บทที่ 208 เจอกู้ซินเถา

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 208 เจอกู้ซินเถา

บทที่ 208 เจอกู้ซินเถา

ก่อนกลับ สวีเฉิงเจ๋อจึงเดินออกมาส่งเพื่อให้พี่น้องได้พูดคุยกันก่อน กู้เสี่ยวหวานเห็นสวีเฉิงเจ๋อเอาใจใส่ถึงขนาดนี้ นางก็ซาบซึ้งใจมาก

เด็กหญิงกำชับกู้หนิงอันสองสามประโยค ส่วนมากก็คือให้เขาดูแลร่างกายตัวเองให้ดี ตั้งใจอ่านหนังสือ เชื่อฟังอาจารย์กับฮูหยิน กู้หนิงอันตอบตกลง เมื่อใกล้ถึงเวลา เขายังให้ฝากฝังน้องชายน้องสาวอย่างดีว่าอย่าทำให้กู้เสี่ยวหวานไม่ต้องลำบากหรือเหน็ดเหนื่อยไปมากกว่านี้แล้ว ให้พวกเขารักษาร่างกายตัวเอง กู้เสี่ยวหวานยังทำใจไม่ได้ แต่เมื่อเห็นเวลาว่าสายแล้วและตอนบ่ายกู้หนิงอันก็ยังมีเรียน ตัวเองก็ควรรีบกลับไปได้แล้ว นางจึงทำได้เพียงบอกลาเขา ครั้นมองแผ่นหลังของพี่สาวค่อย ๆ เดินหายไป กู้หนิงอันเช็ดเปลือกตาก่อนจะเดินเข้าหอหนังสือวี้ไป

สวีเฉิงเจ๋อยืนอยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก รอจนกระทั้งเขาไม่ได้ยินเสียงพูดคุยของสองพี่น้องแล้ว จึงค่อยหันหลังกลับเข้าไปในหอหนังสืออวี้

ครั้นเห็นกู้เสี่ยวหวานทำหน้าเป็นห่วงน้องชายขนาดนั้น ไม่รู้ว่าทำไมสวีเฉิงเจ๋อถึงรู้สึกสะเทือนใจนักก็ไม่รู้

เด็กหญิงที่อายุเพียงไม่กี่ขวบ เหตุใดถึงมีจิตใจเข้มแข็งได้ขนาดนั้น แค่นั้นเขาก็อยากสนับสนุนนางและครอบครัวของนางอย่างเต็มใจ

หลังจากนั้นไม่กี่ปี ฮูหยินสวีก็ต้องเหนื่อยใจกับการแต่งงานของลูกชายตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรสวีเฉิงเจ๋อก็จะไม่แต่งภรรยา และยังกล่าวอีกว่าภรรยาของตนนั้นจะต้องมีคุณสมบัติเพียงสองอย่างคือ ห้ามอ่อนแอ และต้องมีความคิดเป็นของตัวเอง

ฮูหยินสวีได้ยินคุณสมบัตินั้นของเขาก็ตกตะลึง บางทีอาจเป็นเพราะต้นแบบเช่นนี้ ทำให้คนในฝันของสวีเฉิงเจ๋อถูกกำหนดไว้อยู่แล้วก็เป็นได้

แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องในอนาคตหลังจากนั้น

ครั้นเห็นกู้หนิงอันเดินเข้ามาด้วยดวงตาแดงก่ำเหมือนเพิ่งร้องไห้มา สวีเฉิงเจ๋อก็รีบเดินมาพูดปลอบ “เข้ามาเถอะ ใกล้จะเข้าเรียนแล้ว”

กู้หนิงอันพยักหน้า พลางเช็ดดวงตาตัวเอง และค่อย ๆ สงบจิตใจลง เดินตามสวีเฉิงเจ๋อเข้าไปด้วยกัน

