ตอนที่ 202

My Disciples Are All Villains

หลี่จิงยี่รู้ดีว่าชายชราที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ทรงพลังแค่ไหน ในโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้มีเรื่องแปลกประหลาดมากมายหลายอย่าง การที่จะมียอดฝีมือเก็บตัวฝึกฝนไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรเลย เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายมักจะถ่อมตัวให้กับผู้คนทั้งหลายอยู่เสมอ หลี่จิงยี่รู้เรื่องนี้ดีตั้งแต่ที่ยังเด็ก และเมื่อคิดได้แบบนั้นนางก็รีบโค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “ท่านผู้อาวุโส ข้ามีนามว่าหลี่จิงยี่”

สีหน้าของลู่โจวเปลี่ยนไป ในตอนนี้ตัวเขายังไม่รู้ตัวซ้ำด้วยซ้ำว่าได้ขับไล่สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ให้กลับไปได้แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะมีพลังวรยุทธลึกล้ำมากก็ตามที

สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ดูเหมือนจะลืมเหตุผลในการมาที่นี่ไปซะสนิท ในตอนนี้พวกเขาได้แต่ลอยอยู่กลางอากาศ ไม่มีใครสักคนที่กล้าลงมาบนเมืองอันยาง ‘ชายชราคนนี้เป็นใครกัน? เขาเป็นเจ้าสำนักอย่างงั้นหรอ? ‘

พวกเขาทั้งสี่ได้แต่สบสายตากัน พวกเขาทั้งหมดยังคงหวั่นไว้กับคำว่า ‘ไสหัวไปซะ! ‘…เจ้าสำนักของพวกเขามักจะพูดอยู่เสมอว่าอายุขัยของปรมาจารย์มหาวายร้ายใกล้ที่จะหมดลงไปแล้ว ความแข็งแกร่งและพลังวรยุทธที่เคยมีจะเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลากว่า 10 ปีนี้ ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริง ชายชราที่ดูมีอายุคนนั้นจะปลดปล่อยสุดยอดคลื่นเสียงที่ทรงพลังแบบนั้นได้ยังไงกัน?

หลี่จิงยี่เหลือบมองไปที่ท้องฟ้า ในตอนนี้นางได้แต่เห็นสุดยอดสี่ผู้พิทักษ์จากสำนักอเวจีลอยอยู่บนท้องฟ้าเฉยๆ พวกเขากลัวกว่าที่จะลงมาที่นี่ เหล่ายอดฝีมือทั้งหมดถูกชายชราเพียงคนเดียวข่มขู่จนไม่กล้าที่จะทำอะไร นางได้หันไปมองทางใต้ของเมืองอันยางอีกครั้ง ในตอนนี้กองทัพกบฏได้แต่สั่นไปทั้งตัว กองทัพกบฏบางคนได้แต่นั่งอยู่บนพื้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะต่อสู้กับใครได้อีกต่อไป

เหล่าทหารที่อยู่ใกล้ๆ กับเหวยซู่หยานเองก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่สู้ดีเท่าไหร่ ทหารทั้งหมดได้แต่ยืนอย่างหละหลวม พวกเขาไม่ต่างอะไรจากกองทรายที่กำลังจะพังทลาย กองกำลังทหารเองคงจะไม่สามารถต่อสู้กับอะไรได้อีกต่อไป

ลู่โจวได้เงยหน้าขึ้นไปช้าๆ ตัวเขาได้เหลือบมองไปยังรถม้าที่อยู่ด้านหลังของสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ เพียงแค่เหลือบมองลู่โจวก็รู้ได้ทันทีว่าใครอยู่ในนั้นกันแน่ ตัวเขาได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมาอย่างไม่แยแส “เจ้าคนทรยศ! “

‘คนทรยศอย่างงั้นหรอ? ‘ หลี่จิงยี่ที่ได้ยินแบบนั้นรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย

