ตอนที่ 268 มนุษยธรรม ดอกบัวขาว ชั้นดี (1)
แต่จะให้นางทำความเคารพ ไม่มีวันเป็นไปได้ นางเป็นถึงเวิงจู่ หากภายใต้สถานาการณ์เช่นนี้ทำความเคารพบุตรีสายตรงของท่านกั๋วกงที่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง ประเดี๋ยวต้องกลายเป็นตัวตลกของทั้งเมืองหลวงอย่างแน่นอน
บรรยากาศชวนอึดอัด
สตรีชั้นสูงที่มองดูอยู่ด้านข้างแม้ไม่หันมามองอย่างชัดเจน แต่ในใจกลับลอบแลบลิ้นตกใจ คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งย่วนอ้ายเวิงจู่ผู้แสนเอาแต่ใจจะถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้
มั่วเชียนเสวี่ยสามารถกล่าวเหตุผลเช่นนี้ได้ เป็นการโต้กลับที่งดงาม เหนือความคาดหมายของทุกคนจริงๆ เพราะถึงอย่างไร เรื่องนี้ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว เวลานั้นฮ่องเต้เพียงโปรดเกล้าอนุญาต แต่ไม่ได้แต่งตั้งด้วยตนเอง หากนับระดับขั้นจากความเป็นจริง ฐานันดรศักดิ์ของนางถือเป็นเพียงขั้นเจ็ดเท่านั้น
บรรยากาศตึงเครียดอยู่นานครู่หนึ่ง หนึ่งในสตรีสองสามคนที่จับกลุ่มกัน มีสตรีชั้นสูงเดินออกมาหนึ่งคน นางมองไปที่มั่วเชียนเสวี่ย แล้วมองไปที่ย่วนอ้ายเวิงจู่ หลังจากความดูแคลนแล่นผ่านแววตาของนางครู่หนึ่ง นางก็ได้ดึงตัวย่วนอ้ายเวิงจู่แล้วพูดเกลี้ยกล่อมเสียงเบา “ท่านพี่ เหตุใดต้องโต้เถียงกับคนเช่นนี้ให้ลำบากด้วย พวกเราไปชมฝนดอกไม้ด้านหน้ากันเถอะ แล้วไปน้อมทำความเคารพองค์หญิงอวี้เหอ”
สตรีคนนี้คือหวงจื่อฉิง เป็นลูกพี่ลูกน้องของย่วนอ้ายเวิงจู่ นางไม่ได้เจตนาดีอยากจะช่วยสตรีโง่เขลาคนนี้ แต่เพราะเป็นต้นตระกูลเดียวกัน ขืนบรรยากาศตึงเครียดเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าย่วนอ้ายเวิงจู่ต้องทำความเคารพมั่วเชียนเสวี่ย ทำให้นางเสียเกียรติไปด้วย
ย่วนอ้ายเวิงจู่กำลังเคร่งเครียดที่ตนไม่อาจหลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบาก เวลานี้ได้ลูกพี่ลูกน้องมาเตือนย่อมเห็นดีเห็นงาม “ก็จริง ถือสาเอาความกับคนเช่นนี้รังแต่จะเป็นการลดตัว พวกเราไปน้อมทำความเคารพองค์หญิงอวี้เหอกันเถอะ…”
