ตอนที่ 401 ผู้เยียวยาจิตวิญญาณ (1) / ตอนที่ 402 ผู้เยียวยาจิตวิญญาณ (2)
ตอนที่ 401 ผู้เยียวยาจิตวิญญาณ (1)
ในขณะที่ทุกคนยังคงอ้าปากค้างกันอยู่ จวินอู๋เสียกลับไม่ตอบสนองเลย ฟ่านจิ่นมาตามนางเพื่อบอกให้นางรู้ว่าพรุ่งนี้เช้านางต้องไปรายงานตัวที่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณและห้ามไปสายเด็ดขาด ฟ่านจิ่นเป็นศิษย์ของสาขาผู้ใช้สัตว์วิญญาณ เขาจึงไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณมากนัก
จวินอู๋เสียรับฟังอย่างเงียบๆ จากนั้นก็แยกทางกับฟ่านจิ่น
อย่างไรก็ตาม เพียงค่ำคืนเดียวชื่อ ‘จวินเสีย’ สองคำนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วและเป็นที่รู้จักของทุกคนในสำนักศึกษาเฟิงหัว
เนื่องจากนางเป็นศิษย์เพียงคนเดียวที่กู้หลีเซิงรับเข้าสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณในปีนี้ ตัวตนของนางจึงเปรียบเสมือนจุดร่วมกันของแสง ดึงดูดทุกสายตาของจากทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ใหม่ไปที่นางเพียงคนเดียว แน่นอนว่าในสายตาเหล่านั้น มันก็เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา เกลียดชัง และข่าวลือที่น่ารังเกียจมากมาย
การเผยงำประกายมากเกินไปไม่ใช่เรื่องดี ตลอดเส้นทางกลับหอพัก จวินอู๋เสียจึงได้รับสายตาที่ซับซ้อน กังขา และอาฆาตมุ่งร้ายจากทุกสารทิศ
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น จวินอู๋เสียก็ไปรายงานตัวที่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ
แม้ว่าจำนวนศิษย์ในสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณจะมีน้อยมากเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่อาคารแห่งนี้กลับครอบครองเนื้อที่ขนาดใหญ่มากและมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายนับไม่ถ้วน เห็นได้ชัดว่าสถานที่นี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าอีกสองสาขาที่เหลือในสำนักศึกษาเลย เป็นที่ชัดเจนว่าสำนักศึกษาเฟิงหัวให้ความสำคัญกับสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณนี้มากจริงๆ
ภายในตึกขนาดใหญ่ จะเห็นเงาร่างของศิษย์สองสามคนเดินประปรายไปทั่ว ทุกคนสวมชุดเครื่องแบบของสำนักศึกษาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ที่หน้าอกของพวกเขายังห้อยป้ายหยกรูปดวงดาวเอาไว้ด้วย
เมื่อจวินอู๋เสียเดินมาถึงประตูทางเข้า นางก็บังเอิญได้พบกับคนรู้จักโดยไม่คาดคิด
อิ่นเหยียนที่กำลังคุยกับลูกศิษย์คนอื่นอยู่ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นและเห็นร่างเล็กๆ ของจวินอู๋เสีย ความประหลาดใจก็ฉายชัดขึ้นบนใบหน้าที่ขาวซีดของเขาทันที เนื่องจากเมื่อวานเขายุ่งอยู่ตลอดจนไม่มีเวลากลับไปค้างคืนที่หอพัก จึงไม่ได้คาดหวังจริงๆ ว่าจะได้มาพบกับจวินอู๋เสียที่ทางเข้าสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณเช้านี้!
