บทที่ 230 จั๋วชูผู้โชคร้าย

เด็กทั้งสองมองด้านนอกพร้อมกันทำให้ถังหลี่รู้สึกว่าผิดสังเกต

“เกิดอะไรขึ้น?” ถังหลี่ถาม

“ท่านแม่ ข้าเห็นจั๋วชู เขาคงไปสอบเซี่ยนชื่อด้วย แต่เขาจะเดินเท้าไปเมืองเหอตงหรือ?”

แววตาของต้าเป่าแสดงความเป็นห่วงออกมา

แดดที่ร้อนระอุกับกล่องตำราขนาดใหญ่แบบนี้ กว่าจะเดินไปถึงจะต้องเหน็ดเหนื่อยสักเพียงใดกันนะ?

ต้าเป่าเป็นเด็กมีน้ำใจ

วายร้ายตัวน้อยในหนังสือเป็นคนที่มีจิตใจบิดเบี้ยวชอบเห็นความเจ็บปวดของผู้อื่น มุมมองชีวิตของทั้งสามคนผิดเพี้ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่ในยามที่พวกเขาเป็นเด็กเล็ก ๆ พวกเขาเป็นเด็กดีมีน้ำใจ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาต้องผ่านความยากลำบากและโหดร้ายเช่นไรมาจึงได้กลายเป็นวายร้ายเหมือนในหนังสือเล่มนี้

ถังหลี่รู้สึกเศร้าใจเมื่อคิดถึงจุดจบของวายร้ายทั้งสาม แต่โชคดีที่ตอนนี้นางอยู่ที่นี่ ถังหลี่จะดูแลไม่ยอมให้พวกเขามีชะตากรรมเช่นเดียวกับในหนังสือเล่มนั้น นางจะเลี้ยงให้เด็ก ๆ เหล่านี้เป็นคนใจดีมีน้ำใจเช่นนี้ต่อไป

ถังหลี่ได้แต่หวังว่าความเมตตาที่พวกเขามีนั้นจะไม่ทำให้พวกเขาโดนหลอกหรือเสียเปรียบให้กับใครอย่างง่าย ๆ

ไม่ใช่ว่ามีเมตตาจนกลายเป็นพระโพธิสัตว์ไป

นางคาดหวังให้พวกเขาแยกความชั่วดีออกจากกันได้ รู้จักที่จะตอบแทนความใจดีเมตตา และแก้แค้นยามที่จำเป็น ไม่ใช่เพื่อช่วยคนเลวหรือช่วยคนอกตัญญู พวกเขาไม่ใช่พระโพธิสัตว์ที่ไหน ตอนนี้เด็ก ๆ ยังอายุน้อยเกินกว่าที่จะเรียนรู้ ถังหลี่ต้องค่อย ๆ สอนให้พวกเขาเติบโตและมีมุมมองหลากหลายต่อโลกใบนี้

“ต้าเป่า เจ้าคิดเช่นไรกับจั๋วชูหรือ? คุ้มค่าพอที่จะคบหาเป็นสหายหรือไม่?” ถังหลี่ถามลูกชาย

“ท่านแม่ จั๋วชูมีค่าพอที่จะผูกมิตรเป็นสหาย เขาคอยช่วยเหลือพวกเราอย่างเงียบ ๆ ในเรื่องที่พวกเราไม่เข้าใจ” ต้าเป่าพูดกับถังหลี่

“ถ้าเช่นนั้นเราให้จั๋วชูนั่งรถม้าไปกับเราด้วยดีไหม?” ถังหลี่กล่าว

ต้าเป่าดวงตาเป็นประกายเขาพยักหน้า ขอให้จางเฉียนหยุดรถม้า หลังจากที่รถม้านิ่งสนิท พวกเขายืดแข้งเหยียดขาอย่างเมื่อยขบ หลังจากนั้นไม่นานจั๋วชูก็เดินมาถึง ใบหน้าที่หล่อเหลาของเด็กหนุ่มแดงก่ำเพราะแสงแดด เขาเอาแต่เช็ดเหงื่อตัวเอง กล่องตำราที่แบกทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก

ตอนนี้เท้าของเด็กหนุ่มชาไปหมด แดดก็ร้อน จนทำให้เขาแทบจะเป็นลมหมดสติไปได้ทุกเมื่อ แต่เขาจะหยุดเดินเท้าไม่ได้ การค้างคืนระหว่างทางไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยต้องมีที่บังแดดบังฝนเสียหน่อย จั๋วชูกัดฟันเพื่อก้าวเดินไปข้างหน้า

“พี่จั๋ว!”

