บทที่ 232 ความไม่พอใจของฉินเหวินซวน

คนเหล่านั้นมองต้าเป่าด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

“มาสอบเพื่อวัดผลว่าใครมีความสามารถมากกว่ากันงั้นหรือ? เจ้าไม่คิดว่าเป็นการดูหมิ่นพี่ฉินของพวกข้าหรือ?”

ทุกคนแยกย้ายกระจัดกระจายออกไป จึงได้เห็นว่าภายในวงล้อมนั้น มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งสวมใส่เสื้อผ้าหรูหรายืนอยู่น่าจะเป็นพี่ฉินที่พวกเขาพูดถึงกัน

“พวกเจ้ามาจากเมืองเหยาสุ่ยคงไม่รู้จักพี่ฉินแห่งตระกูลฉินใช่หรือไม่? ถ้าข้าบอกว่าพี่ฉินเก่งกาจเพียงใดคงทำให้พวกเจ้าขวัญหนีดีฝ่อ”

ชายผู้นั้นพูดอย่างภูมิใจราวกับว่าเขากำลังพูดถึงตัวเอง

“ข้าจะบอกเจ้าให้! พี่ฉินของพวกข้าเป็นคนตระกูลฉินที่มีชื่อเสียง บรรพบุรุษเป็นใต้เท้าระดับสูง ท่านปู่ของพี่ฉินทำงานในราชสำนักเป็นมือขวาของเสนาบดีในยุคนั้น พี่ฉินได้ความเฉลียวฉลาดมาจากท่านปู่ สำนักเหอตงเป็นสำนักศึกษาที่ดีที่สุดในแถบนี้ อาจารย์ทุกคนในสำนักต่างยกย่องพี่ฉินของเราว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์แม้ว่าจะยังไม่ได้สอบ แต่คนที่ได้ลำดับที่หนึ่งจะต้องเป็นพี่ฉินอย่างแน่นอน!”

“ใช่ พี่ฉินคือความภาคภูมิใจของสำนักเหอตง ในครั้งนี้เขาจะคว้าที่หนึ่งมาครองเป็นแน่”

คนเหล่านั้นต่างเปิดปากพูดจาประจบสอพลอออกมา ส่วนคนที่ชื่อฉินเองก็ดูชมชอบไม่น้อย

“เจ้าจะเอาลูกศิษย์จากสำนักซอมซ่อมาเปรียบเทียบกับพี่ฉินได้อย่างไร ? ช่างไม่คู่ควรแม้แต่นิด! “

หลายคนที่ได้ยินต่างพากันหัวเราะ

“ไม่ว่าจะเทียบได้หรือไม่ได้ พวกเจ้าจะได้รู้หลังการสอบผ่านไปแล้ว” สวี่เจวี๋ยกล่าวอย่างเย็นชา

ใบหน้าฉินเหวินซวนแข็งกระด้างขึ้นมาทันที

อยากจะเทียบชั้นกับเขาหรือ? ช่างไม่ประมาณตนเอาเสียเลย

แต่แล้วสีหน้าของฉินเหวินซวนเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว

“อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย พวกเจ้าทุกคนล้วนมีพรสวรรค์เพราะหากไม่มีก็คงไม่สามารถเข้ามาร่วมสอบกันได้หรอก”

ฉินเหวินซวนประสานมือคารวะต้าเป่ากับสวี่เจวี๋ย

“พี่น้องสองคนมีคุณธรรมเช่นนี้ พวกเจ้าจะต้องสอบผ่านได้อย่างแน่นอน”

ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยประสานมือคารวะตอบ

“ขอบคุณพี่ฉิน”

“ในวันพรุ่งนี้ข้าจะจัดงานเสวนาตำราที่จูเซียนจูเหลาอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเหอตง พวกเราเชิญศิษย์ที่เข้าร่วมสอบมาพูดคุยกันเรื่องบทกวีและปรัชญาเต๋า ข้าอยากเชิญพวกเจ้าทั้งสองคนไปด้วย”

ฉินเหวินซวนชักชวนพวกเขา แม้ทั้งสองจะดูไม่เต็มใจแต่เขาก็ยังยัดเยียดเทียบเชิญส่งให้ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยอีกด้วย