แม้ว่าลู่โจวจะมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ แต่ตัวเขาก็มีความสามารถมากพอที่จะขยายเสียงที่ตัวเองเปล่งด้วยพลังลมปราณได้ ลู่โจวได้ใช้เสียงของตัวเองพูดด้วยอารมณ์ที่ขุ่นเคืองต่อไป “อืม? เจ้าจะลงมาได้รึยัง? “

ไม่มีใครหน้าไหนในโลกที่จะกล้าพูดกับเจ้าสำนักอเวจีด้วยคำพูดแบบนี้ คนเพียงคนเดียวที่จะกล้าตำหนิยู่เฉิงไห่แบบนี้ได้มีเพียงปรมาจารย์มหาวายร้ายเพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะแบบนั้นเองคนคนนี้จะต้องเป็นปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้า เขาคือจีเทียนเด๋าไม่ผิดแน่!

ทุกๆ อย่างเริ่มถูกคลี่คลายออกมา ชายชราที่ได้เดินออกมาจากบ้านสกุลซีอย่างช้าๆ คือมหาวายร้ายที่ชั่วร้ายที่สุดในโลก

ใบหน้าของสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ได้ถูกปกคลุมไปด้วยความตื่นตกใจแทนที่จะเป็นความหวาดกลัวแทน

“ข้าน้อยฮั๊วจงหยางแห่งโถงมังกรฟ้าจากสำนักอเวจีขอคารวะท่านผู้อาวุโส”

“ข้าน้อยไปยู่ชิงแห่งโถงพยัคฆ์ขาวจากสำนักอเวจีขอคารวะท่านผู้อาวุโส”

“ข้าน้อยหยางเยียนแห่งโถงวิหคสายฟ้าจากสำนักอเวจีขอคารวะท่านผู้อาวุโส”

“ข้าน้อยดีชิงแห่งโถงเต่าทมิฬจากสำนักอเวจีขอคารวะท่านผู้อาวุโส”

หลี่จิงยี่ได้เหลือบมองไปที่ลู่โจว สายตาของนางเต็มไปด้วยความซับซ้อน ‘จะมีใครที่จะทำให้ศัตรูยอมแพ้โดยไม่ต้องสู้ได้นอกเหนือไปจากมหาวายร้ายคนนี้ได้? ‘

เป็นที่ทราบกันดีว่าผู้ฝึกยุทธทั้งสี่ที่กำลังคุกเข่าอยู่ก็คือสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ของสำนักอเวจี ผู้พิทักษ์แห่งโถงมังกรฟ้า, โถงพยัคฆ์ขาว, โถงวิหคสายฟ้า และ

โถงเต่าทมิฬต่างก็รู้สึกเกรงกลัวต่อชายชราเพียงคนเดียว

หมิงซี่หยินได้ยืนกอดอกก่อนที่จะพูดออกมาเช่นกัน “ศิษย์พี่ใหญ่ เลิกซ่อนตัวได้แล้ว ลงมาซะเถอะ”

หลี่จิงยี่เริ่มก้าวถอยกลับไป ในตอนนี้จิตใจของนางมีแต่ความว่างเปล่า สายตาของนางได้เหลือบไปมองหยวนเอ๋อ, หมิงซี่หยิน, ต้วนมู่เฉิง และรถม้าลอยฟ้าของสำนักอเวจี ในตอนนี้ได้เวลาที่จะต้องถอยอีกครั้ง!

