ตอนที่ 267 กฎระเบียบ เวิงจู่หลบไป (2)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 267 กฎระเบียบ เวิงจู่หลบไป (2)

บุตรีสายตรงขององค์หญิง ชินอ๋องและท่านอ๋องมีไม่มาก ทินนามโดยมากล้วนแต่งตั้งตามชื่อ โดยทั่วไปไม่อาจแบ่งแยกระดับขั้นจากทินนามได้ แต่ทุกคนในแคว้นต่างรู้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันว่า ทินนามขององค์หญิงแต่งตั้งตามตำแหน่งของมารดา โดยทั่งไปตำแหน่งอยู่ที่ขั้นสามขึ้นไป จวิ้นจู่แต่งตั้งทินนามตามระดับขั้นของบิดา โดยทั่วไปคือตั้งแต่ขั้นห้า

ทว่า เซี่ยนจู่และเวิงจู่ไม่เคร่งขรัดเท่าใดนัก บุตรีขององค์หญิง บุตรุอนุภรรยาของท่านอ๋องต่างๆ ทั้งยังมีที่ถูกแต่งตั้งหลังจากสร้างคุณงามความดีก็อีกนับไม่ถ้วน เพราะมีจำนวนมาก เพื่อแสดงถึงระดับขั้น จึงแต่งตั้งตามนี้

ทินนามของเซี่ยนจู่และเวิงจู่ที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรจินคือขั้นห้า ทินนามของเซี่ยนจู่ เวิงจู่ที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรอวี้คือขั้นห้า ทินนามของเซี่ยนจู่ เวิงจู่ที่ขึ้นต้อนด้วยตัวอักษรจิ้งคือขั้นหก ทินนามของเซี่ยนจู่ เวิงจู่ที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรฮุ่ยคือขั้นหก ทินนามของเซี่ยนจู่ เวิงจู่ที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรฉุนคือขั้นเจ็ด ทินนามของเซี่ยนจู่ เวิงจู่ที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรย่วนคือขั้นเจ็ด

ในสถานการณ์ทั่วไป แม้ระดับขั้นของสตรีจะแตกต่างกันมาก แต่ก็เพียงทำความเคารพโดยการย่อเข่าเท่านั้น คุกเข่าคำนับนั้นใช้สำหรับระดับขึ้นที่แตกต่างกันมากๆ หรือยามพบเจอกันครั้งแรก หรือยามมีงาน

เทศกาลประจำปีต่างๆ จึงจะทำความเคารพอย่างเต็มพิธีการ

เวิงจู่คนหนึ่งเพียงพบเจอก็เรียกร้องให้นางก้มหัวคุกเข่าทำความเคารพด้วยความเหิมเกริม เห็นชัดว่าฉวยโอกาสรังแกนาง

เวลานี้มั่วเชียนเสวี่ยอยากจะเปิดกระโหลกศีรษะของนางขึ้นมาดูจริงๆ ว่าด้านในมีหน้าตาเช่นไร

สาวใช้รูปหน้าทรงไข่ห่านที่อยู่ด้านหลังหญิงชุดแดง เดินมาด้านหน้าด้วยความลำพองใจแล้วพูดขึ้น “เวิงจู่ของข้าคือย่วนอ้ายเวิงจู่ที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งด้วยตนเอง ยังไม่รีบทำความเคารพอีก” ในงานเลี้ยงใหญ่โตมโหฬาร หญิงที่แต่งตัวเรียบง่ายเช่นนี้ย่อมมีฐานันดรศักดิ์ต่ำต้อย สมควรทำความเคารพเวิงจู่

ทินนามของเวิงจู่ที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรย่วน คือระดับล่างสุด นับเป็นท่านหญิงขั้นเจ็ดเท่านั้น! มั่วเชียนเสวี่ยดูแคลนในใจ สีหน้าเยือกเย็นไม่อยากจะสนใจ แต่เวลานี้ มีหญิงสาวที่แต่งกายคล้ายสตรีชั้นสูงอีกหลายคนเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าทางด้านนี้มีการถกเถียงกัน จึงหยุดฝีเท้าแล้วมองมา