ขณะที่ทั้งสองคนหนึ่งพูดคนหนึ่งตอบกำลังจะเดินไป เสียงของมั่วเชียนเสวี่ยดังขึ้นเล็กน้อย “ช้าก่อน!” เห็นนางเป็นอากาศหรืออย่างไร กลั่นแกล้งนางแล้ว คิดจะไปเช่นนี้
ฝีเท้าของทั้งสองหยุดชะงัก มั่วเชียนเสวี่ยพูดด้วยถ้อยคำคมเฉียบ ทวงถาม “เมื่อครู่ย่วนอ้ายเวิงจู่พูดย้ำเรื่องระดับขั้นต่ำกว่าต้องทำความเคารพ บีบเชียนเสวี่ยให้ทำความเคารพท่าน เหตุใดเวลานี้เชียนเสวี่ยบอกว่าระดับขั้นของตนสูงกว่าท่าน ท่านจึงคิดจะไปโดยไม่ทำความเคารพ? แม้เทียนฉีจะปกครองด้วยมนุษยธรรมและความกตัญญูกตเวที ทว่ามารยาทต้องมาก่อน ย่วนอ้ายเวิงจู่แต่งตั้งโดยฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ทุกการกระทำของท่านย่อมเป็นตัวแทนมารยาทของฮ่องเต้ เป็นต้นแบบของสตรีชั้นสูงแห่งเทียนฉี…”
ผู้ใดบ้างจะไม่รู้จักใช้อำนาจ เพียงต้องดูว่านางอารมณ์ดีหรือไม่
โอกาสในการแสดงอำนาจที่ดีเช่นนี้ นางย่อมไม่มีวันปล่อยผ่าน ในเมื่อเกิดความบาดหมางขึ้นแล้ว! หากนางปล่อยย่วนอ้ายเวิงจู่เป็นเช่นนี้ วันข้างหน้าสตรีคนอื่นทำตามย่วนอ้ายเวิงจู่ เดินมาถากถางดูหมิ่นนางก่อนแล้วค่อยไป นางก็ต้องทน? หึ!
เสียงใสดังมาจากสวนดอกท้อ “คุณหนูมั่วพูดถูก ย่วนอ้ายเวิงจู่โปรดทำความเคารพก่อนแล้วค่อยไป อย่ากลืนน้ำลายตนเอง ฝ่าฝืนกฎระเบียบ” เสียงนี้ไม่ดังมาก ทว่าเปี่ยมไปด้วยน้ำหนัก ทำให้ชั่วขณะหนึ่งไม่อาจโต้เถียงได้
ตามเสียงที่ดังขึ้น สตรีคนหนึ่งเดินออกมาจากสวนดอกท้อ นางสวมเสื้อปี่จย่าสีน้ำเงินไพลินขอบทอง ด้านในสวมกระโปรงยาวสีเหลืองไข่ ในความคล่องตัวเผยให้เห็นความสง่างามโดยไม่สูญเสียตัวตน
มวยผมทรงองค์หญิง ปักด้วยเครื่องหัวหยกผีเสื้อทองโบยบิน ผีเสื้อทองสั่นไหวตามการก้าวเดินของนาง เคลื่อนไหวภายใต้แสงอรุณสาดส่อง ราวกับผีเสื้อสีทองบินมาหยุดลงบนมวยผมของนางอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ทุกย่างก้าวงดงามและมีชีวิตชีวา
สตรีชั้นสูงที่มองดูเรื่องครึกครื้นอยู่ข้างๆ เห็นสตรีคนนี้เดินมาด้วยท่วงท่าที่งดงาม บรรดาสตรีชั้นสูงบ้างก็ก้มศีรษะบ้างก็ย่อตัวลงนั่งบ้างก็งอเข่าบ้างก็คุกเข่าทำความเคารพ “น้อมทำความเคารพท่านหญิงซูซู!”
