ตอนที่ 266 กฎระเบียบ เวิงจู่หลบไป (1)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 266 กฎระเบียบ เวิงจู่หลบไป (1)

แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนรับปากซูชี นางจึงโอนอ่อนลง พูดหารือด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากรับปากท่าน แต่ข้ารับปากซูชีแล้ว ว่าจะวาดรูปภาพน่ารักๆ สิบแปดศิลปะการต่อสู้ให้เขาหนึ่งชุด ไม่มีผู้ใดใช้ชีวิตอยู่ในใต้หล้าได้ โดยการไม่รักษาสัจจะ! เชียนเสวี่ยทำได้เพียงรับปากท่าน หลังจากวาดภาพชุดนี้เสร็จ จะไม่วาดอีก”

หนิงเซ่าชิงทำหน้าบึ้งตึงไม่พูดไม่จา มั่วเชียนเสวี่ยมองเขาด้วยความลำบากใจ “อันที่จริง ภาพวาดชุดนี้ข้าวาดเสร็จแล้ว อีกทั้งข้าก็รับปากมั่วเหนียงแล้วว่าจะไม่วาดอีก…แต่ว่า เมื่อครู่…” เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเขา

คิ้วของหนิงเซ่าชิงขมวดเป็นปมอีกครั้ง สีหน้าเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม นางวาดอีกได้ แต่เขาก็สามารถทำลายภาพวาดเหล่านี้ทันทีที่ซูชีได้รับ

“หลังจากวาดเสร็จครั้งนี้ ห้ามวาดบุรุษคนใดอีก” มั่วเชียนเสวี่ยเห็นคิ้วที่ขมวดเป็นปมของเขาคลาย สีหน้าก็ไม่ได้เยือกเย็นมากขนาดนั้นแล้ว จึงรีบพยักหน้า ทว่าหนิงเซ่าชิงกลับพูดเสริมอย่างไร้เหตุผล “นอกจากข้า”

มั่วเชียนเสวี่ยพูดไม่ออก เลิกคิ้วขึ้น แล้วถามอย่างไม่ใส่ใจ “เช่นนั้น บุตรชายของท่านเล่า?”

นางเพียงถามอย่างไม่ใส่ใจ แต่กลับทำให้หนิงเซ่าชิงอบอุ่นไปทั้งหัวใจ คิ้วที่ขมวดเป็นปม เวลานี้เพิ่งจะคลายทั้งหมด แต่เขายังคงเผด็จการ “ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน!” ทว่า น้ำเสียงของเขากลับเปี่ยมด้วยความอบอุ่น

ยื่นมือขึ้นมาแล้วกดเรือนร่างของมั่วเชียนเสวี่ยสองครั้งโดยมีผ้าห่มกั้นเอาไว้ มั่วเชียนเสวี่ยกลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง วิชามือของเขาน่าจะมีผลคล้ายกับการฝังเข็มทองของนางกระมัง

ในที่สุดพายุหิมะก็จบลง หนิงเซ่าชิงเองก็ยอมอ่อนข้อ ได้เวลาอธิบายดีๆ แล้ว ความรักได้มาด้วยความยากลำบาก ต้องอาศัยความเข้าใจและประนีประนอมครั้งแล้วครั้งเล่าจึงจะเกิดผล

มั่วเชียนเสวี่ยกระแอมไอหนึ่งครั้ง “ข้าเพียงอยากฝึกวรยุทธ์ เรียนวิชากระบี่…”

หนิงเซ่าชิงขยับผ้าห่มให้นาง ปิดไหปลาร้าที่ยั่วยวน พูดตำหนิเสียงเบา “อยากฝึกวิชากระบี่ เจ้าไม่รู้จักมาหาข้าหรือ”

มั่วเชียนเสวี่ยโมโหเล็กน้อย มองค้อนไปที่เขา พูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ “ข้าจะไปหาท่านจากที่ใด” หนิงเซ่าชิงพูดไม่ออก เขาไม่ได้บอกนาง เพราะสถานที่แห่งนั้นซ้อนอำพรางอย่างดี หากนางบุกไปที่นั่นจริงๆ เกรงว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับนาง เขาคิดน้อยเกินไปแล้ว!

หนิงเซ่าชิงทอดถอนหายใจ คล้ายตัดสินใจครั้งใหญ่ “หลังจากนี้ข้าจะไม่ทำเช่นนั้นแล้ว เมื่อผ่านพ้นวันพรุ่งนี้ เจ้าอยากไปหาข้าเมื่อใดก็ไปเมื่อนั้น…ข้าจะสอนวิชาป้องกันตัวให้เจ้าเอง…”

ฮ่าๆ… เสียงหัวเราะของมั่วเชียนเสวี่ยเคล้าไปด้วยความดูแคลน “ท่านสอนข้า? เมื่อคราวก่อนให้ท่านสอนวรยุทธ์ให้ข้า ท่านสอนฝ่ามือเปี่ยมรัก ขืนให้ท่านสอนอีกครั้ง จะสอนวิชากระบี่รักใคร่ผูกผันหรือว่าดาบแม้ตายไม่เปลี่ยนใจเล่า”