พวกเขาต้องไปยังห้องชีเหวิน ระหว่างทางก็ผ่านห้องเรียนของกู้จือเหวินพอดี

กู้จือเหวินมองสวีเฉิงเจ๋อลากแขนของกู้หนิงอันด้วยสายตาเย็นเยียบ กู้หนิงอันตาแดงก่ำดูเหมือนจะเพิ่งร้องไห้มา หลี่กุ้ยเห็นกู้จือเหวินจ้องกู้หนิงอันอย่างเย็นชา จากนั้นจึงเดินมาหยุดตรงหน้าเขาแล้วพูดเกินจริงว่า “จือเหวิน เมื่อครู่พี่สาวของเด็กนี่เพิ่งมาสินะ ได้ยินว่ายังได้กินข้าวเที่ยงที่บ้านอาจารย์ด้วยนะ”

คนรอบข้างพอได้ยินคำนั้น ก็เดินเข้ามาหาแล้วถามเขาอย่างแปลกใจ “อะไรนะ ได้กินข้าวที่บ้านอาจารย์หรือ”

“ใช่น่ะสิ”

“ข้าก็เห็นเหมือนกัน ฮูหยินดึงตัวแม่นางน้อยคนหนึ่งอย่างกระตือรือร้นเสียด้วย ที่แท้ก็เป็นพี่สาวของกู้หนิงอัน”

“เกิดอะไรขึ้นกับท่านอาจารย์กัน ท่านพ่อของข้าเคยเชิญเขาไปทานข้าวที่ร้านจิ่นฝู แต่เขาไม่ยอมไป ครั้งนี้กลับเชิญเด็กบ้านนอกคนหนึ่งมากินข้าวด้วย” นักเรียนอีกคนพูดขึ้น มองไปทางกู้หนิงอันอย่างจงใจ

“จือเหวิน เหตุใดครอบครัวของอาจารย์จึงให้ความสำคัญกับญาติผู้น้องของเจ้านัก”

“หึ” พอกู้จือเหวินได้ฟัง ก็แค่นหัวเราะเสียงเย็น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความมาดร้าย

“พวกเจ้าอย่ามองว่าบ้านของกู้หนิงอันยากจนเชียว เขาเรียนเก่งไม่เบาเลย” อีกคนที่ทราบความจริงพูด

“หึ” หลี่กุ้ยพูดอย่างดูถูก “เรียนเก่งแล้วอย่างไร บ้านยากจนถึงเพียงนั้น ไม่รู้ว่าต่อไปจะมีเงินเล่าเรียนต่อหรือไม่”

“นั่นสิ” ใครอีกคนที่เห็นด้วยพูดขึ้นว่า “ตอนนี้กู้หนิงอันได้เรียนห้องซีเหมิงก็แค่โชคดีเท่านั้น ยังต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้อีกมาก ยังคงเป็นจือเหวินของพวกเราไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็ยอดเยี่ยมที่สุด อย่างไรมีแต่พวกเราที่มีความรู้มากที่สุด”

“ใช่แล้ว ปีหน้าเจ้าต้องไปเข้าร่วมการสอบระดับอำเภอนะ จือเหวินก็ต้องแสงความสามารถให้ประจักไปเลย สอบซิ่วไฉกลับมาให้ได้ เจ้าถึงจะเป็นลำดับต้น ๆ นอกจากอาจารย์สวีแล้ว เจ้าจะกลายเป็นซิ่วไฉที่อายุน้อยที่สุด”

“นั่นสิ จือเหวินต่อไปก็จะเปรียบเทียบกับนกสยายปีก[1]แล้ว แต่เจ้าอย่าลืมพวกเราพี่น้องเสียก่อนเล่า!”

“ใช่ ๆ”

นกสยายปีกเช่นนั้นหรือ กู้จือเหวินยกยิ้มมุมปาก มองคนที่รุมล้อมชื่นชมตนราวกับว่าในอนาคต เขาจะได้เป็นขุนน้ำขุนนาง คนพวกนี้เป็นพวกประจบประแจง แต่ก็ถูกอกถูกใจกู้จือเหวินนัก ริมฝีปากของเขายกยิ้มขึ้นแล้วพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นข้าจะยกความดีความชอบให้พวกเจ้าอย่างแน่นอน”

กู้จือเหวินมั่นใจเหลือเกินว่าตัวเองจะเป็นได้ดั่งนกสยายปีก เขามองแผ่นหลังผอมบางของกู้หนิงอันด้วยสายตาดูถูก