ชูอีเห็นสีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยเริ่มไม่สบอารมณ์ ทั้งยังเห็นสาวใช้คนนั้นไร้มายาทเช่นนี้ ขณะที่นางจะเดินเข้าไปพูดด้วย มั่วเชียนเสวี่ยยกมือขึ้นปราม ไม่ให้นางก้าวมาด้านหน้า มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะเบาๆ ถามด้วยแววตาที่เคล้าไปด้วยความฉงน

“ตามกฎของเทียนฉี นอกจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้ รวมถึงโทษทัณฑ์ในกรณีพิเศษแล้วนั้น ระดับขั้นแตกต่างกันหนึ่งขั้นทำความเคารพโดยการโน้มตัวประสานมือ ระดับขั้นแตกต่างกันสองครั้งทำความเคารพโดยการย่อเข่า ระดับขั้นแตกต่างกันสามขั้นทำความเคารพโดยการย่อตัวลงนั่ง ระดับขั้นแตกต่างกันสามขั้นขึ้นไปทำความเคารพโดยการคุกเข่า แม้ท่านหญิงจะเป็นเวิงจู่ แต่ก็เป็นเพียงท่านหญิงขั้นเจ็ดเท่านั้น ท่านและข้าอยู่ในระดับเดียวกัน เหตุใดข้าต้องทำความเคารพท่านด้วย”

ถ้อยคำนี้คมเฉียบยิ่งนัก ทุกคำพูดล้วนชัดเจน หยิบยกกฎของเทียนฉีมาพูด แม้สตรีตรงหน้าจะมีความกล้ามากเพียงใด ก็ไม่กล้าท้าทายกฎระเบียบอย่างเปิดเผย ไม่กล้าหาข้อผิดพลาดของกฎระเบียบ

ย่วนอ้ายเวิงจู่โมโหจนเค้นหัวเราะ ชำเลืองมองด้วยความดูแคลน หัวเราะเย้ยหยัน “เจ้าเนี่ยนะ ระดับเดียวกับข้า เจ้าเคยได้รับการแต่งตั้งทินนามหรือไม่”

มั่วเชียนเสวี่ยพูดอย่างไม่รีบร้อน พูดไม่ดังเท่าใดนัก “ตามกฎระเบียบของเทียนฉี บุตรีสายตรงในตระกูลขุนนางชั้นสูงฐานันดรศักดิ์ขั้นห้า บุตรีสายตรงในตระกูลขุนนางขั้นหนึ่งมีฐานันดรศักดิ์ขั้นหก บุตรีสายตรงของกงและโหวมีฐานันดรศักดิ์ขั้นเจ็ด บุตรีสายตรงของข้าหลวงปกครอง มหาราชบัณฑิตและขุนนางขั้นหนึ่งมีฐานันดรศักดิ์ขั้นแปด ทายาทของขุนนางขั้นสามขึ้นไปมีฐานันดรศักดิ์ขั้นเก้าโดยไม่แบ่งว่าเป็นบุตรสายตรงหรือบุตรอนุภรรยา ส่วนบุตรีคนอื่นๆ นั้นไร้ฐานันดรศักดิ์…”

ย่วนอ้ายเวิงจู่ฟังนางพูดเป็นเรื่องเป็นราว รำคาญใจยิ่งนัก ขมวดคิ้วเป็นปม เค้นหัวเราะแล้วพูดขึ้น “เมื่อครู่เจ้าก็พูดแล้วว่า บุตรีในตระกูลขุนนางขั้นสามอย่างมากก็มีฐานันดรศักดิ์เพียงขั้นเก้า เจ้าบอกว่าเจ้าระดับขั้นเดียวกับข้า? เช่นนั้น…เจ้าพูดมาเล่าว่าบิดาของเจ้าคือขุนนางระดับใด ข้าจะได้เปิดโลก…เกรงว่าหลังจากเจ้าพูดออกมา นอกจากทำให้ตนต้องอับอายแล้ว คุกเข่าทำความเคารพไม่อาจเลี่ยงได้แม้แต่อย่างเดียว…”

นางเข้าร่วมงานเลี้ยงดอกท้อตั้งแต่อายุสิบสอง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว อีกทั้งงานเลี้ยงต่างๆ ในเมืองหลวงนางล้วนได้รับเทียบเชิญ สตรีชั้นสูงที่ระดับขั้นสูงกว่านางหรือระเดียวกัน มีคนใดบ้างที่นางไม่รู้จัก แม้แต่ตระกูลขุนนางขั้นหนึ่ง ตระกูลขุนนางขั้นสาม นางล้วนคุ้นหน้าคร่าตาเป็นอย่างดี