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่!” อิ่นเหยียนถามพร้อมคิ้วที่ขมวดมุ่น
จวินอู๋เสียเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “รายงานตัว”
อิ่นเหยียนแทบสติหลุดออกจากร่าง จากความประหลาดใจแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจในทันที แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร จวินอู๋เสียก็เดินตรงเข้ามาในตึกสาขา ศิษย์อีกคนหนึ่งที่กำลังพูดคุยกับอิ่นเหยียนอยู่ เมื่อเห็นสีหน้าที่มืดครึ้มของเขามองตามแผ่นหลังของจวินอู๋เสียที่จากไป เขาก็ถามขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “เจ้ารู้จักเขาหรือ”
“ผู้ใดกัน”
“จวินเสียอย่างไรเล่า ชื่อของเด็กที่เพิ่งเดินผ่านหน้าเจ้าไปเมื่อสักครู่นี้ เมื่อวานนี้เจ้ายุ่งอยู่ที่สาขาตลอดทั้งคืน คงยังไม่รู้ว่าเจ้าหนูนี่เพิ่งเข้าเรียนวันแรก ชื่อของเขาก็ดังกระฉ่อนไปทั่วสำนักศึกษาแล้ว” ศิษย์คนนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หมายความว่าอย่างไรกัน” อิ่นเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
“สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณของเราในปีนี้ รับศิษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น แถมท่านอาจารย์ยังเป็นผู้ตัดสินใจเลือกด้วยตัวเองด้วย และเด็กคนนั้นก็มีชื่อว่าจวินเสีย!”
อิ่นเหยียนเบิกตากว้างทันที เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง!
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ! เจ้าหนูนั่นเป็นศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณของเราอย่างนั้นหรือ”
“ใช่น่ะสิ…อีกหน่อยเขาก็คือศิษย์น้องของพวกเราแล้ว” โดยไม่ทันได้สังเกตเห็นแววตาที่มืดครึ้มอันตรายของอิ่นเหยียน ศิษย์นั้นยังคงตอบอย่างร่าเริงต่อไป
อิ่นเหยียนลอบกัดฟันกรอด หันหลังและเดินตรงไปที่ชั้นบนของตึกสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว
การคาดเดาของศิษย์พี่หนิงช่างแม่นยำและถูกต้องนัก การที่ฟ่านจิ่นยอมให้คำชี้แนะแก่เจ้าเด็กนี่อย่างเต็มใจ ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็นจริงๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ อิ่นเหยียนก็ยิ้มเย็น ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฟ่านจิ่นจะกระตือรือร้นในการรับเด็กคนนี้เข้ามาดูแลขนาดนั้น กลายเป็นว่าเขารู้อยู่แต่แรกแล้วว่าเจ้าหนูนี่ถูกท่านอาจารย์รับเข้าสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณโดยตรง เป็นเด็กหนุ่มที่มีศักยภาพพอจะเป็นปรมาจารย์ผู้เยียวยาจิตวิญญาณอนาคต…ฟ่านจิ่นเอ๋ย เจ้าช่างฉลาดเลือกในการดึงคนเสียจริง!
เพียงแต่…
การจะเป็นปรมาจารย์ผู้เยียวยาจิตวิญญาณได้ ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นหรอกนะ
แล้วข้าจะรอดูว่าวิสัยทัศน์ของฟ่านจิ่นเจ้าจะดีสักแค่ไหน!