“ขอบคุณพี่ฉิน หากข้ามีเวลาจะไปอย่างแน่นอน” สวี๋เจวี๋ยกล่าว

“วันนี้ข้าได้เชิญพวกเจ้าไปงานเสวนาตำราแล้ว คงต้องขอตัวก่อน”

หลังจากพูดจบเขาหันหลังกลับทันที เด็กหนุ่มสองคนที่พยายามเอาใจฉินเหวินซวนเองก็รีบเดินตามหลังเขาออกไปเช่นกัน

“พี่ฉินเด็กสองคนนี้ไม่รู้ดีรู้ชั่วเลย เหตุใดท่านถึงเชิญเขาไปร่วมงานเสวนาตำราด้วยเล่า?”

ฉินเหวินซวนเหยียดยิ้มก่อนจะตอบว่า

“กบที่อยู่ก้นบ่อเช่นนั้น พวกมันอยู่ที่เมืองเหยาสุ่ยรอบตัวมีแต่ชาวนา หากเทียบกับคนเหล่านั้นพวกมันคิดว่าตนเองเก่งกาจอยู่เหนือผู้อื่น หากเราทำให้มันเห็นโลกที่อยู่ภายนอกบ่อน้ำ มันจะรู้ว่ามีคนมีอำนาจมากเพียงใดในโลกใบนี้..”

ฉินเหวินซวนหยุดชะงักชั่วครู่ “พวกสวะชั้นต่ำ”

“พี่ฉินช่างมีความคิดลึกซึ้งจริง ข้าขอคารวะท่าน”

“เจ้าเด็กน้อยสองตัวนั้นหยิ่งยโสโอหังเสียจริง”

“ฮ่าฮ่าฮ่า พรุ่งนี้คงไม่โดนแกล้งจนร้องไห้หรอกนะ”

“เรียกว่ากลั่นแกล้งหรือ? ข้าเรียกว่าการเสวนานะ!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าแทบรอไม่ไหวแล้วว่าอยากเห็นพวกมันสิ้นหวังหดหู่จริงๆ”

ที่โรงเตี๊ยม

ต้าเป่าหยิบเทียบเชิญออกจากมือของสวี่เจวี๋ยพร้อมกับฉีกทิ้งไปเสีย

ท่านแม่บอกว่าถ้ามีคนคู่ควรที่จะคบเป็นสหายเราก็เป็นสหายกับเขา แต่คนแซ่ฉินผู้นี้ไม่มีค่าควรแก่การคบหาด้วย เขาไม่จำเป็นต้องสนใจ

“เฮ้ ฉินเหวินซวนผู้นี้ไม่ใช่คนที่ต่อกรได้ง่าย ข้าว่าอย่าทำให้เขาขุ่นเคืองจะดีกว่า” หลูหลิงเดินเข้ามาท้วงคนทั้งสอง

“เพราะอะไรหรือ?” ต้าเป่าอยากรู้

“แม้ว่าจะดูขี้โม้ไร้สาระมากไปสักหน่อย แต่ฉินเหวินซวนไม่ใช่คนที่จะไปแหย่ด้วยง่าย ๆ ครอบครัวเขามีหน้ามีตามากในเมืองเหอตง บิดาของเขาสนิทกับผู้พิพากษา อาจารย์ในสำนักเองก็ชื่นชม แต่เขามีนิสัยชั่วร้ายอย่างหนึ่ง หากเขาได้หมายหัวใครไว้เขาจะกลั่นแกล้งให้เจ็บตัว สุนัขรับใช้ที่ป้วนเปี้ยนรอบตัวเขาสองสามคนก็ได้รับผลประโยชน์จากเขา คนที่แข็งข้อกับเขาส่วนใหญ่จะเจอเขาเล่นงานเข้าให้” หลูหลิงกล่าว

“ก่อนหน้านี้มีเด็กหนุ่มโชคร้ายผู้หนึ่ง เห็นว่ามาจากเมืองเหยาสุ่ยเช่นกัน เพียงแค่เดินชนเขาเท่านั้นก็เกิดเรื่องราวน่าสังเวชขึ้นมา ”

