ตอนที่ 149 ทุกคนตกตะลึง

“เขามีความสัมพันธ์อันดีกับผู้อาวุโสนอกคนหนึ่งผู้อาวุโสเชียน พวกเราสามารถขอให้เขาลองช่วยดู!” ทันใดนั้นอวี่เพิ่งกล่าวขึ้น

“พวกเราคงสามารถทําได้แค่นั้น!”อวหลินถอนหายใจเล็กน้อย

ทันใดนั้นซูชิงฉือเดินเข้ามา จากนั้นนางมองไปยังอวี่หลินพร้อมกล่าว”ข้าต้องการแนะนําใครบางคนในการเข้าร่วมเทียบอันดับสวรรค์!”

อวหลินประหลาดใจเล็กน้อย “ชิงฉือในสํานักดาบราชันยังมีอัจฉริยะหลงเหลืออยู่อีกงั้นหรือ?”

ซูชิงฉือส่ายหัว “เขาคือหยางเย่!”

ทุกคนในที่นี้ชะงักเมื่อได้ยิน จากนั้นอวี่เพิ่งได้เอ่ยขึ้น”ชิงฉือหยางเย่คิดจะกลับมาสํานักดาบราชันงั้นหรือ?”

ซูชิงฉือส่ายหัวอีกครั้ง “ไม่ เขาแค่จะเข้าร่วมประลองในนามของสํานักดาบราชันเพียงเท่านั้น”

อวี่เหิงและอวี่หลินดูผิดหวังเล็กน้อยไม่นานอวหลินหันเราะอย่างขมขื่นก่อนจะเอ่ย “ชิงฉือ หากข้าจําไม่ผิดหยางเย่ยังอยู่เพียงขั้นปราณมนุษย์ใช่หรือไม่? ถึงแม้เขาจะบรรลุขั้นปราณสวรรค์ และมีเจตจํานงแห่งดาบแต่หากเข้าร่วมการประลองด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันเช่นนั้นเขาก็ไม่มีโอกาสได้อันดับสูงๆ แน่เจ้าเองก็น่าจะทราบเรื่องนี้ดี!”

“ข้าได้ทดสอบความแข็งแกร่งของเขาแล้วมันเพียงพอที่จะต่อกรกับยอดฝีมือขั้นปราณราชันได้!” ซูชิงฉือกล่าว “ยิ่งกว่านั้น… ยิ่งกว่านั้นเจตจํานงแห่งดาบของเขาอยู่ระดับสองแล้ว!”

ทุกคนโดยรอบต่างพากันตกตะลึง!

อวหลินกล่าวอย่างจริงจัง “ชิงฉือเขาเข้าถึงระดับสองแล้วจริงหรือ?”

ซูชิงฉือพยักหน้า

เมื่อพวกเขาเห็นนางพยักหน้าทุกคนถึงกับตื่นเต้นแต่ไม่นานมันก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าที่หดหูในบรรดาผู้อาวุโสทุกคนใบหน้าอรี่หลินดูขมขึ้นมากที่สุดเพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียวนอกจากจะทําให้สํานักสูญเสียอัจฉริยะไปแล้วยังทําให้อัจฉริยะผู้นั้นรู้สึกแย่ต่อสํานักดาบราชันอีกยิ่งกว่านั้นสํานักดาบราชันยังเกิดความขัดแย้งกับราชวังบุปผาเพราะเรื่องนี้ด้วยดังนั้นสํานักดาบราชันจึงไม่ได้สิ่งใดเลยนอกจากสูญเสีย!

รอบด้านเงียบไปชั่วครู่ เวลานี้พวกเขาไม่มีอารมณ์ที่จะถกเถียงกันเรื่องหาอัจฉริยะเข้าร่วมประลองอีกตอนนี้ทุกคนกําลังคิดว่าจะทําให้หยางเย่กลับมาสํานักดาบราชันได้ยังไงเพราะหยางเย่เป็นผู้มีเจตจํานงแห่งดาบและยังเป็นอัจฉริยะที่นับว่าร้ายกาจอย่างมาก ตอนนี้เขาบรรลุเจตจํานงแห่งดาบระดับสองในช่วงเวลาสั้นๆและสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าหยางเยู่เป็นอัจฉริยะแห่งวิถีดาบอย่างที่ไม่มีใครปฏิเสธได้!

