บทที่ 231 ถูกดูถูก

รถม้าของถังหลี่ยังคงเคลื่อนตัวต่อไปเพื่อหาโรงเตี๊ยมที่พักในเมือง การสอบเซี่ยนชื่อกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ดังนั้นโรงเตี๊ยมในเมืองเหอตงจึงแน่นขนัดไปด้วยลูกค้า แม้จะหาอยู่หลายที่แต่ก็ไม่มีที่ไหนมีห้องว่างเลย

ถังหลี่ขมวดคิ้วยุ่งเหยิง วันนี้ครอบครัวของนางจะต้องนอนข้างถนนหรือ?

นางไม่คิดว่าโรงเตี๊ยมจะเต็มล้นไปด้วยผู้คน นางควรออกเดินทางมาให้เร็วกว่านี้ เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อการสอบของเด็ก ๆ ไม่คุ้มเลยจริ งๆ

“มีโรงเตี๊ยมริมแม่น้ำขอรับ บริเวณนั้นทำเลดี แต่ราคาแพง ผู้คนเลยไม่นิยมไปพักกัน” เสี่ยวเอ้อร์แนะนำนางอย่างนอบน้อม

พวกเขาจึงได้ขึ้นรถม้าไปทางฝั่งริมแม่น้ำของเมือง หลังจากตระเวนถามมาสองที่ในที่สุดก็เจอโรงเตี๊ยมที่มีห้องว่าง หญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ฮูหยิน เรามีห้องเหลือไม่กี่ห้อง ราคาก็ไม่ถูกนัก” เสี่ยวเอ้อร์เหลือบมองมาทางพวกเขาก่อนจะพูดอย่างไม่ใส่ใจ

“เหลือกี่ห้อง?” ถังหลี่ถาม

“สามห้อง ห้องละสามตำลึง” เสี่ยวเอ้อร์กล่าว

ราคาเช่นนี้ทำให้หลายคนกลัวจนหนีหาย ดังนั้นห้องทั้งสามจึงยังคงว่างอยู่ แต่ทางโรงเตี๊ยมไม่ได้ใส่ใจนัก พวกเขาไม่กังวลเรื่องขายห้องไม่ออกเพราะอย่างไรเสียย่อมมีคุณชายจากตระกูลร่ำรวยแวะเวียนมาเสมอ

“ข้าเอาทั้งสามห้อง” ถังหลี่กล่าว

“ทั้งหมด..ทั้งหมดเลยหรือขอรับ?”

การสอบในครั้งนี้มีเวลาเตรียมตัวสามวัน ส่วนการสอบใช้เวลาสามวันและประกาศผลในวันที่สี่หลังจากสอบเสร็จ ถังหลี่คำนวนระยะเวลาที่นางต้องอยู่ในเมืองเหอตงก่อนจะตอบเสี่ยวเอ้อร์ไป

“สิบวัน นี่เป็นเงินหนึ่งร้อยตำลึง ส่วนที่เหลือเป็นค่าอาหารของพวกข้าด้วย” ถังหลี่วางถุงเงินไปเบื้องหน้าเสี่ยวเอ้อร์

เสี่ยวเอ้อร์มองครอบครัวตรงหน้า พวกเขาดูไม่เหมือนเศรษฐีเท่าใดนัก แต่จำนวนเงินที่ถังหลี่มอบให้ทำให้เสี่ยวเอ้อร์นอบน้อมอย่างรวดเร็ว ซานเป่ากำลังงัวเงียเมื่อมารดาวางนางไว้บนเตียงนอน นางเอื้อมมือไปดึงเสื้อถังหลี่ไว้

“ท่านแม่..”

“ชู่ว…นอนซะ”

เด็กน้อยหลับตาลงและผล็อยหลับไปอีกครั้ง ถังหลี่เดินออกไปหาต้าเป่าและสวี่เจวี๋ย เด็กทั้งสองคนเก็บของและจัดการตัวเองได้อย่างมีระเบียบเรียบร้อย

“ท่านแม่”

“ท่านพี่”

“นั่งลงก่อน แม่มีเรื่องจะบอก”

ทั้งสองนั่งลงข้างกันอย่างเรียบร้อยราวกับกำลังฟังคำสั่งสอนของอาจารย์

“ถ้าเจ้าอยู่ใกล้ชาดเจ้าจะเป็นสีแดง หากอยู่ใกล้หมึกเจ้าจะเป็นสีดำ ดังนั้นพวกเจ้าต้องระมัดระวังในการผูกมิตร วันนี้ข้าเห็นแล้วว่าจั๋วชูเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี ถึงแม้ว่าจะเกิดมายากจนแต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะรอรับน้ำใจจากผู้อื่น เขาเป็นคนกตัญญูรู้คุณคน เป็นตัวอย่างของวิญญูชนมีค่าควรแก่การนับเป็นสหาย