ถึงคราวหนิงเซ่าชิงหัวเราะแล้ว เขายกมุมปากขึ้น ยิ้มกว้าง “ในเมื่อเชียนเสวี่ยตั้งชื่อกระบี่ ตั้งชื่อดาบแล้ว หากข้าไม่สอนก็ดูจะใจแคบจนเกินไป…”

ความเยือกเย็นภายในห้องหายไป พวกเขาสองคน คนหนึ่งนั่ง คนหนึ่งนอนอยู่ในผ้าห่ม พูดคุยหยอกล้อ

มั่วเหนียงที่ฟังอยู่ในมุมกำแพงนอกห้องด้วยความระมัดระวังมาโดยตลอด เวลานี้เพิ่งจะโล่งใจ คลี่ยิ้มอ่อนโยน

เส้นขอบฟ้ามีแสงสว่างเล็กน้อย ยามดวงอาทิตย์ขึ้น รถม้าของจวนกั๋วกงเดินทางไปนอกเมือง

งานเลี้ยงดอกท้อจัดขึ้นในอุทยานดอกท้อบนหุบเขาเฟิ่งเซียของราชวงศ์ หุบเขาไม่ได้สูงมากนัก ทั้งยังไม่ชันเท่าใด ภายใต้การนำทางของนางกำนัลด้านหน้า เดินขึ้นหุบเขาเข้าไปในอุทยาน ประดับประดาด้วยหินแปลก ต้นไม้เขียวขจีอุดมสมบูรณ์ หินสูงใหญ่ตั้งตะหง่าน หนึ่งย่างก้าวหนึ่งทิวทัศน์ สมกับเป็นอุทยานของราชวงศ์จริงๆ

ทางเดินบนหุบเขาคดเคี้ยวเลี้ยวลด ศาลาตั้งตระหง่าน ต้นเถิงหลัวโบราณสูงใหญ่ ระหว่างทางเดินเข้าไปในอุทยานประดับตกแต่งได้งดงามยิ่งนัก ดอกไม้หลากสีไม่ทราบชื่อกำลังเบ่งบาน อยู่บนกิ่งไม้พริ้วไหวไปตามลม แสงแดดยามเช้าสาดส่องไปยังน้ำค้างบนกลีบดอกไม้ที่ยังไม่แห้งเหือด สะท้อนให้เห็นแสงสีรุ้ง เพิ่มความงดงามให้กับทิวทัศน์นี้ไม่น้อย

เมื่อขึ้นไปบนหุบเขา ภาพที่เห็นตรงหน้าคือประตูอุทยานที่สร้างโดยกำแพงหิน จากนั้นหันกลับไปมองใต้หุบเขา คือทุ่งดอกไม้ทั้งหุบเขา ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาก

ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยไปจากหมู่บ้านหวังจยา คือช่วยที่ดอกท้อกำลังผลิบาน เวลานี้ใกล้จะร่วงโรยแล้ว แต่ก็เป็นช่วงที่บานสะพรั่งมากที่สุด เวลานี้เหมาะแก่การชมดอกไม้เป็นที่สุด

เมื่อเข้าไปในอุทยานดอกท้อ ลมแผ่วเบาพัดผ่าน กลีบดอกไม้พริ้วไหว ช่างงดงามยิ่งนัก

มั่วเชียนเสวี่ยอ้าแขนกว้างอย่างไม่อาจหักห้าม สูดลมหายใจเข้าลึกๆ

ทว่าด้านหลังกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “คนบ้านนอกไม่เคยเปิดหูเปิดตามาก่อน ดอกท้อเพียงแค่นี้ก็ทำให้เคลิบเคลิ้มเช่นนี้ได้ หากเดินเข้าไปด้านใน เห็นดอกไม้ทั้งหุบเขา เกรงว่าจะอ้าปากค้าง…

มั่วเชียนเสวี่ยหันหลัง เห็นหญิงสาวในชุดสีแดงฉูดฉาด ดวงหน้าแต่งแต้มด้วยสีชาด บนศีรษะเต็มไปด้วยไข่มุกและหยกต่างๆ นางเข้าใจว่าตนหรูหรา แต่ในสายตาของมั่วเชียนเสวี่ยเปรียบเปรยได้เพียงคำเดียว ดูไม่แพงเลยจริงๆ!

หญิงสาวคนนั้นเห็นมั่วเชียนเสวี่ยหันกลับมา มองการแต่งตัวของนางเช่นเดียวกัน มั่วเชียนเสวี่ยสวมเพียงชุดกระโปรงร้อยจีบสีฟ้าอ่อน ชายกระโปรงปักเย็บด้วยดอกไม้ แม้จะม้วนผมทรงกลมเฉกเช่นเดียวกับที่หญิงสาวในเวลานี้นิยมกัน แต่ศีรษะประดับเพียงปิ่นหยกลายผีเสื้อเคลือบทอง

ดวงตาของหญิงสาวคนนี้ราวกับดวงจันทร์ โค้งมนดั่งตะคอ แม้จะหน้าตางดงาม ทว่าแลดูยากไร้จริงๆ เกรงว่าไม่ได้มีฐานันดรศักดิ์สูงส่งแต่อย่างใด ข้อนี้ยังไม่ได้รับการยืนกราน แววตาของนางก็ฉายความเย้ยหยัน เชิดหน้าขึ้นแล้วหัวเราะในลำคอ