ต้าเป่าตกตะลึงมาก เขาคิดว่าฉินเหวินซวนไม่ใช่คนดีนักแต่ไม่คิดเลยว่าจะเลวขนาดนี้ สวี่เจวี๋ยเองก็มีท่าทางครุ่นคิด

“เจ้ารู้มากขนาดนี้ได้อย่างไร?” สวี่เจวี๋ยมองไปยังหลูหลิง

เมื่อโดนสวี่เจวี๋ยจ้องทำให้เขารีบหดคอตัวเองทันที เด็กหนุ่มสองคนนี้มีรูปร่างหน้าตาดีมาก เพียงแต่เว่ยจื่ออั๋งมีดวงตาที่ใสซื่อกว่า ในขณะที่สวี่เจวี๋ยนั้นเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมมากมาย

แต่ดูอย่างไรก็ไม่น่ากลัวสักนิด !

“ข้ามีนามว่าไป๋เสี่ยวเชิง จากเมืองเหอตง ไม่มีอะไรที่ข้าไม่รู้ เจ้าสามารถมาหาข้าเพื่อซื้อข่าวได้ ข้าจะขายให้เจ้าในราคาที่ถูกลงเล็กน้อย..” หลูหลิงขยับเข้าไปใกล้และกระซิบ

สวี๋เจวี๋ยเห็นแบบนั้นรีบดันเขาออกไปทันที

“ข้าไม่ต้องการ ขอบใจ”

หลูหลิงหน้ามุ่ยก่อนจะเดินจากไป

ถังหลี่ตื่นนอนนานแล้ว นางรับรู้เรื่องการโต้แย้งในกลุ่มนักเรียนข้างล่าง ถังหลี่ไม่ได้รีบร้อนลงมาเฝ้าดูเด็ก ๆ หากแต่แอบลอบมองห่าง ๆ

ทั้งสองคนไม่ใช่คนถ่อมตัวหรือเอาแต่ใจ พวกเขามีจิตใจที่งดงาม ไม่ยอมเสียเปรียบใครอีกทั้งสามารถรับมือกับปัญหาได้ดี นางหวังว่าลูกชายทั้งสองคนของนางจะเติบโตขึ้นเป็นสุภาพบุรุษที่สง่างาม รู้จักจะปกป้องตนเองและไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด !

สำหรับฉินเหวินซวนผู้นั้นถังหลี่ไม่ได้สนใจเขามากนัก นางมองว่าเขาเป็นเหมือนก้อนหินก้อนหนึ่งที่เป็นบททดสอบบนถนนแห่งชีวิตของเด็กทั้งสองคน

ฉินเหวินซวน…เป็นชื่อที่คุ้นเคยมาก

ถังหลี่กุมขมับของตัวเองไม่นานนักเรื่องราวของเขาก็แวบเข้ามาในหัว

ฉินเหวินซวนผู้นี้เป็นคนมีความสามารถและฉลาดอย่างแท้จริง เขามีรายชื่ออยู่บนแผ่นทองคำด้วย

แต่ก็นั่นแหละ ! เขาห่างชั้นกับต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยมากเกินไป เป็นเพราะเขารู้จักเส้นสายทำให้ฉินเหวินซวนถีบตัวเองขึ้นไปเป็นสุนัขรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของกู้อิ๋น ต่อมาเขากลายเป็นใต้เท้าระดับสูงทันที

สุนัขตัวนี้เดินตามเจ้าของเป็นเงาตามตัว พร้อมจะแว้งกัดทุกคนที่ขัดขวางทางเดินของเจ้านายของมัน หลายคนต้องตายด้วยน้ำมือของฉินเหวินซวน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สุนัขตัวนั้นยังไม่มีบทบาทกับกู้อิ๋น นางจึงไม่จำเป็นต้องวิตกกังวล