กู้หนิงอัน อาจารย์เอ็นดูเจ้าแล้วอย่างไร ตอนนี้เจ้าเรียนเก่งแล้วอย่างไร

บ้านรองของพวกเจ้ามันคนละชั้นกับบ้านใหญ่ของพวกข้า

ข้ากู้จือเหวินยังดีกว่าเจ้า พี่สาวข้ากู้ซินเถาก็ดีกว่าเจ้าเช่นกัน

กู้จือเหวินจ้องกู้หนิงอันที่ค่อย ๆ เดินห่างออกไปด้วยสายตาเย็นเชียบ ในใจแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง

กู้หนิงอันเพียงแค่รู้สึกว่าด้านหลังของตัวเองมีสายตาที่จ้องมองราวกับจะทำร้ายเขาให้ถึงตายก็อดหันไปมองด้านหลังไม่ได้ แต่เขากลับมองไม่เห็นอะไรเลย เขาลอบหัวเราะกับตัวเองเพราะเรื่องพี่สาวของเขา เห็นได้ชัดว่ามันทำให้ใครหลายคนอิจฉาริษยาเข้าแล้ว

หลังจากกู้เสี่ยวหวานเดินออกมาจากหอหนังสืออวี้ ก็เดินกลับหมู่บ้านอู๋ซีอย่างไม่คิดจะหยุดฝีเท้า เนื่องจากสัมภาระทุกอย่างทิ้งไว้ที่หอหนังสืออวี้แล้ว ตอนกลับจึงเดินตัวเบายิ่งนัก ทั้งยังได้พักที่บ้านของอาจารย์สวีครู่หนึ่ง ทำให้มีกำลังใจเดินทางขึ้นเยอะ

ตอนเดินผ่านโรงน้ำชาที่งดงามตามแบบฉบับโบราณ สายตาของกู้ซินเถาก็มีประกายแวบผ่าน คล้ายกับมองเห็นเงาร่างคนคนหนึ่ง บนร่างของนางสวมใส่เสื้อสีชมพูอ่อน กิริยาท่าทางชวนให้คนรู้สึกหลงใหล นางช่างสง่างามนัก แม้ว่าจะยังไม่สูงเท่าไร แต่ในอนาคตนางจะต้องโตมางดงามอย่างแน่นอน

กู้เสี่ยวหวานเพียงมองเห็นเงานั้น นางก็รู้ทันทีว่าคือใคร

แค่เห็นนางกู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกถึงความโกรธที่แล่นขึ้นหัวตัวเองได้ในทันที ถ้าไม่ใช่เพราะกู้ซินเถา น้องสาวของนางจะไม่ต้องทรมานถึงเพียงนั้น และตัวเองก็จะไม่ถูกคนอื่นหลอกให้เสียไปหลายร้อยตำลึงเงิน พอคิดถึงตรงนี้ กู้เสี่ยวหวานก็โมโหโดยที่ไม่สามารถระบายออกมาได้ ขณะที่นางกำลังคิดจะเข้าไปพูดกับกู้ซินเถาอยู่นั้น ก็เห็นว่าข้างกายกู้ซินเถามีผู้ชายเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง

ผู้ชายคนนั้นอายุยังไม่เยอะเช่นกัน ดูแล้วน่าจะอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปี แต่ชุดที่ทำมาจากผ้าแพรเนื้อดี สวมเครื่องประดับเงินและทอง ดูล้ำค่า เพียงแต่ว่าเสื้อผ้าถึงจะแพง เมื่ออยู่บนร่างที่มีแต่ไขมันแล้วชวนให้น่าขบขันยิ่ง

คิดว่าคนผู้นั้นน่าจะเพิ่งมาถึงโรงน้ำชา และเหมือนกับว่าเขาจะเป็นคนเชิญกู้ซินเถามาเองเสียด้วย กู้เสี่ยวหวานมองเห็นใบหน้าเขินอายของกู้ซินเถาเวลาพูดกับคนผู้นั้น เขาเชิญกู้ซินเถาเข้าไปข้างใน ภาพด้านหลังของพวกเขาเกินกว่าครึ่งก็เป็นของผู้ชายคนนั้นแล้วสองส่วนจากสามส่วน

[1] นกสยายปีก หมายถึงเจริญรุ่งเรือง