ท่าทีท้าทายเช่นนี้ ในสายตาของมั่วเชียนเสวี่ย กลับดูโง่เขลาเบาปัญญายิ่งนัก นางคลี่ยิ้มบางๆ ความเย้ยหยันแล่นผ่านนัยน์ตาของนาง มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้สนใจ หมายจะเดินจากไป

ท่ามกลางผู้คนมากมาย โต้เถียงกับคนเช่นนี้ นับการลดตัวลงมากไปหน่อย

ภายใต้ทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ โต้เถียงกับคนหยาบคาย เป็นการทำลายทิวทัศน์ที่งดงามจริงๆ

มั่วเชียนเสวี่ยหมุนตัวหันหลังหมายจะเดินไป ทว่าหญิงสาวคนนั้นกลับไม่ยอม ก้าวมาด้านหน้าแล้วขวางทางนาง พูดขึ้น “เจ้าคือบุตรีตระกูลใด บิดาของเจ้าเป็นขุนนางตำแหน่งใด พบเจอข้าที่เป็นเวิงจู่ กลับไม่รู้จักทำความเคารพ แล้วยังจะเดินล่วงหน้าไปก่อน ไม่กลัวว่าข้าจะกล่าวโทษเจ้าหรือ”

ราชวงศ์เต็มไปด้วยกฎระเบียบ ขณะขึ้นมาบนหุบเขาต่างนั่งอยู่ในรถม้า แน่นอนว่าย่อมมีสาวใช้ในตระกูลคอยติดตาม แต่เมื่อมาถึงในอุทยาน ทุกคนถูกกันไว้ด้านนอก อุทยานของราชวงศ์ ไม่ใช้สถานที่ที่คนธรรมดาจะเข้ามาได้ แน่นอนว่าด้านในย่อมมีคนคอยดูแล ดังนั้นตอนเข้ามาในอุทยานจึงพาสาวใช้มาได้เพียงคนเดียว เพื่อเรียกใช้ในยามจำเป็น

แน่นอนว่าสาวรับใช้ที่มั่วเชียนเสวี่ยพามาย่อมคือชูอีผู้เงียบขรึม ส่วนข้างกายของสตรีคนนั้นมีสาวรับใช้ใบหน้ารูปทรงไข่ห่านคอยติดตาม สาวใช้ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเช่นเดียวกับนายของนาง

หลังจากชี้ทางเสร็จนางกำนัลคนที่นำทางมั่วเชียนเสวี่ยก็เดินถอยกลับไปนานแล้ว คนที่มาในอุทยานราชวงศ์ล้วนเป็นสตรีชั้นสูง จะปล่อยให้พวกนางมาเดินเพล่นพล่านได้อย่างไร หากไม่ระวังล่วงเกินสตรีชั้นสูงนิสัยพิลึกพิลั่นขึ้นมา พวกนางจำต้องรับผลที่ตามมา

รอบๆ มีเพียงพวกนางสี่คน แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดพูดเกลี้ยกล่อมทั้งสองฝ่าย

เวิงจู่? มั่วเชยีนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วมองอย่างพิจารณา เวลาเดียวกันกับที่นางก่นด่ายุคสมัยศักดินาแบ่งแยกชนชั้น ก็ทบกวนมารยาทต่างๆ ของเทียนฉี ที่เคยเห็นในตำรา

สตรีในเทียนฉีมีการแบ่งชนชั้น องค์หญิงต้าจั่งเป็นพระปิตุจฉาของฮ่องเต้ องค์หญิงจั่งเป็นพระเชษฐภคินีหรือขนิษฐาของฮ่องเต้ องค์หญิงเป็นธิดาของฮ่องเต้ จวิ้นจู่หรือท่านหญิงคือบุตรีของชินอ๋อง องค์ชายรัชทายาทและท่านอ๋อง เซี่ยนจู่คือหลานสาวของชินอ๋องและท่านอ๋อง เวิงจู่คือบุตรีขององค์หญิงต่างๆ และท่านอ๋องและโหวที่ได้รับการแต่งตั้ง…

หญิงชุดแดงเห็นสายตาที่มองมาของมั่วเชียนเสวี่ย เลิกคิ้วขึ้นขมวด เชิดคางแล้วพูด “เจ้ามองอะไร เห็นข้าแล้วยังไม่คุกเข่าทำความเคารพอีก”

รูปร่างของนางดูแข็งแรง อวบเล็กน้อย เวลานี้กำลังยืนท้าวเอวตรงหน้ามั่วเชียนเสวี่ย เวลาเดียวกันที่นางบดบังสายลมและฝนดอกไม้ ก็ราวกับต้นไม้ใหญ่ยืนประจันหน้ากับต้นกล้าขนาดเล็ก มั่วเชียนเสวี่ยหรี่ตาลง พูดเสียงเรียบ “ไม่ทราบว่าเวิงจู่มีนามว่าอะไร”