ตอนที่ 282 บาดเจ็บ(1)

ตอนที่ 282 บาดเจ็บ(1)

ฉินมู่หลานได้ยินคำพูดของแม่ ก็พยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ใช่ค่ะ ครอบครัวลุงใหญ่มาไม่ได้แน่นอน เพราะไม่มีที่อยู่ แต่ลูกพี่ลูกน้องสองคนมากันแล้ว หากพวกเขาอยากจะอยู่ที่เมืองหลวงด้วยก็สามารถหาเช่าบ้านได้ ถึงเวลาถ้าครอบครัวของลุงใหญ่จะมาที่นี่ ก็มาได้ค่ะ”

ซูหว่านอี๋ก็ไม่เคยคิดเรื่องเช่าบ้านมาก่อน เมื่อได้ยินลูกสาวพูดแบบนี้ ก็พยักหน้าเห็นด้วยแล้วกล่าวว่า “นี่ก็เป็นไปได้ แต่ซื้อบ้านไว้คงดีกว่า เป็นอย่างนั้นก็จะอยู่ได้อย่างสบายใจ”

อาจเป็นเพราะคนจีนส่วนใหญ่ล้วนหมกมุ่นอยู่กับการเป็นเจ้าของบ้าน เพราะบ้านที่เช่าไม่ใช่บ้านของตัวเอง จึงไม่สบายใจเท่าได้อยู่บ้านตัวเองแน่นอน

ฉินมู่หลานเห็นด้วยกับเรื่องนี้อยู่แล้ว และการกว้านซื้อบ้านในตอนนี้ก็ถือเป็นการสร้างกำไรมหาศาลอย่างแน่นอน เธอจึงหันมองซูหว่านอี๋แล้วพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “แม่คะ เดี๋ยวพอถึงเวลาแม่ก็บอกลุงใหญ่กับป้าใหญ่ได้ ถ้าพวกเขาอยากมาเมืองหลวงอย่างที่ว่าจริงก็มาซื้อบ้านในปักกิ่งได้ ต่อไปบ้านจะมีราคาแพงขึ้น ถ้าซื้อเอาไว้ในตอนนี้จะได้กำไรแน่นอนค่ะ”

ซูหว่านอี้ไม่ได้คิดมากขนาดนั้น และคิดว่าต่อให้บ้านจะมีราคาแพงขึ้นก็คงไม่ได้แพงขนาดนั้น แต่ในเมื่อลูกสาวพูดอย่างนั้น หล่อนก็พยักหน้ารับ “ได้ เดี๋ยวถ้ามีโอกาสแม่จะบอกนะ”

ฉินมู่หลานก็เอ่ยถามซู่หว่านอี้ด้วยเช่นกันว่าพวกเขาอยากจะซื้อบ้านสักหลังไหม

ซูหว่านอี๋ส่ายหัวแล้วพูด “มู่หลาน บ้านมีแค่พออยู่ก็พอแล้ว เดี๋ยวเรือนสี่ประสานเสร็จ พวกเราก็ย้ายเข้าไปอยู่กันได้ ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อบ้านอีกแล้วล่ะ”

แต่เมื่อคิดว่าลูกสาวยังอยากซื้อบ้านอยู่ จึงค่อย ๆ มีสติคิดได้ขึ้นมา หรือว่าพวกเขาสองคนควรจะซื้อบ้านสักหลังจริง ๆ ?

“ดูเหมือนว่ายังไงก็ต้องซื้อบ้าน แต่พ่อกับแม่ยังมีเงินเก็บไม่พอ เอาไว้เราจะซื้อหลังจากที่มีเงินพอแล้วกัน”

“แม่คะ หนูช่วยออกก่อนได้นะคะ”

ซูหว่านอี๋โบกมือแล้วกล่าวขึ้น “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวรอพวกแม่เก็บเงินได้พอซื้อทีเดียวก็เหมือนกันแหละ”

แต่ฉินมู่หลานกลับทราบดีว่า ต่อไปข้างหน้าบ้านจะมีราคาแพงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทางที่ดีจึงควรซื้อตั้งแต่เนิ่น ๆ “แม่คะ แล้วถ้าเกิดว่าหนูซื้อให้พ่อกับแม่ล่ะ”