เขาได้ยินเสียงร้องดังขึ้น เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นเด็กหนุ่มคุ้นตายืนเคียงข้างกัน

จั๋วชูประสานมือคารวะ

“จื่ออั๋ง สวี่เจวี๋ย” ต้าเป่ากับสวี่เจวี๋ยเองก็ประสานมือคารวะตอบ

“พี่จั๋วจะไปเหอตงใช่หรือไม่? พวกเราก็จะไปเช่นกัน เหตุใดพี่จั๋วไม่เดินทางไปพร้อมกับพวกข้าเล่า” ต้าเป่าชักชวน

จั๋วชูชำเลืองมองไปที่รถม้า ตัวเขาไม่มีปัญญาแม้แต่จะนั่งเกวียนวัว รถม้าคันนี้ดูหรูหราเกินไปสำหรับเขา

“ขอบคุณน้องชายทั้งสอง แต่ไม่จำเป็น” จั๋วชูส่ายศีรษะ

ต้าเป่าขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจจั๋วซูว่าเหตุใดถึงปฏิเสธข้อเสนอ? ต้าเป่าไม่โกรธเพียงแต่รู้สึกลำบากใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังลำบาก

ถังหลี่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เข้าใจทันทีว่าเหตุใดจั๋วชูจึงพูดเช่นนี้ เขามีความหยิ่งในศักดิ์ศรี จั๋วชูไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นอย่างเปล่าประโยชน์

“นายน้อยจั๋วชูจะไปสอบเซี่ยนชื่อด้วยหรือ?” ถังหลี่ถาม

“ขอรับ” เขาตอบอย่างรวดเร็ว

“เช่นนั้นท่านช่วยอะไรข้าหน่อยได้หรือไม่?” ถังหลี่ถามอีกครั้ง

“นายหญิงมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือขอรับ”

“ลูกชายของข้าทั้งคู่ชอบตั้งคำถามกับข้า แต่เสียดายที่ความรู้ของข้ามีจำกัด นายน้อยย่อมมีความรู้มากกว่าข้า ท่านจะช่วยตอบคำถามแทนข้าได้หรือไม่?”ถังหลี่ถามเด็กหนุ่ม

ต้าเป่าได้ยินก็เข้าใจความหมายของมารดาทันที

“ใช่แล้ว พี่จั๋วได้โปรดช่วยพวกข้าด้วยเถอะ”

“แต่…พวกเจ้าทั้งสองคนมีความรู้มากกว่าข้าเสียอีก”

จั๋วชูคือหนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นที่ถูกความอัจฉริยะของต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยบดขยี้จนหมดความมั่นใจ

“พี่จั๋วเคยเข้าทดสอบเซี่ยนชื่อมาก่อน ท่านเล่าประสบการณ์พวกนั้นให้เราฟังได้” สวี่เจวี๋ยกล่าว

ภายใต้สายตาที่มีความหวังของทั้งสองคน จั๋วชูพยักหน้ารับทันที รถม้าคันนี้มีขนาดใหญ่มากทำให้ไม่อึดอัดเลยหากมีคนโดยสารเพิ่มอีกสักคน

เมื่อจั๋วชูนั่งบนรถม้า เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เด็กหนุ่มรู้สึกวิงเวียนจากแสงแดด ตอนนี้ขาของเขาสั่นเทามาก การนั่งในรถม้าช่วยให้เขาสบายขึ้น แต่ทว่าเด็กหนุ่มยังคงถือกล่องตำราอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าจะทำให้รถม้าคันนี้สกปรกได้

“จื่ออั๋ง สวี่เจวี๋ยเจ้าอยากถามอะไรหรือ?” จั๋วชูกล่าว

“นายน้อย ดื่มน้ำเสียหน่อยเถิด เจ้าเด็กสองคนนี้ขี้สงสัยมาก ไม่ช้าเจ้าจะคอแห้งเป็นแน่” ถังหลี่เทน้ำใส่ถ้วยส่งให้เขา