เด็กหนุ่มทั้งสองพยักหน้ารับ

“ต้าเป่ามองคนได้ดีมาก”

เมื่อต้าเป่าได้รับจากชมเชยเขามีความสุขมาก

“พวกเจ้าทั้งคู่เป็นเด็กดี ข้าหวังว่าจะแยกแยะความดีความชั่วออกจากกันได้ อยู่ให้ห่างจากคนเลว เติบโตเป็นสุภาพบุรุษที่ดี” ถังหลี่พูดกับเด็ก ๆ

เด็กชายพยักหน้ารับ สวี่เจวี๋ยหันไปมองหน้าต้าเป่าดวงตาของเขาครึ้มลง เขาตั้งใจว่าจะยึดมั่นคำสอนของพี่สาวตัวเองไว้ในใจ

แต่บางครั้งการเป็นสุภาพบุรุษมากเกินไปก็ไม่ดี ในยามที่สวี่เจวี๋ยติดตามบิดาของตน เขาได้พบเจอผู้คนมากมาย มีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนคละกันไป จนทำให้สวี่เจวี๋ยรู้ว่าชีวิตของคนเรานั้นช่างบอบบางเหลือเกิน เมื่อเข้าสู่ราชสำนักแล้วหากแสดงออกมากเกินไปว่ารักหรือเกลียดจะยิ่งตั้งหลักได้ลำบาก การจะเป็นเสมือนปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำย่อมต้องมีไหวพริบและสติที่ดี อีกทั้งต้องเรียนรู้ที่จะต้องควบคุมจิตใจของผู้คนด้วย ต้าเป่าเป็นเด็กที่ได้รับการปกป้องอย่างดีจากพี่สาวและพี่เขยของสวี่เจวี๋ยทำให้เขาไม่เคยเจอโลกที่มีด้านโสมมเลย

สวี่เจวี๋ยตั้งใจจะปกป้องต้าเป่าให้เป็นดั่งเช่นคำของพี่สาว เป็นสุภาพบุรุษและไม่ถูกมอมเมาด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี ส่วนสิ่งโสโครกทั้งหลายเขาจะเป็นผู้แบกรับเอาไว้เอง

สวี่เจวี๋ยหันไปมองถังหลี่ เขาพยักหน้าให้นางอย่างหนักแน่น

“เหนื่อยจากการเดินทางมากแล้ว พักผ่อนแล้วหยุดอ่านตำราเสียเถิด” ถังหลี่กล่าว

“ท่านแม่ บิดามารดาผู้อื่นมีแต่จะอยากให้บุตรเพียรอ่านหนังสือมากขึ้น เหตุใดท่านจึงทำตรงกันข้ามเล่า?”

ต้าเป่าพูดพร้อมออดอ้อนมารดา

“นั่นเป็นเพราะต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยของข้ามีพรสวรรค์น่ะสิ พวกเจ้าพิเศษกว่าเด็กทั่วไป”

ถังหลี่บีบแก้มของต้าเป่าเบา ๆ ก่อนจะหันหลังออกจากห้องพักไป

หลังจากมารดาจากไปแล้ว ต้าเป่าอดไม่ได้ที่จะหยิบตำราขึ้นมาอ่านด้วยท่าทางสับสนว่าควรอ่านหนังสือหรือเชื่อฟังมารดากันแน่ เมื่อสวี่เจวี๋ยเห็นเขารีบพูดว่า

“ต้าเป่า อ่านสักชั่วยามไหม ข้าจะไม่บอกท่านพี่”

ต้าเป่ายิ้มจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง เด็กหนุ่มหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านอย่างจริงจัง

…..

วันถัดมา

ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยตื่นแต่เช้า ทั้งคู่แต่งกายเรียบร้อยออกมาจากห้องพัก เมื่อพวกเขาลงไปด้านหลังโรงเตี๊ยมก็พบกับคนมากมายที่ล้วนแต่งกายด้วยชุดบัณฑิต ส่วนใหญ่มีอายุระหว่างสิบสามหรือสิบสี่ปี แต่ในจำนวนนั้นยังมีคนที่โตกว่าซึ่งดูเหมือนอายุราวยี่สิบปีด้วยซ้ำ เมื่อทั้งสองคนไปเดินไปจึงมีคนสังเกตเห็นพวกเขาทันที

เป็นบุรุษผู้หนึ่งมีรูปร่างสันทัดผอมบางหน้าตาดี แม้ใบหน้าจะเคร่งขรึม แต่ก็มีรอยยิ้ม

“พวกเจ้ามาสอบเซี่ยนชื่อหรือ?”