อันที่จริงแล้วเรือนสี่ประสานหลังนั้นเธอซื้อให้ครอบครัว เพียงแต่พ่อกับแม่กลับไม่ยอมรับเอาไว้

ซูหว่านอี๋พยายามปฏิเสธอย่างหนัก ไม่อยากให้ลูกสาวต้องเสียเงินซื้อบ้านให้กับพวกเขา

ฉินมู่หลานเห็นดังนั้น จึงอดถอนหายใจไม่ได้ หลังจากนั้นก็เอ่ยขึ้น “หรือไม่อย่างนั้นหนูจะให้พ่อกับแม่ยืมเงินก่อนก็ได้ค่ะ”

ด้วยการเกลี้ยกล่อมของลูกสาว สุดท้ายซูหว่านอี๋จึงยอมอ่อนข้อลง “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ เดี๋ยวแม่เขียนใบสัญญาให้ลูกแล้วกัน”

“แม่คะ ไม่ต้องใช้ใบสัญญาหรอก”

ซูหว่านอี๋เหลือบมองลูกสาว ก่อนจะพูดขึ้น “ญาติมิตรยังต้องมีใบสัญญาเลย พวกเราแม่ลูกก็ต้องมีใบสัญญาให้ชัดเจน ต้องมีใบสัญญา ไม่อย่างนั้นแม่ก็ไม่ยืมหรอก”

“ค่ะๆๆ ทุกอย่างแล้วแต่แม่เลยค่ะ”

หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ฉินมู่หลานก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เธอเตรียมตัวไปธนาคารเพื่อถอนเงินออกมาทันที

ซูหว่านอี๋เห็นเช่นนี้จึงรีบปรามเธอ แล้วพูดขึ้น “มู่หลาน เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อนหรอก รอเจอบ้านสวย ๆ ถึงตอนนั้นถ้าพวกเราอยากซื้อจริง ๆ ก็ยังไม่สายที่จะมาเอาเงินจากลูก ลูกไม่จำเป็นต้องรีบไปถอนเงินตอนนี้หรอก”

“ไม่เป็นไรค่ะแม่ ยังไงหนูก็ต้องออกไปข้างนอกพอดี”

เมื่อเห็นลูกสาวพูดแบบนั้น ซูหว่านอี๋ก็ไม่เอ่ยขัดอะไรอีกแล้ว

ฉินมู่หลานเคลื่อนไหวเร็วมาก ไม่นานก็กลับมาถึงบ้าน พร้อมกับกระเป๋าสีดำใบหนึ่งในมือ “แม่คะ เงินพวกนี้แม่รับไปก่อนเลยนะ พอเจอบ้านที่ถูกใจก็ซื้อได้เลย”

ซูหว่านอี๋เปิดกระเป๋าที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะพบกับเงินทั้งหมด หล่อนนับมันอย่างระมัดระวัง และพบว่ามีอยู่เกือบห้าหมื่นหยวน เห็นเช่นนี้ก็หันมองลูกสาวด้วยสีหน้าตกใจแล้วพูดขึ้น “มู่หลาน นี่ไม่เยอะไปเหรอ ลูกไม่ต้องใช้ซื้อบ้านเยอะขนาดนี้ก็ได้นะ แม่กับพ่อของลูกก็มีเงินเก็บอยู่บ้าง ไม่ต้องใช้เยอะขนาดนี้หรอก”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ก็ยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “แม่คะ แม่ก็แค่เก็บเอาไว้ พอมีเรือนสี่ประสานที่เข้าตาจะได้ซื้อเลย ถ้าเกิดว่าไม่พอ เดี๋ยวหนูจะจัดการให้เองค่ะ”

เมื่อเห็นลูกสาวยอมควักเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ออกมาภายในชั่วพริบตาเดียว นอกจากนี้ยังปล่อยให้พวกเขาเลือกซื้อได้ตามต้องการด้วย ซูหว่านอี๋ก็ได้แต่รู้สึกว่าลูกสาวช่างร่ำรวยและอำนาจมากล้นขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันก็คิดไปถึงเรื่องความสามารถในการหารายได้ของลูกสาวด้วย กลายเป็นว่ายาที่ลูกสาวผลิตทำมูลค่าได้ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว

แต่หล่อนก็ยังรู้สึกว่าตนไม่ต้องการใช้เงินมากมายขนาดนั้น เพียงแต่ลูกสาวกลับยืนกราน หล่อนจึงยอมรับมัน สุดท้ายก็ได้เขียนสัญญากันเป็นที่เรียบร้อย

ถึงแม้ว่าฉินมู่หลานจะคิดว่าไม่ต้องใช้ใบสัญญา แต่เธอก็เข้าใจความพยายามของแม่ จึงยอมรับแล้วพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “แม่ หนูฝากลูกสองคนก่อนนะคะ เดี๋ยวจะไปทำยาเม็ด”

เมื่อสักครู่ตอนเธอออกไปถอนเงิน ก็ได้ซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้เพื่อจะนำไปกลั่นยาให้โจวเหยียนเรียบร้อยแล้ว

ถึงแม้ว่าฉินมู่หลานจะไม่ได้ล่าช้า แต่การจะผลิตยาแต่ละตัวก็ต้องอาศัยขั้นตอน ซึ่งบางขั้นตอนก็ค่อนข้างยุ่งยาก เธอจึงใช้เวลาอยู่นานหลายวัน หลังจากนั้นก็ได้ตัวยาที่ทำให้โจวเหยียนก่อนจะบรรจุใส่ขวด ขณะที่ฉินเคอวั่งกลับมาในตอนเย็น เธอก็นำไปยื่นให้เขาแล้วบอกกล่าว “เคอวั่ง นี่เป็นยาของอาจารย์หญิงนาย พรุ่งนี้เช้านายไปที่บ้านอาจารย์ แล้วเอาไปให้พวกเขาด้วยนะ”

ฉินเคอวั่งได้ยินเช่นนี้ ก็รีบพยักหน้าทันที “ได้ครับพี่ ผมเข้าใจแล้ว พรุ่งนี้ผมจะเอาไปให้อาจารย์แต่เช้า หลังจากนั้นก็จะตรงไปที่เรือนสี่ประสานด้วยกันเลย”

“ตกลง”

หลังจากที่ฉินมู่หลานมอบหมายหน้าที่นี้แล้ว เธอก็รู้สึกผ่อนคลายลง การทำยาในช่วงหลายวันมานี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เธอต้องใช้พลังงานและเวลาอย่างมาก จึงเพิ่งจะได้พักผ่อนเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง

เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ฉินเคอวั่งก็ออกเดินทางแต่เช้าไปที่บ้านของเหลียงถง เพื่อนำยาที่ฉินมู่หลานทำให้ไปส่งให้กับอาจารย์และอาจารย์หญิงของเขา

เหลียงถงได้รับยาแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นมาก ก่อนจะนำไปให้โจวเหยียนทันที

โจวเหยียนเห็นว่าฉินมู่หลานจดวิธีการรับประทานยาและปริมาณที่ต้องใช้ให้อย่างละเอียดด้วย เมื่อเห็นว่าต้องกินก่อนนอนหนึ่งเม็ด จึงนำยาเม็ดนั้นไปเก็บทันที ขณะเดียวกันก็มองฉินเคอวั่งด้วยสีหน้าเอ็นดูแล้วพูดขึ้น “เคอวั่ง ฉันฝากเธอไปขอบคุณพี่สาวด้วยนะ เอาไว้ว่าง ๆ พวกเธอสองพี่น้องก็มากินข้าวที่บ้านพวกเราได้นะ”

“ครับ ขอบคุณครับอาจารย์หญิง”

ฉินเคอวั่งยอมรับน้ำใจ หลังจากนั้นก็ไปที่บ้านสี่ประสานพร้อมกับเหลียงถง

ตั้งแต่มีเหลียงถงมาเข้าร่วมทีมด้วย การตกแต่งบ้านก็เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนรู้ว่าต้องทำอะไร ทุกอย่างล้วนถูกระบุเอาไว้อย่างชัดเจน นอกจากนี้เซี่ยเหวินปิงกับฉินเจี้ยนเซ่อก็ได้ความรู้มากมายเช่นกัน ในที่สุดพวกเขาก็ได้เข้าใจถึงความเป็นทีมงานก่อสร้างที่ดีว่าควรทำอะไรบ้าง