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นคนอื่นๆ น้อมทำความเคารพ นางเองก็งอเข่าทำความเคารพเช่นเดียวกัน “น้อมทำความเคารพท่านหญิงซูซู”
บุตรีแห่งจวนจิ่งชินอ๋องที่มีในยามแก่ชรา ทั้งยังเป็นบุตรีสายตรงเพียงคนเดียวของจวนอ๋อง ตำแหน่งของนางในเทียนฉีแห่งนี้นอกจากองค์หญิงแล้ว เป็นจวิ้นจู่ตำแหน่งสูงสุด แม้แต่องค์หญิง ยังต้องให้เกียรตินาง
ท่านหญิงซูซูไม่ได้สนใจบรรดาสตรีชั้นสูง เดินตรงมาหามั่วเชียนเสวี่ย ยื่นมือมาพยุงนางด้วยตนเอง จากนั้นค่อยหันไปบอกสตรีชั้นสูง “ไม่ต้องมากพิธี”
นางจับมือมั่วเชียนเสวี่ย พูดกับมั่วเชียนเสวี่ย ทว่าสายตากลับมองไปทางย่วนอ้ายเวิงจู่ “คุณหนูมั่วคือแขกที่ซูซูเชิญมา ซูซูย่อมต้องมาต้อนรับด้วยตนเอง แต่เพราะระหว่างทางเกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อยจึงทำให้มาสาย คิดไม่ถึงว่าจะทำให้คุณหนูมั่วถูกกลั่นแกล้งเช่นนี้”
เพียงคำพูดไม่กี่คำ ทำให้ภายในใจของมั่วเชียนเสวี่ยอบอุ่น “ท่านหญิงซูซูมากน้ำใจเหลือเกิน ทำให้ท่านหญิงมาต้อนรับด้วยตนเอง เชียนเสวี่ยไม่กล้าเพคะ!”
คำพูดของท่านหญิงซูซูทำให้มั่วเชียนเสวี่ยอบอุ่นใจ ทว่ากลับทำให้ย่วนอ้ายเวิงจู่ที่ก่อนหน้านี้หน้าแดงก่ำเป็นตับหมูซีดขาว
นางโอหัง แต่นางโอหังกับสตรีที่ชาติตระกูลไม่เทียบเท่านางเท่านั้น พูดตามตรงก็คืออาศัยอำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า ทว่าท่านหญิงซูซูกลับเป็นคนโอหังที่แท้จริง แม้แต่กับองค์หญิง หากทำให้ท่านหญิงซูซูขุ่นเคือง เมื่อนางไม่พอใจก็ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับเวิงจู่ที่เป็นบุตรีของขุนนางฝ่ายบู๊
สีหน้าของย่วนอ้ายเวิงจู่ซับซ้อน ยืนตะลึงพูดไม่ออก ทางด้านท่านหญิงซูซูสีหน้าฉายความเย้ยหยัน “ย่วนอ้ายเวิงจู่?” ถ้อยคำนี้ลากยาวยิ่งนัก เป็นการตักเตือน มากไปกว่านั้นคือย้ำเตือน ราชวงศ์อันทรงเกียรติ กฎระเบียบยิ่งใหญ่เหนือทุกสิ่ง ระดับขั้นสูงกว่าหนึ่งขั้นก็อาจข่มอีกฝ่ายให้ตายได้! แม้ย่วนอ้ายเวิงจู่ไม่ยินดีแต่ก็จำต้องทำความเคารพ
ย่วนอ้ายเวิงจู่ฝืนใจทำคามเคารพ แล้วหันกลับไปด้วยความขุ่นเคือง ตบหน้าหวงจื่อฉิงที่อยู่ด้านหลังหนึ่งฉาด “เมื่อครู่หายไปไหนมา เพิ่งกลับมาเวลานี้ หากองค์หญิงอวี้เหอทรงกริ้วที่พวกเรามาช้า เจ้าต้องแบกรับผลที่ตามมา…”
คำพูดของนางมีความหมายแฝง เห็นชัดว่าพูดให้มั่วเชียนเสวี่ยฟัง ต้องการจะบอกว่านางมีองค์หญิงอวี้เหอคอยให้ท้าย คอยดูเถอะ…
สตรีโง่เขลาทำการบุ่มบ่ามไม่รู้กฎระเบียบ สักแต่ระบายอารมณ์โดยการทำการทำร้ายคนของตนเองเท่านั้น
