บทที่ 196.2 วันสอบ (2)
รถม้าเคลื่อนตัวไปทางถนนฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากมีการสอบ ถนนสายหลักหลายสายถูกปิดกั้น และมีเพียงผู้เข้าสอบเท่านั้นที่ผ่านถนนเส้นนี้ไปได้แต่ต้องแสดงหลักฐานการเข้าสอบ ถนนที่พวกเขาใช้เดินทางไปยังสนามสอบก่อนหน้านี้ บัดนี้ไม่สามารถวิ่งได้ตามปกติ
จึงต้องเปลี่ยนเส้นทาง
ร้านค้าบนถนนสายใหม่นี้ดูแปลกตานัก ราวกับได้ชื่นชมดอกไม้บานและต้นหลิว
“นั่นอะไรรึ” กู้เจียวชี้นิ้วไปทางร้านที่มีลักษณะคล้ายโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่
ผู้ดูแลหลิวเอ่ย “ฮูหยินน้อยหมายถึงหอชุ่ยเซียงหรือ นั่นคือหอนางโลม”
นี่น่ะหรือหอนางโลมในสมัยก่อน
มาอยู่นี่ตั้งนาน ก็เพิ่งจะได้ยลโฉมหอนางโลมเป็นครั้งแรก กู้เจียวเปิดม่านออก แล้วเชยชมหอนางโลมที่อยู่เบื้องหน้า
พอเห็นฮูหยินน้อยกำลังทำท่าตื่นเต้นอย่างกระมิดกระเมี้ยน ผู้ดูแลหลิวขมวดคิ้วเล็กน้อย
พลางนึกในใจ เป็นสาวเป็นนางแท้ๆ ควรแสดงท่าทีสำรวมเวลาเอ่ยถึงหอนางโลมมิใช่รึ แต่แม่สาวน้อยคนนี้กลับจ้องเข้าไปที่หอนางโลมโดยไม่กระพริบตาแม้แต่น้อย
“นั่นหออะไร” กู้เจียวเอ่ยถามพลางชี้ไปอีกทาง
“หออวิ๋นเล่อ เป็นโรงมหรสพน่ะ”
“เป็นที่ไว้ดูละครรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม
ผู้ดูแลหลิวนิ่งไปพัก ก่อนจะอธิบาย “ละครสำหรับบุรุษน่ะขอรับ”
กู้เจียว ”อ๋อ“
พื้นที่รอบกั๋วจื่อเจียนเป็นเขตการศึกษาที่สำคัญในแคว้นเจา บริเวณนั้นจึงไม่มีสถานที่มั่วสุมของผู้คน อย่าว่าแต่หอนางโลม โรงมหรสพอะไรเลย แม้แต่บ่อนพนันหรือค่ายศิลปะการต่อสู้ กู้เจียวไม่เคยได้เห็นมาก่อน
“ตรงนั้นคือบ่อนพนันรึ” กู้เจียวชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่บริเวณด้านหน้ามีป้ายคำว่าพนันตัวใหญ่ๆ ติดอยู่
“ใช่แล้ว”
“ตรงนั้นละ”
“นั่นก็บ่อนพนันเหมือนกัน”
“เหตุใดถึงไม่เขียนคำว่าพนันไวล่ะ”
“เป็นบ่อนพนันที่ค่อนข้างมีระดับน่ะ”
“ที่นี่ล่ะ”
“โรงประมูล”
กู้เจียวถามเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ ไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็นหอนางโลม หอศิลปะการต่อสู้ หรือบ่อนพนัน ดวงตาของเธอสว่างไสวราวกับแสงสีเขียวส่องประกาย
ผู้ดูแลหลิว: …ฮูหยินน้อยเป็นแบบนี้จะดีหรือ หากท่านโหวถามถึงล่ะก็อย่าบอกว่าข้าเป็นคนพามาก็แล้วกัน
พอผ่านถนนเส้นบันเทิงนี้ไปแล้ว ร้านรวงก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสภาพปกติ กู้เจียวเริ่มรู้สึกเบื่อ อ้าปากหาววอด ก่อนจะดึงผ้าม่านลง
ผู้ดูแลหลิวผู้คัดเลือกถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงสำหรับกู้เจียวอย่างรอบคอบ: “…”