ฉินมู่หลานไม่ได้กังวลเรื่องเรือนสี่ประสานอยู่แล้ว แต่เริ่มเป็นกังวลเกี่ยวกับเจี่ยงสือเหิงแทน

“ลุงเจี่ยงคะ พ่อบุญธรรมยังยุ่งอยู่เหรอคะ นี่ก็นานมากแล้ว ทำไมยังไม่กลับมาเลย”

เมื่อพูดถึงเจี่ยงสือเหิง ลุงเจี่ยงก็รู้สึกกังวลใจนิดหน่อย “ใช่ครับ ครั้งนี้นายน้อยออกจากบ้านนานที่สุด ก่อนหน้านี้ยังมีส่งข้อความกลับมาที่บ้านเป็นครั้งคราว แต่ช่วงนี้ไม่มีข้อความอะไรส่งมาถึงเลยครับ แต่งานที่สถาบันวิจัยบางครั้งฏ้ล้นมือจนต้องทำงานจนดึกดื่น บางทีนายน้อยอาจจะกลับมาเร็ว ๆ นี้ก็ได้ครับ”

ฉินมู่หลานทราบดีว่าสถาบันคงวุ่นวายมากตอนที่มีงานล้นมือ แต่เธอก็ยังรู้สึกกังวลนิดหน่อย จึงรีบพูดขึ้นทันที “เดี๋ยวฉันจะให้แม่ทำซุปให้ ช่วงบ่ายจะเอาไปส่งให้พ่อบุญธรรม ถือโอกาสไปเยี่ยมเขาด้วยค่ะ”

ลุงเจี่ยงได้ยินเช่นนี้ ก็รีบพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ครับ ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนคุณหนูน้อยแล้วล่ะครับ”

ฉินมู่หลานคิดได้แล้วก็เดินตรงไปที่ห้องครัวทันที เมื่อเห็นว่าซูหว่านอี๋อยู่ในนั้นพอดี จึงรีบพูดขึ้น “แม่คะ หนูว่าจะไปเยียมพ่อบุญธรรมที่สถาบันวิจัย เอาซุปไปให้เขาหน่อย”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูหว่านอี๋ก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ก็ดี พ่อบุญธรรมของลูกไม่ได้กลับมาตั้งนานแล้ว ไม่รู้ว่าการกินอยู่ที่สถาบันเป็นยังไงบ้าง ถ้าลูกจะไปที่นั่นก็เอาอาหารติดไม้ติดมือไปฝากสักหน่อย เพราะยังไงอาหารที่บ้านก็รสชาติดีอยู่แล้ว”

“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นรบกวนแม่ด้วยนะคะ”

“มีอะไรรบกวนกัน เป็นพวกเราต่างหากที่รบกวนสือเหิงอยู่ตลอด” เนื่องจากครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่ที่บ้านของเจี่ยงสือเหิง ซูหว่านอี๋จึงเริ่มยุ่งกับการเตรียมอาหารไปให้เจี่ยงสือเหิง

ฉินมู่หลานเห็นว่าซูหว่านอี๋กำลังยุ่ง จึงไปดูลูกทั้งสองคนอีกครั้ง เมื่อเห็นเหยาจิ้งจือกำลังช่วยดูแลอยู่ ก็รีบยกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “แม่คะ ลำบากแม่เสียแล้ว”

เหยาจิ้งจือได้ยินเช่นนี้ ก็หันมองลูกสะใภ้คนเล็ก พลางหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ลำบากหรอก เฉินเฉินกับชิงชิงเป็นเด็กดีมากเลย”

“เด็ก ๆ ไม่กวนแม่ก็ดีแล้วค่ะ แต่เดี๋ยวช่วงบ่ายฉันต้องรบกวนแม่ช่วยดูเด็ก ๆ หน่อยนะคะ ฉันจะเอาข้าวไปให้พ่อบุญธรรมที่สถาบันวิจัย เขาไม่ได้กลับบ้านมานานแล้วค่ะ”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

มู่หลานรวยมาก สูตรยาตัวหนึ่งทำเงินได้ไม่ใช่น้อยเลยนะเนี่ย

เกิดอะไรขึ้นกับพ่อบุญธรรมที่สถาบันวิจัยหรือเปล่านะ

ไหหม่า(海馬)