บทที่ 263 ซาบซึ้ง

บทที่ 263 ซาบซึ้ง

เมื่อกลับจากเขาไป่สิง จวนของเซียวเหยาอ๋องและเจิ้นหนานอ๋องก็พลันครึกครื้นกว่าเดิมมาก

แน่นอนว่าเป็นเพราะสุรา

ทว่าถึงจะมีผู้คนจำนวนมากที่ต้องการซื้อสุรา แต่สุดท้ายก็ซื้อได้แค่บางคน และบางคนไม่มีแม้กระทั่งโอกาสจะได้จ่ายเงินด้วยซ้ำ

“เซียวเหยาอ๋อง พวกเรามาถึงต้าเซี่ยทั้งที หากไม่ได้สุราติดไม้ติดมือกลับไป มันก็น่าเสียดายออก ท่านต้องมีสุราอยู่เป็นแน่ ได้โปรดช่วยพวกข้าทีเถิด”

หนานกงหลีมองใบหน้าหมดอาลัยตายอยากด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มพลางจิบชาอย่างสงบ

“ทุกท่าน ข้ายังพอมีสุราอยู่บ้างก็จริง…”

นัยน์ตาของผู้คนเหล่านั้นสว่างวาบขึ้นมาทันที

“แต่ราคาครั้งนี้จะแตกต่างจากก่อนหน้าเล็กน้อย”

ใบหน้าของคนเหล่านั้นพลันน่าเกลียดขึ้นเล็กน้อย ยามมีคนมากมายแย่งชิงกลับไม่ขึ้นราคา ไยพอถึงคราวพวกตนกลับขึ้นราคาเสียได้ ชักสงสัยแล้วว่าเซียวเหยาอ๋องกำลังรังแกกัน!

ทว่าคราวนี้พวกเขาสงสัยได้ถูกต้องแล้ว หนานกงหลีกำลังรังแกคนจริง ๆ

แต่หากใคร่ครวญดี ๆ ก็จะรู้ว่า ‘คนที่ไม่ได้สุรา’ ที่จริงล้วนใช้กลอุบายมากมายลับหลัง หว่านเมล็ดพันธุ์ความขัดแย้งระหว่างองค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง ทั้งยังใช้เล่ห์เหลี่ยมบางอย่าง

หนานกงหลีจงใจไม่เผื่อสุราให้พวกเขาซื้อ มาตอนนี้ตัวคนมาถึงหน้าประตูพร้อมเงิน เช่นนั้นก็อย่าโทษเขาที่ปล้นคนอย่างเปิดเผยเลย

“เช่นนั้นเซียวเหยาอ๋องคิดจะขายสุราในราคาเท่าใด?”

หนานกงหลีเหยียดนิ้วออกห้านิ้ว คนเหล่านั้นรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกในทันที

“เหตุใดจึงมากเพียงนั้น!!!”

ห้าเท่าของราคาก่อนหน้านี้!

คนที่นั่งอยู่ข้างหนานกงหลีคือหนานกงจ้านผู้ไม่ไหวติง “…”

แม้ว่าสีหน้าของเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็แทบจะกลั้นน้ำชาในปากไว้ไม่อยู่

เงิน… เงินมหาศาล!

ดวงตาของหนานกงจ้านเริ่มเหม่อลอย เขาไม่ได้ยินสิ่งที่ผู้คนโต้เถียงกันอีกเพราะจิตใจเต็มไปด้วยเม็ดเงิน เขาสามารถเปลี่ยนเงินพวกนี้ให้เป็นเสบียงได้

เสบียงมากมาย!

อีกด้าน หนานกงหลีโต้เถียงกับผู้คนอย่างไม่ยอมลดราวาศอก ท้ายที่สุดบางคนก็เดินจากไปด้วยความโกรธ พร้อมกับบ่นว่าหนานกงหลีรังแกผู้อื่นมากเกินไปแล้ว

หนานกงหลียังคงนั่งเอนกายสบาย ๆ บนเก้าอี้โดยมีพัดอยู่ในมือ

“ถ้าอยากซื้อก็ซื้อ หากไม่ซื้อก็ช่วยเดินออกไปทางประตูด้านซ้ายด้วย”

“นี่คือวิธีที่ต้าเซี่ยปฏิบัติต่อแขกบ้านแขกเมืองอย่างนั้นหรือ มิกลัวว่าทั้งสองอาณาจักรจะมีความบาดหมางกันหรือไร!”