……

เหลือเวลาอีกสามวันก่อนการสอบจะเริ่มขึ้น

ต้าเป่าและสวี่เจวี๋ยหมกตัวอยู่ที่โรงเตี๊ยมเพื่ออ่านตำรา ทางด้านถังหลี่เองก็พาเอ้อร์เป่าและซานเป่าเดินเที่ยวไปทั่วเมือง เด็ก ๆ ล้วนร่าเริงและมีแรงที่จะเดินดูของต่าง ๆ กันอย่างสนุกสนาน ซานเป่ากินอิ่มจนเดินแทบไม่ไหว ในขณะนั้นเองเอ้อร์เป่าได้ยินเสียงจอแจตามถนนก็อยากรู้อยากเห็นไปกับพวกเขาด้วย

“น้องสาว เรียกข้าว่าพี่ชายสิ ข้าจะให้เจ้ากินขนม”

ถังหลี่หันหน้าไปมองทันทีเมื่อได้ยินเสียงน่าเอ็นดูของเด็กชายตัวอ้วนอายุราวห้าหกขวบ ที่กำลังหลอกล่อซานเป่าด้วยขนมสายไหม!

เด็กหญิงตะกละจนน้ำลายไหล แต่พยายามที่จะอดกลั้นไว้ แก้มน้อย ๆ ของนางพองออกทันที เด็กหญิงตัวน้อยมัดผมทรงซาลาเปาสองลูกที่ข้างแก้ม นัยน์ตาประกายระยิบระยับจ้องสายไหมในมือของเด็กอ้วนไม่ละสายตา

“พี่จะซื้ออย่างอื่นให้กินด้วยนะ พี่ชายมีเงิน!”

มือเล็ก ๆ ของเด็กอ้วนกำเหรียญเงินเอาไว้

แวบแรกที่เห็น ถังหลี่คิดว่ากระหล่ำปลีที่นางเลี้ยงมาอย่างดีกำลังจะโดนหมูขุดไปกิน ถังหลี่จะรีบเข้าไปไล่เจ้าหมูตัวนั้น

แต่เอ้อร์เป่าไวกว่ามาก เขาวิ่งไปบังน้องสาวไว้ด้านหลังทันที

“ซานเป่าของข้ามีพี่ชายอยู่แล้ว นางไม่ต้องการเจ้าหรอก!”

“ข้ามีเงิน!”

เด็กชายตัวอ้วนยังคงหยิบเงินออกมาจากถุงเงิน มือทั้งสองข้างของเขาแทบจะถือมันไม่อยู่เพราะจำนวนเหรียญที่เยอะเกินไป

เอ้อร์เป่าแตะไปที่ถุงเงินแห้งเหี่ยวของตัวเอง

อ๊าก! จะบ้าตาย! เหตุใดเขาถึงไม่มีเงินเลย! เอ้อร์เป่าไม่อยากแพ้แบบนี้! ห้ามใครมาแย่งน้องสาวของเขาไป!

เพียงอึดใจต่อมาถุงเงินใบหนึ่งก็ลอยมาอยู่ในมือของเอ้อร์เป่า เด็กชายเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเป็นมารดาของตัวเองที่โยนถุงเงินมาให้เขา ความมั่นใจของเขาเพิ่มขึ้นทันที

“บ้านข้าก็มีเงิน! ข้าไม่ต้องการเงินเหม็น ๆ ของเจ้าหรอก! น้องสาวไปเถอะ พี่รองจะพาไปซื้อของอร่อย ๆ กินนะ”

พูดจบเด็กชายจับมือน้องสาวแน่น เขารีบพานางไปซื้อขนมสายไหม เด็กอ้วนมองตามตาแทบจะลุกเป็นไฟ

ถังหลี่มองเด็กชายอ้วนผู้นั้น รู้สึกสงสารเจ้าหมูอ้วนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ผ่านไปครู่หนึ่งคนรับใช้ของเด็กชายรีบวิ่งมาหาเขาอย่างรวดเร็ว

“โอ้ นายน้อย ท่านวิ่งหนีหายออกมาแบบนี้ได้อย่างไร ข้าตกใจแทบตาย!” ว่าแล้วก็อุ้มเด็กชายออกไป

เมื่อเห็นเช่นนั้นถังหลี่จึงเดินไปหาซานเป่าและเอ้อร์เป่า