หากสํานักดาบราชันใช้ทุกอย่างที่มีสนับสนุนเขาเช่นนั้นในอนาคต หยางเย่จะไม่ด้อยไปกว่าผู้ปกป้องสํานักดาบราชันอาจารย์ลุงซุยแน่นอน!

ผ่านไปชั่วครู่อวี่หลินกล่าว “มันคือการตัดสินใจของข้าเอตอนนี้ดูเหมือนข้าไม่อาจจะเป็นผู้อาวุโสบัญชาการดาบได้อีกต่อไปตั้งแต่บัดนี้ตําแหน่งผู้อาวุโสบัญชาการดาบจะเป็นของอวี่เหิงและข้าจะขอรับความผิดโดยตรงเมื่อเจ้าสํานักออกมาจากการบ่มเพาะพลัง!”

หากหยางเยู่มีเพียงเจตจํานงแห่งดาบเช่นนั้นเขาไม่เสียใจแม้แต่น้อยที่ยอมลงโทษตนเอง…

ทุกคนโดยรอบเงียบไปชั่วครู่รวมถึงอวี่เหิงมันราวกับทุกคนพร้อมใจกันถูกต้องมันเป็นเพราะพวกเขาเห็นด้วยกับการตัดสินใจของอวี่หลิน

ไม่ว่ายังไงการตัดสินใจของอวี่หลินครั้งนั้นมันเป็นความจริงที่เขาได้ขับไล่อัจฉริยะผู้มีเจตจํานงแห่งดาบออกไปและต้องมีใครสักคนที่แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งนี้ และอวหลินเป็นผู้ที่สมควรที่สุด

ซูชิงฉือถอนหายใจเล็กน้อย อันที่จริงนางไม่ต้องการบอกให้ทุกคนทราบถึงความแข็งแกร่งของหยางเย่ หากบอกไปอวหลินจะต้องรู้สึกเสียใจมากยิ่งขึ้น อันที่จริงมันไม่ใช่แค่ผู้คนที่นี่ที่รู้สึกเสียใจแม้จะเป็นโรงเรียนปราชญ์หรือสองราชวังที่เหลือก็จะรู้สึกเสียใจหากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับพวกเขาเพราะมันเกี่ยวกับอัจฉริยะผู้มีเจตจํานงแห่งดาบและนั่นมันก็หมายถึงเสาหลักของสํานัก!

การไล่เขาออกจากสํานักก็ไม่ต่างจากตัดกระดูกสันหลังของสํานักออก!

“ชิงฉือ เจ้ารับหยางเยู่และน้องสาวของเขามาในวันนั้นในความคิดเจ้ามันเป็นไปได้หรือไม่ที่จะทําให้เขากลับมา?”อวี่เพิ่งถาม

ซูชิงฉือส่ายหัวก่อนจะกล่าว “หยางเยเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจสูงเมื่อสํานักดาบราชันกระทําเช่นนั้นกับ เขามันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทําให้เขาเข้าร่วมสํานักดาบราชันอีก แต่ข้าจะพยายามทําอย่างสุดความสามารถเขาให้ความสําคัญกับความสัมพันธ์ของคนที่สนิทมาก หากสํานักดาบราชันสามารถช่วยเหลือเขาเช่นนั้นพวกเราอาจจะมีโอกาส”

“ช่วยเขา?” อวี่เพิ่งกล่าว “ชิงฉือบอกข้อมูลมาหน่อย”

ซูชิงฉือมองไปที่พวกเขาก่อนจะเอ่ย “พวกท่านคงจะทราบดีว่าหยางเย่และราชวังบุปผามีความขัดแย้งกัน มารดาของหยางเย่ยังคงทุกข์ทรมานอยู่ในราชวังบุปผาจนถึงตอนนี้หากจําสํานักดาบราชันของพวกเราช่วยเขาเรื่องมารดาข้าคาดว่าเขาจะกลับมามีความประทับใจต่อสํานักดาบราชันอีกครั้งแน่นอนด้วยตัวตนและความคิดของเขา มันมีโอกาสอย่างมากที่จะทําให้เขากลับมา!”