“หลูหลิง เจ้าโง่หรือเปล่า? ถามอะไรไม่เข้าท่า เจ้าตัวน้อยทั้งสองคนนี้เพิ่งหย่านมได้ไม่เท่าไหร่ พวกเขาจะมาเข้าร่วมสอบเซี่ยนชื่อได้อย่างไร”

“ใช่ เป็นแค่เด็กเล็ก ๆ สองคนเท่านั้น คงจะมาเที่ยวเล่นกับครอบครัวมากกว่า เป็นเพราะโรงเตี๊ยมทั่วไปเต็มก็เป็นได้”

เด็กหนุ่มที่ชื่อหลูหลิงไม่โกรธเคืองคำพูดนั้น เขายังมีท่าทางร่าเริงเช่นเดิม ต้าเป่าขมวดคิ้ว

“พวกเรามาสอบเซี่ยนชื่อ”

หลูหลิงประสานมือตัวเองคารวะทั้งสอง

“ข้าน้อยหลูหลิง พวกท่านทั้งสองมีนามว่าอะไรหรือ?”

ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยคารวะอีกฝ่ายกลับ

“เว่ยจื่ออั๋ง”

“สวี่เจวี๋ย”

หลูหลิงหยิบสมุดบันทึกของตนเองออกมาแล้วจดบันทึกลงไป

พวกท่านมาจากสำนักศึกษาใดหรือ?” หลูหลิงถาม

“สำนักหงเหวิน” ต้าเป่ากล่าว

เด็กหนุ่มรีบจดมันลงไปอย่างระมัดระวัง ในขณะนั้นเองคนรอบข้างเริ่มพูดจาขึ้นมา

“สำนักหงเหวิน? เจ้าเคยได้ยินชื่อหรือไม่?”

“ไม่เคย มีใครรู้จักสำนักนี้บ้าง? เหตุใดพวกเขาจึงปล่อยให้เด็กสองคนนี้มาสอบเซี่ยนชื่อได้!”

“ข้าเคยได้ยินชื่อสำนักนี้นะ ตั้งอยู่ในเมืองเหยาสุ่ย! ข้าได้ยินมาว่านักเรียนส่วนใหญ่เป็นชาวนา เหมือนคำกล่าวที่ว่า ลูกหนูก็สามารถมุดรูเข้ามาได้ เพราะเป็นแบบนี้ สำนักศึกษาหงเหวินจึงไม่มีใครสอบติดมาห้าปีแล้ว!”

“ข้าเองก็เคยได้ยินเกี่ยวกับสำนักเส็งเคร็งแห่งนี้ เป็นเรื่องปกติของสำนักระดับนั้นที่จะส่งเด็กทารกมาสอบ”

“โอ้สวรรค์ ให้สิทธิ์สำนักศึกษาเช่นนี้ในการส่งคนมาสอบได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นเสียที่นั่งไปอย่างสูญเปล่าไร้ค่าหรอกหรือ? พวกเราทุกคนกว่าจะได้ที่นั่งมาล้วนลำบากยากเข็ญ แต่สำนักศึกษาแห่งนี้เพียงส่งคนมามั่ว ๆ เท่านั้นก็ได้หรือ? ช่างไม่ยุติธรรมเลย!”

นักเรียนบางคนหัวเราะเยาะพวกเขา บางคนก็แสดงท่าทางโกรธ ต้าเป่ารู้สึกโมโหจนหน้าแดง

คนเหล่านี้กล้ามาพูดจาดูถูกเขากับสวี่เจวี๋ยและสำนักหงเหวินได้อย่างไร?

เขากับสวี่เจวี๋ยไม่ใช่คนที่ท่านอาจารย์ส่งมาแบบขอไปทีนะ!

สำนักศึกษาหงเหวินนั้นดีมาก ศิษย์ทุกคนล้วนขยันหมั่นเพียรส่วนอาจารย์ก็ทุ่มเทในการสอน!

“คนจะเป็นบัณฑิตนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้เพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยอีกด้วย พวกท่านเอาแต่หัวเราะเยาะเย้ยผู้อื่น นิสัยย่อมไม่ดีนัก แต่เหตุใดพวกท่านยังสามารถเข้ามาสอบเซี่ยนชื่อได้เล่า? แล้วเหตุใดพวกข้าจึงจะมาสอบไม่ได้” สวี่เจวี๋ยพูดด้วยท่าทีจริงจัง

ต้าเป่ารู้สึกว่าสวี่เจวี๋ยพูดถูกต้องแล้ว เขาจึงเสริมขึ้นอีกว่า

“ใช่แล้ว การด่วนตัดสินผู้อื่นเช่นนี้เหมาะสมดีแล้วหรือ? เมื่อถึงเวลาผลการสอบออกมาจะแสดงให้เห็นเองว่าใครกันแน่ที่มีความสามารถ”

เด็กหนุ่มทั้งสองมีท่าทีสุขุม พูดจาฉะฉานชัดเจน ทำให้คนที่เคยหัวเราะเยาะเขาหน้าแดงไปตาม ๆ กัน