หนานกงหลีปรายตามองคนพูดพลางแค่นเสียงเย้ยหยัน “อันใด? อยากทำสงครามหรือ เสด็จพี่ของข้าก็อยู่ที่นี่ เหตุใดเจ้าไม่คุยกับเขาเล่า”

หนานกงจ้านถูกหนานกงหลีใช้พัดจิ้มแขนเรียก จึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความงงงัน

รูปลักษณ์ภายนอกของเขาดูเด็ดเดี่ยว ล้ำลึก และเยือกเย็น กอปรกับแผลเป็นอันน่ากลัวบนใบหน้าและกลิ่นอายคาวเลือดที่ได้มาจากการเข่นฆ่าศัตรูในสนามรบเป็นเวลานาน เพียงเหลือบมองคราเดียวก็ทำให้ขุนนางขี้ขลาดบางคนพาลแข้งขาอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ยินอะไรเลย แค่เงยหน้าขึ้นมองโดยไม่รู้ตัวหลังจากถูกจิ้มแขน ทว่าในสายตาของทูตยามนี้กลับเห็นว่าเจิ้นหนานอ๋องแห่งต้าเซี่ยกำลังมองมาที่ตนด้วยสายตาดุดัน ราวกับกำลังจะวาดดาบตัดหัวคนในอึดใจต่อมา!

แข้งขาของคณะทูตพลันอ่อนยวบ กลืนคำพูดรุนแรงลงคอ ก่อนจะจากไปด้วยความอับอาย

เมื่อมีเจิ้นหนานอ๋องอยู่ข้าง ๆ ก็ไม่มีถ้อยคำดูถูกหลุดออกมาอีกเลย พวกเขาทำได้เพียงเจรจาราคากับเซียวเหยาอ๋องด้วยท่าทางขี้ขลาด

แต่… เซียวเหยาอ๋องปฏิเสธที่จะอ่อนข้อให้

ในท้ายที่สุดก็มีคนเพียงครึ่งเดียวที่จ่ายเงินด้วยสีหน้าเจ็บปวด และจากไปพร้อมกับสุราไหหนึ่ง

หนานกงหลีมองเงินบนโต๊ะอย่างอารมณ์ดี เขากวาดมาหมื่นตำลึง ส่วนที่เหลือนั้นส่งต่อให้พี่สี่ของตน

“เสี่ยวเป่าบอกว่าทั้งหมดนี้ให้ท่าน”

เดิมทีเด็กน้อยตั้งใจจะมอบเงินทั้งหมดให้กับท่านอาสี่ แต่หนานกงหลียังคงแบ่งเงินบางส่วนไว้เพื่อมอบให้กับเสี่ยวเป่า

แม้จะไม่ได้พูดไว้อย่างชัดเจน แต่ทุกคนล้วนแบ่งเงินครึ่งหนึ่งจากการขายสุราไว้ให้เสี่ยวเป่า เติมเงินใส่ท้องพระคลังน้อยของเด็กหญิงเรื่อย ๆ

เดิมทีสุราเหล่านี้เป็นของเสี่ยวเป่า แต่หนานกงจ้านรับมาจำนวนมากเพราะเขาต้องเลี้ยงดูกองทัพและม้าศึก หนานกงหลีไม่ได้ขาดแคลนเงิน ดังนั้นเขาจึงรับมาเพียงส่วนเล็ก ๆ และมอบส่วนที่เหลือให้กับเสี่ยวเป่า

“ขอบใจมาก”

หนานกงจ้านเขินอายเล็กน้อยเมื่อเห็นเงิน เขาเป็นบุรุษตัวโต แต่ยังต้องรับเงินจากหลานสาวตัวน้อย นี่ช่างน่าอับอายเกินกว่าจะเอาไปบอกใคร

ตะ แต่…เขาจนมากจริง ๆ QAQ

“ขอบคุณข้าทำไมเล่า? ไปหาหลานสาวตัวน้อยกันเถอะ”

ทั้งสองคนเดินทางไปที่วัง หนานกงหลีอารมณ์ดีมาก พอมาถึงวังก็อุ้มเด็กหญิงขึ้นแนบอก ก่อนจะหอมแก้มกลมสีขาวนวลของนางหลายครั้ง

เสี่ยวเป่าผลักใบหน้าของเขาออกไปด้วยความรังเกียจ

“อี๋~”

หนานกงหลีคว้ามือนางมาพลางพูดว่า “ในมือเจ้านั่นมันอะไรกัน”

เห็นว่าฝ่ามือของเด็กน้อยปกคลุมไปด้วยผงสีขาวที่มีกลิ่นคล้ายโคลน

พอนึกได้ว่าเสี่ยวเป่าเอามือเช่นนี้มาจับหน้าเขาเมื่อครู่ ก็พลันรู้สึกแขยงไปทั้งตัว

เสี่ยวเป่ามองเขาอย่างไร้เดียงสา เป็นท่านรนหาที่เอง โทษเสี่ยวเป่าไม่ได้นะ

“ไยเจ้าตัวเลอะเช่นนี้!”