ทันใดนั้นอวหลินขมวดคิ้ว “ชิงฉือ เจ้าน่าจะตระหนักได้ดีถึงกฎของราชวังบุปผานะ อย่าว่าแต่มารดาหยางเย่ แม้จะเป็นเจ้าสํานักก็ยังต้องรับโทษหากแหกกฎ กฎนั้นกล่าวได้ว่าเป็นกฎพื้นฐานของราชวังบุปผา หากสํานักดา บราชันยื่นมือเข้าไปช่วยมารดาหยางเย่ เช่นนั้นมันก็เหมือนประกาศสงครามต่อราชวังบุปผา!”

“หากไม่เลือกที่จะเสียก็ไม่มีวันที่จะได้ พวกท่านสามารถเลือกได้ระหว่างหยางเย่หรือราชวังบุปผา!” ซูชิงฉ้อกล่าวอย่างเฉยชา

ผู้คนมากมายเงียบไปชั่วครู่และเริ่มลังเลใจเพราะการจะประกาศสงครามกับราชวังบุปผาเพื่อหยางเย่นั้นไม่ใช่เรื่องเล็กโดยเฉพาะสถานะของสํานักดาบราชันตอนนี้หากพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจทําให้สํานักดาบราชันตกอยู่ในอันตรายจนถึงขั้นต้องปิดสํานัก

“มันไม่มีทางอื่นแล้วงั้นหรือ?” อวี่เพิ่งเอ่ยถามการเป็นศัตรูกับราชวังบุปผาเพื่อหยางเย่นั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยพวกเขาไม่กล้าตัดสินใจกันตอนนี้

ซูชิงฉือมองไปยังทุกคน “ศิษย์พี่ทุกท่านลองคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของสํานักดาบราชันสิ สํานักดาบราชันยังขาดผู้สืบทอดถึงแม้จะมีใครสักคนในสํานักสามารถเข้าไปยังเทียบอันดับสวรรค์ได้แล้วยังไง?อย่าว่าแต่โรงเรียนปราชญ์กับทั้งสองราชวังแม้กระทั่งสํานักภูตผีและสํานักจันทราพวกเราก็ยังไม่อาจเทียบได้สิ่งที่สําคัญที่สุดคือสํานักดาบราชันยังอยู่ในหกมหาอํานาจและยังเคยเป็นอันดับต้น ๆ ของหกมหาอํานาจด้วย!”

“นอกจากเมืองไม่กี่เมืองรอบสํานักดาบราชันแล้วสํานักดาบราชันยังมีอํานาจอิทธิพลใดในเขตแดนใต้อีกงั้นหรือ? ยิ่งกว่านั้นศิษย์ของสํานักอื่น ๆ คิดยังไงกับสํานักดาบราชันเรา?ในอดีตมีเพียงโรงเรียนปราชญ์และสถาบันการป้องกันตัวเท่านั้นที่ดูหมิ่นศิษย์สํานักดาบราชัน แต่ตอนนี้แทบจะทุกมหาอํานาจที่ดูหมิ่นพวกเรา”

“ในอดีตตระกูลใหญ่ต่าง ๆ มักจะส่งอัจฉริยะของพวกเขามาที่สํานักดาบราชันแต่พวกเขายังทําเช่นนั้นอยู่หรือไม่? หากพวกท่านตรวจสอบดูให้ดีท่านคงจะทราบว่าพวกเขาส่งบรรดาอัจฉริยะไปยังโรงเรียนปราชญ์และราชวังทั้งสองแทนที่จะส่งมาให้สํานักดาบราชัน!”

“การทําลายทุกวิชาด้วยการโจมตีด้วยครั้งเดียวคํานี้เมื่อก่อนได้สั่นสะเทือนไปทั่วยุทธภพ แต่ตอนนี้กลับมีแต่คนเย้ยหยัน!”