หญิงชุดสีน้ำเงินตรงหน้า มองดูแล้วน่าจะอยู่ในวัยออกเรือนได้แล้ว ทว่ากลับมางานเลี้ยงดอกท้อเป็นครั้งแรก ไม่คุ้นหน้าแม้แต่น้อย นางไม่เคยเห็นหน้าคร่าตามาก่อน บนศีรษะมีเพียงปิ่นหยกหนึ่งอัน แม้มองดูแล้วจะเป็นปิ่นชั้นดี แต่มีหรือที่จะเทียบกับไข่มุกและหยกที่ประดับอยู่เต็มศีรษะนางได้ ดูท่าแล้ว เกรงว่าฐานันดรศักดิ์ต่ำยิ่งกว่าขั้นเก้า

ไม่รู้มารยาท!

ย่วนอ้ายเวิงจู่จัดเสื้อผ้าของตน เตรียมรับการเคารพจากมั่วเชียนเสวี่ย ท่ามกลางผู้คนมากมาย

มั่วเชียนเสวี่ยชำเลืองมองการกระทำของนางแล้วยกมุมปากขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ รู้สึกน่าขัน “ข้าคือมั่วเชียนเสวี่ยบุตรีสายตรงของท่านเจิ้นกั๋วกง ย่วนอ้ายเวิงจู่ยังคงคิดว่าระดับขั้นของตนสูงกว่าข้าอีกหรือ”

เมื่อได้ฟัง ย่วนอ้ายเวิงจู่ตะลึงงัน แต่เมื่อเห็นสตรีชั้นสูงที่อยู่รอบๆ มีมากขึ้นเรื่อยๆ ชั่วขณะหนึ่งนางไม่อาจยอมเสียเกียรติได้ ครุ่นคิดขึ้นได้ว่าจวนกั๋วกงที่ไม่มีท่านกั๋วกง บุตรีสายตรงของท่านกั๋วกงที่ไม่มีแม้กระทั่งบิดายังคิดจะวางมาดกับนาง?

นางเอาแต่ใจตนเองจนเคยตัว นัยน์ตาของนางคล้ายจะร้องไห้ กัดฟันกรอดแล้วพูดด้วยความขุ่นเคือง “แม้ว่าเจ้ากับข้าจะอยู่ในระดับเดียวกันแล้วอย่างไรเล่า ข้าได้รับทินนามจากฮ่องเต้ ย่อมมีฐานันดรศักดิ์สูงกว่าเจ้า บอกให้เจ้าทำความเคารพถือเป็นการให้เกียรติเจ้าแล้ว พูดพล่ามอะไรมากมาย”

นางพูดราวกับสมควรเป็นเช่นนั้น เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ด้วยความโอหัง

สตรีทั้งสองด้านที่มองดูความครึกครื้น อยู่ไม่ใกล้และไม่ไกลนัก จับกลุ่มสองสามคน เบื้องหน้าคล้ายพูดเรื่องของตนเอง แต่มั่วเชียนเสวี่ยรู้ดี พวกนางกำลังเงี่ยหูฟัง หางตาของพวกนางก็กำลังให้ความสนใจกับการทะเลาะวิวาททางด้านหน้านี้

หากวันนี้นางยอมทำความเคารพย่วนอ้ายเวิงจู่ พรุ่งนี้นางต้องกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงอย่างแน่นอน วันข้างหน้าทุกคนล้วนหยามเกียรติได้

มั่วเชียนเสวี่ยครุ่นคิด คิ้วของนางขมวดเล็กน้อย สีหน้าไม่สบอารมณ์ พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “หากต้องมีใครสักคนหนึ่งทำความเคารพ เช่นนั้นต้องเป็นย่วนอ้ายเวิงจู่ทำความเคารพข้า”

ย่วนอ้ายเวิงจู่โมโหจนเกือบกระโดดขึ้น “เจ้ามีสิทธิ์อะไร” ย่วนอ้ายเวิงจู่รูปร่างอวบอ้วนอยู่แล้ว เวลานี้ถลึงตาด้วยความขุ่นเคือง ทั้งโมโหทั้งใจร้อน ท่าทีของนางคล้ายจะกินมั่วเชียนเสวี่ยลงท้อง หากเป็นคนขวัญอ่อน เกรงว่าเวลานี้คงจะตะลึงงันหวาดกลัวย่วนอ้ายเวิงจู่ไปแล้ว