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มแล้วเอามือป้องปาก “ท่านหญิงเดินดีๆ ขอบคุณย่วนอ้ายเวิงจู่ที่คืนการชมดอกไม้เงียบสงบให้เชียนเสวี่ย” น้ำเสียงของนางเคล้าไปด้วยความสะใจและกลั่นแกล้ง ทำให้ท่านหญิงซูซูอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ย่วนอ้ายเวิงจู่ที่อยู่ด้านหน้าเดินเร็วยิ่งกว่า ราวกับมีหมาป่าเดินตามหลังอย่างไรอย่างนั้น หากไม่ใช่เพราะมีบรรดาสตรีชั้นสูงจับจ้อง ต้องสงวนความเป็นกุลสตรี เกรงว่าคงจะถลกกระโปรงขึ้นวิ่งแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยมองส่งย่วนอ้ายเวิงจู่ นางถอนสายตากลับมา ถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วทำความเคารพท่านหญิงซูซู “ขอบคุณท่านหญิงที่ช่วยเพคะ”
ท่านหญิงซูซูคลี่ยิ้มแล้วพยุงมั่วเชียนเสวี่ยขึ้น “แม้คุณหนูมั่วและซูซูไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทว่าซูซูชื่นชมคุณหนูมั่วมานานแล้ว คาดว่า ด้วยนิสัยและวิธีการของคุณหนูมั่ว แม้ซูซูไม่มา คุณหนูมั่วก็สามารถทำให้เวิงจู่ผู้โง่เขลาคนนั้นยอมทำความเคารพแต่โดยดีได้ ซูซูเพียงโชคดีเท่านั้น ฉวยโอกาสแสดงน้ำใจโดยไม่ได้เปลืองแรง” นางพูดตามตรง ไม่ซ่อนเร้น ไม่ยกความดีความชอบให้ตนและไม่ทระนง ทำให้เวลานี้มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกดีกับนางมากยิ่งขึ้น
เห็นนางตรงไปตรงมาเช่นนั้น มั่วเชียนเสวี่ยก็ขจัดความเสแสร้งและอ้อมค้อมเช่นเดียวกัน คำพูดของนางเคล้าไปด้วยคำชื่นชมและผูกมิตร “หากท่านหญิงไม่รังเกียจ วันหน้าเรียกข้าว่าเชียนเสวี่ยก็พอแล้วเพคะ เรียกคุณหนูเช่นนี้ดูห่างเหินอย่างยิ่ง”
ท่านหญิงซูซูดวงตาทอประกาย ไม่ได้ขอบคุณด้วยความเสแสร้ง ไม่ได้ประจบสอพลอ และไม่ได้แกล้งทำ สตรีคนนี้เป็นเหมือนที่หมัวมัวกล่าวไว้ ควรค่าแก่การผูกมิตร
ท่านหญิงซูซูยิ้มร่า “เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก! เชียนเสวี่ยใจตรงกันกับข้า ความเป็นจริงข้าเองก็รำคาญพิธีรีตองเหล่านั้น จากนี้เชียนเสวี่ยเรียกข้าว่าซูซูก็พอแล้ว”
“ซูซู”
“เชียนเสวี่ย”
ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน เรียกชื่อของกันและกัน จากนั้นจับมือ มองตากันแล้วยิ้ม
บางครั้ง มิตรภาพก็เกิดขึ้นเพียงเพราะคำพูดหนึ่ง สายตาหนึ่ง รอยยิ้มหนึ่ง ท่านหญิงซูซูไม่ได้เงียบ อ้อมค้อม อดทนเหมือนเจี่ยนชิงโยว นางตรงไปตรงมา นิสัยคล้ายมั่วเชียนเสวี่ยในยุคปัจจุบัน
[1] ดอกบัวขาว เป็นแสลงภาษาจีนใช้ด่าผู้หญิงที่ภายนอกดูใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ภายในคิดไม่ซื่อ มีพฤติกรรมที่ไม่ดี