กลิ่นอายที่เย็นยะเยือกและน่ากลัวเข้าปกคลุมดวงตาของอิ่นเหยียนจนมืดสนิท เขามองตามแผ่นหลังเล็กๆ ของจวินอู๋เสียที่เดินขึ้นบันไดไป ความมุ่งร้ายในดวงตาของเขาก็กระเพื่อมหนักจนไม่อาจปิดไว้ได้มิดอีก
ตอนที่ 402 ผู้เยียวยาจิตวิญญาณ (2)
จวินอู๋เสียไม่ได้รู้ตัวเลยว่านางกำลังตกเป็นเป้าหมายของอสรพิษพิษร้าย นางเพียงกวาดตามองทุกอย่างภายในตึกสาขาแห่งนี้และจดจำทุกภาพไว้ในสมองของนาง
เป้าหมายหลักที่นางมาที่สำนักศึกษาเฟิงหัวแห่งนี้ ไม่ใช่เพื่อการเรียนรู้อะไร ดังนั้นนางจึงไม่สนใจที่จะขโมยหรือแย่งชิงสิ่งใดจากผู้อื่น นอกเหนือไปจากทักษะด้านการเยียวยารักษาจิตวิญญาณที่พอจะมีประโยชน์สำหรับนาง บางทีนางอาจจะไปนั่งเฉยๆ อยู่ในสาขาผู้ใช้สัตว์วิญญาณเพื่อรอเฉียวฉู่และคนอื่นๆ แล้วหากนางไม่ได้สัมผัสกับความพิเศษของสาขานี้เสียก่อน
จวินอู๋เสียผู้ซึ่งหอบหิ้วทัศนคติเอ้อระเหยลอยชาย ปล่อยอารมณ์ไปตามสบายใจ ไม่ได้ตระหนักเลยสักนิดว่าหลังจากที่นางเพิ่งเข้าสำนักศึกษามาในวันแรก ชื่อเสียงของนางก็ฉาวโฉ่ กลายเป็นเป้าให้ผู้คนทั้งสำนักศึกษาเฟิงหัวชี้นิ้วด่าลับหลังไปแล้ว
การสอนของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ ส่วนใหญ่จะดำเนินในตึกสาขาแห่งนี้ ตึกแห่งนี้แบ่งออกเป็นทั้งหมดห้าชั้น และจากคำบอกเล่าของฟ่านจิ่นเมื่อวานนี้ สถานที่ที่นางจะต้องขึ้นไปพบกับกู้หลีเซิง ก็คือห้องทำงานของเขาที่ตั้งอยู่บนชั้นห้านั่นเอง
“คุ้นเคยกับที่นี่บ้างแล้วหรือยัง” กู้หลีเซิงรอนางมาได้สักพักแล้ว เมื่อเขาเห็นจวินอู๋เสียเดินเข้ามาในห้องทำงานของเขา เขาที่ซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานก็มองไปที่นางและถามด้วยรอยยิ้ม
จวินอู๋เสียพยักหน้าเล็กน้อย
คุ้นเคยหรือ นางยังไม่พบอะไรที่นี่ที่จะสามารถสร้างความรำคาญใจให้แก่นางได้เลย
หากเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่านางจะอยู่ที่ไหนมันก็คล้ายกันทั้งนั้น แต่หลังจากที่นางได้สัมผัสกับความรักและความอบอุ่นจากสองพ่อลูกสกุลจวิน มันก็ทำให้จวนหลินอ๋องสำหรับนางกลายเป็นสถานที่พิเศษและแตกต่างออกไป แน่นอนว่าสถานที่อื่นๆ ยังคงเป็นเช่นเดิม
“การที่ข้าให้เจ้ามาเข้าร่วมกับสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ มันทำให้เจ้ารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือเปล่า” กู้หลีเซิงถามด้วยรอยยิ้ม
จวินอู๋เสียครุ่นคิดครู่หนึ่งและตอบกลับไปว่า “ทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณมีประโยชน์ต่อข้า”
อุ๊ป! ฮ่าๆๆ กู้หลีเซิงปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ คำถามเมื่อสักครู่ของเขานี้ มีไว้เพื่อหยอกล้อเด็กชายตัวเล็กๆ ที่ชอบทำหน้าเย็นชาทั้งวันอย่างเขาเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาอย่างจริงจังขนาดนี้
รู้สึกเหมือนว่า หากสิ่งนี้มันไร้ประโยชน์สำหรับนาง บางทีนางอาจจะรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมจริงๆ?