มั่วเชียนเสวี่ยนิ่งเฉย ความเยือกเย็นบนดวงหน้าของนางมากยิ่งขึ้น ตัวของนางแผ่ซ่านด้วยความเย็นยะเยือก ระหว่างคิ้วหนักแน่นและนิ่งสงบ ทำให้นางมีความน่าเกรงขามที่ไม่อาจอธิบายได้

“สิทธิ์ที่ข้าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงของท่านพ่อ! สิทธิ์ที่ฝ่าบาทโปรดเกล้าอนุญาตบิดาข้า นับจากนี้มั่วเชียนเสวี่ยบุตรีสายตรงของท่านกั๋วกงนอกจากไม่อาจขึ้นเป็นท่านกั๋วกง ไม่อาจทำงานในราชสำนัก ทว่าเกียรติยศทุกอย่างล้วนเทียบเท่ากั๋วกงซื่อจื่อ”

คำพูดนี้ หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยเกิดไม่นาน มั่วกั๋วกงที่เพิ่งรบชนะและยึดเมืองเฮยมู่และเมืองรั่วสุ่ยมาได้ ท่านทำคุณงามความดีให้กับราชสำนัก ฮ่องเต้จึงทรงโปรดเกล้าอนุญาต

เพราะการโปรดเกล้าอนุญาตนี้ ทำให้ขุนนางมากมายเขียนฎีกาตำหนิมั่วกั๋วกง ว่าไม่รู้มารยาท ไม่เข้าใจสามพันธะพื้นฐานและห้าคุณธรรม[1]…แต่ เวลานั้นบัลลังก์ของฮ่องเต้เพิ่งมั่นคง เป็นช่วงที่ต้องการคน ฮ่องเต้สยบขุนนางเหล่านั้นด้วยคำพูดเดียว ‘ข้าเป็นจักรพรรดิ จักรพรรดิตรัสแล้วไม่คืนคำ พวกเจ้าไม่รู้หรือ จักรพรรดิตรัศคำไหนคำนั้น!’ ไม่เพียงโต้กลับฎีกาเหล่านั้น ทั้งยังสั่งโบยขุนนางที่เขียนฎีกาขึ้นมา

เรื่องใหญ่เช่นนี้ แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ยังคงพูดกันเป็นทอดๆ ขอเพียงเป็นคนในเมืองหลวงย่อมเคยได้ยิน

สีหน้าของย่วนอ้ายเวิงจู่แดงก่ำราวกับตับหมู นางไม่เคยพบเจอคุณหนูตระกูลใดกล้าเถียงนางฉอดๆ เช่นนี้ เมื่อมองรัศมีที่แผ่ซ่านมาจากตัวของมั่วเชียนเสวี่ย นางตกใจจนถึงกับถอยหลังหนึ่งก้าว

กั๋วกงคือขุนนางระดับสูง กั๋วกงซื่อจื่อแม้ไม่มีตำแหน่ง แต่ก็เป็นขุนนางขั้นห้า

เดิมทีอยากจะอาศัยสตรีที่ไร้ขั้นไร้ระดับ มาแสดงอำนาจของเวิงจู่ ทว่าผู้ใดจะไปคิด กลับถูกโต้กลับ ย่วนอ้ายเวิงจู่ในเวลานี้อยากจะพุ่งตัวออกมา ฉีกหน้ามั่วเชียนเสวี่ยจริงๆ

แต่นางไม่กล้า ความเยือกเย็นบนใบหน้ามั่วเชียนเสวี่ยทำให้นางตัวแข็งทื่อ อีกทั้งที่นี่ก็เป็นอุทยานของราชวงศ์ มากไปกว่านั้นยังมีคุณหนูคนอื่นๆ อยู่ด้วย นางไม่กล้าทำเกินกว่าเหตุ

[1] สามพันธะพื้นฐานและห้าคุณธรรม คือ ความสัมพันธ์พื้นฐานสามประการคือระหว่างพ่อกับลูก เจ้านายกับลูกน้อง และสามีและภรรยา คุณธรรมพื้นฐานห้าประการ ได้แก่ ความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความเหมาะสม ปัญญาและความน่าเชื่อถือ