะเบามือ”

ชายหนุ่มส่ายหน้า เผยสีหน้าก็ยากที่จะพรรณนาออกมา

เหยาซูมองเขาแวบหนึ่งและพูดอย่างแปลกใจว่า “เป็นอะไร? ท่าทางอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ พูดไม่ออกเสียอย่างงั้น ปกติท่านไม่เคยเป็นเช่นนี้”

ในขณะที่พูด มือของหลินเหราก็ได้รับการพันแผลเรียบร้อยแล้ว

นางจูงเขามานั่งอีกด้าน ประเดี๋ยวเด็กทั้งสองคนต้องอาบน้ำ อาซือกำลังสอนซานเป่าวาดภาพอยู่ในห้องหนังสือ โชคดีที่ทั้งสองคนคุยกันได้

ครั้นเห็นหลินเหราอ้าปาก แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรเสียอย่างนั้น เหยาซูจึงเอ่ยเร่งรัดเขา “ท่าทางเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าต้องการบอกอะไรข้า มีอะไรปิดบังข้า รีบ ๆ พูดมาสิ!”

หลินเหราจนปัญญา พูดแค่ว่า “เจ้าฟังจบแล้วอย่าโกรธข้านะ”

เหยาซูเขย่าแขนเขา “สัญญาว่าจะไม่โกรธ!”

หลินเหราไม่เชื่อคำสัญญาของนาง แต่ในเมื่อเหยาซูต้องฟัง เขาจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง

“จริง ๆ เรื่องมันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ตอนนั้นเรายังไม่ย้ายมาอยู่ในเมือง” เขาปรายตามองเหยาซูครู่หนึ่งและถามนางว่า “เจ้ายังจำได้หรือไม่ นายอำเภอเหยาที่ขวางเจ้าไม่ยอมให้ไปในร้านน้ำชาคราวนั้น?”

………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อาเหรามีเรื่องอะไรปิดบังอาซูเหรอคะ อาซูฟังจบจะเดือดไหมเนี่ย

ไหหม่า(海馬)