เมื่อรถม้าเคลื่อนมายังบริเวณท้ายถนน จู่ๆ ก็มีเสียงโห่ร้องดังขึ้นจากด้านนอก ดึงความสนใจของกู้เจียวในทันควัน ก่อนจะเปิดม่านออกไปอีกครั้ง แล้วชี้ไปที่บริเวณต้นเสียง “ที่นี่คือที่ไหนรึ”
“ที่นี่เรียกว่าหอชิงเฟิงน่ะขอรับ” ผู้ดูแลหลิวเอ่ย
กู้เจียวชะโงกหัวออกไปนอกหน้าต่าง “ดูครึกครื้นดีจัง พวกเขามาทำอะไรกันที่นี่อย่างนั้นรึ”
ผู้ดูแลหลิวหลับตาอย่างเหลืออด ก่อนเอ่ย “พวกเขากำลังลงพนันการสอบฮุ่ยซื่อในครั้งนี้น่ะสิขอรับ”
ผู้ดูแลหลิวนึกในใจ ฮูหยินน้อยได้โปรดอย่าสนใจเรื่องพวกนี้จะได้ไหม
“ลงพนันฮุ่ยซื่ออะไรนะ ”กู้เจียวเอ่ยถาม
“ลงพนันอันดับน่ะ” ผู้ดูแลหลิวเอ่ย
ที่เมืองหลวงมีการเล่นเดิมพันแบบนี้มากมาย แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือการลงพนันในการสอบฮุ่ยซื่อ ซึ่งจัดทุก ๆ สามปี บ่อนใหญ่ๆ จะเริ่มเกมและปล่อยให้พวกขาใหญ่มาเดิมพัน เรื่องที่นำมาเดิมพันกันก็มีหลายรูปแบบ ที่ได้รับความนิยมจะเป็นลงพนันฮุ่ยหยวน จ้วงหยวน รองลงมาก็คือทั่นฮวา ปั้งเหยี่ยน ผู้ที่สอบได้คะแนนดีสุดสิบอันดับแรก เป็นต้น ยิ่งอันดับสูง ค่าวางเดิมพันขั้นต่ำก็ยิ่งมากขึ้น
ยกตัวอย่างพนันผู้ที่สอบได้สิบอันดับแรก เงินวางพนันขั้นต่ำคือสิบอีแปะ และหากไปถึงการสอบระดับเตี้ยนซื่อหรือระดับวังแล้ว เงินวางพนันขั้นต่ำก็จะขึ้นเป็นร้อยอีแปะ
แต่ก็ไม่ใช่ว่ายิ่งลงมากจะยิ่งเสียมากเสียทีเดียว โดยหลัดคือจะต้องดูจำนวนคน หากทุกคนลงพนันแค่ชื่อเพียงเดียว โอกาสที่จะเสียก็มีน้อย
ในปีนี้ ชื่อที่ผู้คนลงพนันให้มากที่สุดคืออันจวิ้นอ๋อง ตั้งแต่ฮุ่ยหยวนไปจนถึงจ้วงหยวน ทุกคนล้วนแต่ลงพนันชื่อเขา
ขณะเดียวกัน สนามพนันของปั้งเหยี่ยนกับทั่นฮวาก็ดูเข้มข้นไม่น้อย มีทั้งทายาทตระกูลเฉิน บุตรหลานตระกูลหลัว ทายาทตระกูลจ้าว…กู้เจียวไล่ดูรายชื่อไปเรื่อยๆ ก็เห็นชื่อของตู้รั่วหานอยู่บนนั้น
พอตรวจดูรายชื่อทั้งหมดแล้ว ก็พบว่าไม่มีชื่อเซียวลิ่วหลังอยู่บนนั้น
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
สามีของนางไม่คู่ควรที่จะอยู่ในสิบอันดับแรกเลยหรือไร
“ฮูหยินน้อย…” ผู้ดูแลหลิวเดินตามลงมาด้วยความกังวล
แม้ว่าจะมีบ่อนพนันใหญ่มากมายในเมืองหลวง แต่สำหรับหอชิงเฟิงถือว่าแตกต่างจากที่อื่น เพราะที่นี่เป็นสถานที่หรูหราจริงๆ ผู้ที่มาใช้บริการสามารถดื่มชา จิบเหล้า เพลิดเพลินกับอาหาร หรือแม้แต่ฟังเรื่องราวและเพลงต่างๆ ได้ มีแต่คนระดับชั้นสูงในเมืองหลวงมารวมตัวกัน
แม้ฮูหยินน้อยจะเป็นบุตรสาวจวนโหว แต่ด้วยความที่นางเติบโตในชนบท เกรงว่า…
ว่ากันตามตรง ผู้ดูแลหลิวเป็นห่วงว่ากู้เจียวจะรับไม่ได้เอง เขาไม่กลัวหรอกว่าชื่อเสียงของท่านโหวจะเป็นอะไร เพราะทางนั้นไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว แต่เขาแค่กลัวว่ากู้เจียวจะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้