“ขอบคุณขอรับ”

จั๋วชูดื่มน้ำจนหมด น้ำถ้วยนี้เหมือนน้ำฝนที่ทำให้เขากลับมามีพลังอีกครั้ง

“พี่ชายกินนี่สิ”

ซานเป่าหยิบขนมออกมาจากกระเป๋าของตนก่อนจะส่งให้กับจั๋วชู ในตอนแรกเด็กหนุ่มจะปฏิเสธแต่เมื่อสบตากับดวงตาฉ่ำน้ำของเด็กหญิงก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ลงคอ จั๋วชูจดจำบุญคุณครั้งนี้ในใจ

“ขอบใจนะ”

จั๋วชูกินขนมจนท้องอิ่ม ก่อนจะตอบคำถามของต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยสองสามข้อ

จั๋วชูตอบคำถามเด็กทั้งสองคนทุกอย่างเท่าที่เขารู้จนหมด

“พี่จั๋วเก่งมาก แต่เหตุใดก่อนหน้านี้พี่ถึงสอบไม่ผ่านหรือ หรือการสอบเซี่ยนชื่อจะยากเป็นพิเศษหรือ?” ต้าเป่าถามอย่ากังวล

เขากลัวว่าหากเขาสอบเซี่ยนชื่อครั้งนี้ตก จะทำให้มารดาผิดหวัง

“คำถามในการสอบไม่ยากเกินมือเจ้าหรอก ที่ข้าสอบตกเพราะปัญหาอื่น ๆ น่ะ ปีที่แล้วตอนที่เขียนไปได้ครึ่งทางข้ารู้สึกปวดท้องจนทนไม่ไหวหมดสติไป ปีก่อนก็มีเรื่องวิวาทจนมือหัก”

จั๋วชูพูดอย่างจริงจัง เด็กหนุ่มพยายามปัดเป่าความกังวลให้รุ่นน้องทั้งสองคน

“สำหรับคนฉลาดอย่างจื่ออั๋งการสอบครั้งนี้ต้องผ่านไปได้ด้วยดีแน่นอน อย่ากังวลเลย”

ถังหลี่รู้สึกประหลาดใจมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น

ความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าของจั๋วชูไม่ใช่เพราะเขาทำข้อสอบไม่ได้ หรือโง่เขลาจนเกินไป

แต่เป็นเพราะอุบัติเหตุ! เป็นแบบนี้มาสามปีติดกัน.. นี่ไม่โชคร้ายเกินไปหรือ?

“เหล่าจั๋วจะต้องสอบผ่านในปีนี้อย่างแน่นอน” ถังหลี่กล่าว เด็กหนุ่มชำเลืองมองถังหลี่อย่างขอบคุณ

“ขอบคุณขอรับนายหญิง”

ในช่วงบ่ายของวันรถม้าก็เดินทางมาถึงเมืองเหอตง

นี่เป็นครั้งที่สี่แล้วที่จั๋วชูมายังเมืองเหอตงและเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกผ่อนคลายมาก ในสามครั้งแรกจั๋วชูใช้เวลาเดินทางถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน ทุกครั้งที่มาถึงก็เป็นวันสอบแล้ว ทำให้เด็กหนุ่มหมดแรงและไม่สบาย จั๋วชูสงสัยว่าอาจเป็นเพราะตัวเองเหนื่อยเกินไปในการเดินทาง

เขาหวังว่าในการสอบครั้งนี้จะไม่มีปัญหา เพราะมันคือโอกาสสุดท้ายของเขาแล้ว

“เหล่าจั๋ว ท่านอยากพักโรงเตี้ยมกับพวกเราหรือไม่?” ถังหลี่ถาม

จั๋วชูส่ายศีรษะ

“ไม่ขอรับนายหญิง ข้ามีที่พักแล้วขอรับ” หลังจากกล่าวคำอำลาจั๋วชูก็ลงจากรถม้า

เด็กหนุ่มเดินเลี้ยวเข้าไปในตรอกอย่างคุ้นเคย ก่อนจะนั่งลงที่ชายคาของบ้านร้างหลังหนึ่งจากนั้นจึงหยิบตำราจากในกล่องขึ้นมาอ่าน