หลังจากกล่าวทั้งหมดไป ซูชิงฉือสูดหายใจลึกขณะเดียวกันประกายแห่งความเศร้าโศกและไร้หนทางถาโถมเข้าในใจนาง สํานักดาบราชันครั้งหนึ่งเคยโด่งดังไปทั่วยุทธภพแม้กระทั่งโรงเรียนปราชญ์ยังไม่คิดจะปะทะด้วยโดยตรง แต่ตอนนี้…

บรรยากาศโดยรอบเงียบไปชั่วครู่พร้อมกับใบหน้าของทุกคนที่ไหม้เกรียมไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ตระหนักถึงปัญหาแต่พวกเขาทําแค่หลีกเลี่ยงปัญหามาตลอดมันจึงทําให้พวกเขาไม่อาจยอมรับความจริงนี้ได้แต่ตอนนี้มันถูกกล่าวโดยซูชิงฉือผ้าผืนที่ปิดบังสิ่งที่น่าละอายเหล่านี้ได้ถูกเปิดเผยจนหมดสิ้นนอกจากความรู้สึกละอายใจพวกเขายังรู้สึกสิ้นหวัง

“สํานักดาบราชันจําเป็นต้องหาคนเพิ่มมันจําเป็นต้องมีใครสักคนที่เผยแพร่ชื่อเสียงของสํานักดาบราชันในเขตแดนใต้ว่าสํานักดาบราชันยังมีคนที่สามารถทําลายทุกวิชาได้ด้วยการลงดาบเพียงครั้งเดียวอยู่!พวกท่านคิดว่ามีใครคนไหนในสํานักดาบราชันสามารถทําเช่นนั้นได้? มู่หรงเหยา? ถึงนางร้ายกาจมากก็จริงทั้งยังมีพรสวรรค์ที่เหนือคนทั่วไปแต่นางจะจัดการศิษย์สํานักดาบอื่นได้งั้นหรือ? แต่สําหรับหยางเย่ถึงในตอนนี้เขาจะยังทําไม่ได้แต่ก็มีศักยภาพมากพอเพราะมีเจตจํานงแห่งดาบพวกท่านน่าจะตระหนักดีว่าศิษย์ที่มีเจตจํานงแห่งดาบคืออะไร!”ซูชิงฉือยังกล่าวต่อ

หลังจากนั้นอหลินได้เอ่ยขึ้น “ชิงฉือ ทุกอย่างที่เจ้ากล่าวนั้นสมเหตุสมผลแต่มีบางสิ่งที่พวกเราไม่อาจตัดสินใจได้เพราะหากพวกเราเป็นศัตรูกับราชวังบุปผาและพวกมันร่วมมือกับสํานักภูตผี เช่นนั้นมันจะเป็นอันตรายต่อสํานักเราอย่างมากเจ้าน่าจะทราบดีว่าสํานักดาบราชันไม่อาจรับพายุลูกใหม่เพิ่มได้อีก”

อวี่เพิ่งกล่าวจากด้านข้าง “ไม่มีข้อสงสัยใดสําหรับความแข็งแกร่งของหยางเย่หากเขายังอยู่ในสํานักดาบราชันเช่นนั้นข้าก็ไม่ขัดข้องที่จะต้องเป็นศัตรูกับราชวังบุปผา แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่ศิษย์สํานักดาบราชันยิ่งกว่านั้นถ้าสํานักดาบราชันลงมือช่วยเหลือมารดาหยางเย่มันจะมีโอกาสขึ้นมากที่พวกเราจะต้องปะทะกับราชวังบุปผาหากพวกเราเกิดสงครามกับราชวังบุปผาเช่นนั้นสํานักภูตผีจะต้องเข้าร่วมด้วยแน่นอน และพวกเราจะต้อง รับมือจากทั้งสองสํานักข้าไม่ต้องให้สถานการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น!”

ผู้อื่นต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย ถึงแม้ความหวังของพวกเขาคือหยางเย่มันก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะคุ้มค่าหรือไม่ที่จะทําเพื่อเขาเพราะผลที่ตามมาของสงครามมันเลวร้ายเกินไป!

ซูชิงฉือมองพวกเขาก่อนจะหันหลังจากไป

นางไม่คิดที่จะโทษพวกเขาเพราะทราบดีว่าพวกเขาสนใจในเรื่องหยางเย่ แต่ก็ไม่กล้าที่จะเอาสํานักไปเสี่ยง

อย่างไรก็ตามหากสํานักดาบราชันยังทําแบบนี้ต่อไปเช่นนั้นพวกเขาจะมีความหวังใดอีก?