นี่เป็นครั้งแรกที่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณของเขาถูกผู้อื่นรังเกียจ แต่กู้หลีเซิงกลับไม่ได้ไม่พอใจแม้แต่น้อย เพียงแค่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกนิดหน่อยเท่านั้น
“ในเมื่อมีประโยชน์ เช่นนั้นก็ตั้งใจเรียนให้ดีเล่า ไหนเจ้าลองบอกข้ามาสิว่าตัวเจ้าเข้าใจในคำว่า ‘ผู้เยียวยาจิตวิญญาณ’ มากน้อยแค่ไหน ลองพูดให้ข้าฟังหน่อย” กู้หลีเซิงยกมือขึ้นกอดอกและมองไปที่จวินอู๋เสียอย่างสนุกสนาน นี่เป็นครั้งแรกของกู้หลีเซิงในรอบหลายปีตั้งแต่ก่อตั้งสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณที่เขาทำเรื่องนอกกรอบและรับศิษย์ก่อนที่การลงทะเบียนเรียนจะเสร็จสิ้นลง แถมอีกฝ่ายยังเป็นศิษย์เพียงคนเดียวที่เขารับเข้ามาในปีนี้อีกด้วย แม้ว่าก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาเฟิงหัวจะเรียกเขาไปพบเพื่อพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวแล้ว แต่มันก็ไม่อาจทำให้เขาเปลี่ยนใจได้
ของดีย่อมมีราคาแพงและมีจำนวนไม่มาก เขาชื่อในวิสัยทัศน์ของตัวเอง
จวินอู๋เสียจ้องตอบกู้หลีเซิงที่กำลังรอให้นางพูดอย่างใจจดใจจ่อ ทว่าน้ำเสียงเย็นๆ กลับตอบไปอย่างสงบในคำเดียวว่า “ไม่รู้อะไรเลย”
“…” รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้หลีเซิงแข็งค้าง มุมปากของเขากระตุกยิก เขามั่นใจว่าตัวเองจะต้องหูฝาด ต้องฟังผิดไปแน่ๆ
“ไม่…ไม่รู้อะไรเลยหรือ” กู้หลีเซิงถามย้ำอีกครั้งพลางมองไปที่จวินอู๋เสียด้วยความประหลาดใจ คำตอบนี้ของนาง…ช่างสวยงามและไร้ความปรานีเหลือเกิน!
ท่ามกลางศิษย์มากมายที่มาสมัครเข้าสำนักศึกษาเฟิงหัว มีใครบ้างที่ไม่ศึกษาเรื่องผู้เยียวยาจิตวิญญาณมาก่อนสักเล็กน้อย ทว่าเจ้าหนูนี่กลับพูดว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผู้เยียวยาจิตวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว นี่เขาเพิ่งกระโดดออกมาจากก้อนหินหรืออย่างไร!
จวินอู๋เสียพยักหน้าอย่างจริงจัง
กู้หลีเซิงแทบลมจับ เขายกมือขึ้นก่ายหน้าผากและเริ่มสงสัยในสายตาของตัวเองเป็นครั้งแรก
นี่ข้าคงไม่ใช่มองผิดไปจริงๆ ใช่หรือไม่…
“เอาล่ะ” กู้หลีเซิงพยายามรักษาอารมณ์ของเขาให้คงที่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามรักษาภาพลักษณ์ของอาจารย์ที่เป็นมิตรและสง่างาม จากนั้นก็ยื่นตำราเล่มหนึ่งไปตรงหน้าจวินอู๋เสียอย่างช้าๆ
“นี่คือตำราที่บันทึกพื้นฐานทั้งหมดของทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณเอาไว้ มันจะมีประโยชน์กับเจ้า”
จวินอู๋เสียเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาและก้มศีรษะลง พลิกเปิดหน้าตำราอย่างรวดเร็ว
ตำราเล่มนี้ไม่ได้หนาเกินไปนัก จวินอู๋เสียพลิกดูแค่สองสามครั้ง นางก็สลักเนื้อหาทั้งหมดไว้ในหัวใจของนาง มือเล็กวางตำราลงบนโต๊ะ ส่งมันคืนให้กับกู้หลีเซิง
กู้หลีเซิงเห็นว่านางพลิกอ่านตำราเพียงสองครั้งแล้วก็ส่งมันคืนให้กับเขา จิตใจของเขาก็ว่างเปล่า ไม่สามารถเรียกสติกลับคืนมาได้ชั่วขณะหนึ่ง
เขามองไปที่ตำราบนโต๊ะ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่จวินอู๋เสีย
จวินอู๋เสียยังคงไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