เสี่ยวเป่าชี้ไปยังพื้นที่อยู่ไม่ไกล นางกำลังเล่นโคลนอยู่ ทันทีที่ท่านอาเจ็ดมา ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง อุ้มนางขึ้นหอม สมควรโดนแล้ว!

หนานกงจ้านเมินน้องชาย เพียงแย่งหลานสาวตัวน้อยมาไว้ในอ้อมแขนตน

“ท่านอาสี่ เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านอาสี่มาก”

เด็กน้อยฟันน้ำนมเอาแก้มขาวนวลมาถูใบหน้าเขา แล้วใช้เสียงนุ่มนิ่มคล้ายขี้ผึ้งลนไฟเอ่ยว่านางคิดถึงท่านอาสี่

น่ารัก…

หนานกงจ้านรู้สึกไม่อยากปล่อยนางไปเลยสักนิด ใบหน้าดุร้ายเผยรอยยิ้มออกมาทำให้เขาดู… ดุร้ายยิ่งขึ้นไปอีก

แต่เสี่ยวเป่าไม่กลัวเลย

“เงินของเจ้า”

หนานกงจ้านโบกมือ ขันทีที่ถือเงินไว้พลันก้าวขึ้นมาข้างหน้า

มือเล็ก ๆ ของเด็กน้อยโบกปฏิเสธอย่างใจกว้าง นางเชิดหน้าขึ้นราวกับว่าไม่สนใจ

“เสี่ยวเป่ายกทั้งหมดให้ท่านอาสี่”

หนานกงจ้าน “ข้ามีแล้ว”

เขายังเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีเยอะมากด้วย ทั้งหมดล้วนมาจากเสี่ยวเป่า”

บุรุษผู้เด็ดเดี่ยวซึ่งไม่ขมวดคิ้วแม้จะถูกฟันในสนามรบ ทว่าเวลานี้กลับรู้สึกละอายใจเล็กน้อยเมื่อมองดวงตาใสกระจ่างและชุ่มชื้นของหลานสาวตัวน้อย

เสี่ยวเป่าจับหน้าของท่านอาสี่ ทิ้งรอยมือเล็ก ๆ ไว้บนผิวของเขา

เด็กน้อยแลบลิ้นแก้เขินอย่างแสนซนพลางดึงมือกลับ

“เสี่ยวเป่ามอบสุราให้ท่านอาสี่แล้ว ฉะนั้นเงินที่ได้จากการขายจะเป็นของท่านอาสี่ ปีหน้าเสี่ยวเป่าจะหมักเหล้าให้ท่านอาสี่มาก ๆ จะได้หาเงินเยอะ ๆ ให้ท่านอาสี่”

คำพูดไร้เดียงสาของเด็กน้อยทำให้ใจของหนานกงจ้านอ่อนยวบ

เขาอยากมีลูกสาวเหมือนเสี่ยวเป่าจริง ๆ

ไม่รู้ว่าหากไปขอสู้กับเสด็จพี่สักตั้งแล้ว จะพอพาเสี่ยวเป่ากลับมาเลี้ยงเองได้หรือไม่

“แล้วข้าเล่า เสี่ยวเป่า? อย่าลืมว่ายังมีอาเจ็ดนะ”

ขณะที่หนานกงจ้านกำลังซาบซึ้ง ศีรษะหนึ่งก็ชะโงกเข้ามา

หนานกงจ้าน : อยากตีคน!

เขากอดหลานสาวตัวน้อยที่น่ารักและเชื่อฟังไว้ด้วยแขนข้างเดียว ก่อนจะผลักศีรษะ ‘นั้น’ ออกไปโดยไม่แม้แต่จะเปลี่ยนสีหน้า

“พี่สี่ ท่านทำอันใด? ข้ากำลังคุยกับหลานสาวตัวน้อยของข้าอยู่นะ!”

เสี่ยวเป่าพิงกายไปกับตัวท่านอาสี่ มองท่านอาทั้งสองโต้เถียงกันด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

ท่านอาสี่เป็นคนเงียบ ๆ และชอบใช้การกระทำมากกว่าคำพูด ส่วนท่านอาเจ็ดนั้นพูดมากจนเหมือนคนสิบคนพูดพร้อมกัน ทำให้บรรยากาศรอบตัวเขามีชีวิตชีวามาก