กู้เจียวรีบออกมาเลยลืมพกเงินติดตัว จึงหันไปขอจากผู้ดูแลหลิว “มีเงินมาไหม”
ผู้ดูแลหลิวทำหน้าตกใจ
กู้เจียวยื่นมือขอเงินจากเขา
เขาเองก็มีเงินติดตัวไม่มาก จะมีก็แค่เศษเหรียญเล็กน้อย พอรวมกับเงินของสารถีก็ได้มาประมาณสิบตำลึงเท่านั้น
กู้เจียวเดินเข้าไปในหอชิงเฟิง
เด็กในร้านรีบเดินมาต้อนรับกู้เจียว เอ่ยถามอย่างสุภาพ “แม่นางมาดื่มชาหรือมาลงเงินขอรับ”
“ข้ามาลงเงิน” กู้เจียวเอ่ย
แม้วันนี้เสื้อผ้าที่กู้เจียวสวมใส่จะไม่ใช่ของแพงอะไร แต่ทุกๆ ช่วงการลงพนัน ก็จะมีผู้คนมากหน้าหลายตาทั้งแต่งกายดูดีและธรรมดาปะปนกันไปมาเยือนที่นี่
หากเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว จะมีก็แค่รอยแดงบนใบหน้าของนางที่ดูแตกต่าง
ด้วยความที่คนงานในร้านเจออะไรมาเยอะ จึงไม่แสดงท่าทีประหลาดต่อกู้เจียว ยังคงต้อนรับขับสู้อย่างดี “ท่านจะลงให้ท่านชายคนไหนหรือ”
คนที่เข้าสอบฮุ่ยซื่อได้ คือคนที่ได้เป็นจวี่เหริน จะเรียกพวกเขาว่าจวี่เหริน ท่านชาย หรือท่านชายก็ได้
กู้เจียวเอ่ย “คนที่ข้าจะลงไม่ได้อยู่ในรายชื่อ”
“ท่านจะลงหมวดไหนรึ” คนงานในร้านเอ่ยถามอย่างยิ้มแย้ม
“ฮุ่ยหยวน กับ จ้วงหยวน” กู้เจียวตอบ
“อ๋อ รายชื่อทั้งหมดอยู่บนนี้อย่างไรเล่า ลองดูก่อนสิ!” คนงานในร้านชี้ไปที่รายชื่อที่แขวนอยู่ตรงกลาง โดยในหมวดฮุ่ยหยวนและจ้วงหยวน ชื่อแรกที่ปรากฏคือชื่อของอันจวิ้นอ๋อง รองลงมาก็คือบัณฑิตคนอื่นๆ ซึ่งก็เป็นได้แค่ตัวประกอบของอันจวิ้นอ๋องเท่านั้น คนที่มาลงเงินมีแต่หน้าม้าทั้งสิ้น
กู้เจียว “ไม่มีชื่อคนที่ข้าอยากลง”
“แล้ว แม่นางจะลงให้ใครหรือ” คนงานในร้านถามต่อ
กู้เจียว “เซียวลิ่วหลังแห่งกั๋วจื่อเจียน”
คนงานในร้านทำหน้าเหมือนไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
สำหรับกั๋วจื่อเจียน เซียวลิ่วหลังนับว่าเป็นบัณฑิตที่มีชื่อเสียงไม่น้อย เพราะมีบัณฑิตเข้าใหม่ไม่มากที่ได้รับการเลื่อนให้ไปเรียนในห้องไซว่ซิ่ง ซึ่งปีนี้มีเพียงสองคน คืออันจวิ้นอ๋องกับเซียวลิ่วหลัง นอกจากนี้เขายังเป็นที่หนึ่งในการสอบเกือบทุกครั้ง แถมยังเคยมีประเด็นกับรองเจิ้งอีกด้วย
เพียงแต่ เรื่องพวกนี้ไม่ได้ถึงหูคนนอกแต่อย่างใด
มีบุตรหลานขุนนางที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงอีกตั้งมากมาย แม้พวกเขาอาจไม่เก่งเท่าอันจวิ้นอ๋อง แต่ใช่ว่าจะอยู่ในระดับที่เด็กที่มาจากบ้านนอกจะสามารถเทียบเคียงได้
“ข้าลงให้เขาเท่านั้น ถ้าไม่ได้ ข้าจะไปที่อื่น” กู้เจียวพูดจบก็หันหลังเตรียมเดินออก
ก็นี่มันเป็นการพนันนี่นา ถ้าไม่ได้อยู่ในรายชื่อ ก็แปลว่าคนๆ นั้นไม่เด่นพออย่างไรเล่า!