“ไม่จำเป็นจะต้องกลัวไป” เหวยซู่หยานได้ปรากฏตัวมาจากด้านหลังของนาง

หลี่จิงยี่จำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทะเลสาบหุบเขาตะวันฟ้าได้ดี ในตอนนั้นรถม้าลอยฟ้าได้ลอยผ่านพวกนางไป ในตอนนั้นแม่ทัพคนเดิมก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แม้ว่าเหวยซู่หยานจะบอกว่าไม่จำเป็นจะต้องกลัวไป…แต่แท้จริงแล้วความกลัวทั้งหมดได้ฝังแน่นอยู่ที่กระดูกของเหวยซู่หยานคนนี้ไปจนหมดทั้งตัวแล้ว ความกลัวของเขาที่มีต่อศาลาปีศาจลอยฟ้ามันมีมากจนไม่อาจที่จะแสดงออกมาจนหมดได้

เหวยซู่หยานได้จ้องไปที่ลู่โจว เมื่อเดินมาใกล้มากขึ้นเขาก็จำได้ดีว่าชายชราคนนี้เป็นคนที่ตัวเขาได้พบที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า

เจ้าของโถงมังกรฟ้า ฮั๊วจงหยางเป็นคนที่โต้ตอบกลับมา “ท่านผู้อาวุโส…ข้ารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งจริงๆ ท่านเจ้าสำนักไม่ได้อยู่บนรถม้าลอยฟ้า”

“ศิษย์พี่ไม่อยู่อย่างงั้นหรอ? “

“ท่านเจ้าสำนักรู้ดีว่าท่านอยู่ที่นี่ เพราะแบบนั้นแล้วท่านเจ้าสำนักจึงส่งพวกเราทั้งสี่มาที่นี่แทน”

เมื่อหมิงซี่หยินได้ยินแบบนั้นตัวเขาก็ได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสำนักของเจ้าสร้างความหวาดกลัวให้กับคนทั่วทั้งยุทธภพ แต่บัดนี้เขากลับไม่กล้าที่จะไม่มีที่นี่ด้วยตัวเองด้วยซ้ำไป ถ้าหากจะไม่เรียกว่าขี้ขลาด จะให้ข้าเรียกเจ้าสำนักของเจ้าว่าอะไรกันดีล่ะ? “

“เอ่อ…”

คำพูดของหมิงซี่หยินไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้ฮั๊วจงหยางพูดตอบโต้ สิ่งที่หมิงซี่หยินพูดล้วนแต่เป็นความจริง

ยู่เฉิงไห่เองก็เหมือนกับยู่ฉางตง พวกเขาทั้งคู่ต่างก็รู้ข่าวนี้มาจากศิษย์คนที่เจ็ดว่าอาจารย์ของพวกเขากำลังอยู่ที่นี่ เพราะแบบนั้นศิษย์ทั้งสองจึงไม่กล้าที่จะมาที่นี่เพื่อพบหน้าผู้เป็นอาจารย์เป็นการส่วนตัว มันไม่สำคัญเลยว่าพวกเขาจะเป็นเจ้าสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหรือเป็นผู้ใช้ดาบที่เก่งกาจที่สุดก็ตาม ต่อหน้าปรมาจารย์อย่างจีเทียนเด๋าแล้ว พลังของพวกเขาทั้งคู่ช่างไร้ความหมาย และเพราะแบบนั้นยู่เฉิงไห่จึงเลือกที่จะส่งลูกน้องมาแทน

พลังของสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ถ้าหากรวมพลังกันสู้แล้วก็คงจะเทียบเคียงได้กับพลังของผู้เป็นเจ้าสำนักอย่างยู่เฉิงไห่ได้ เพราะแบบนั้นลำพังพลังของพวกเขาทั้งสี่คนคงจะเพียงพอต่อการทำภารกิจแล้ว สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่จึงมาที่แห่งนี้ด้วยความมั่นใจ แต่ถึงแบบนั้นเพียงแค่พลังคลื่นเสียงของลู่โจวเพียงอย่างเดียวเท่านั้นสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ก็รู้ซึ้งถึงความต่างของพลังได้ แม้แต่ผู้ที่เป็นเจ้าสำนักอย่างยู่เฉิงไห่ยังไม่สามารถใช้คลื่นเสียงแบบนี้ได้ ในตอนนี้พวกเขาทั้งสี่จึงกลัวเกินกว่าที่จะเผชิญหน้ากับลู่โจว

พวกเขาทั้งสี่ได้แต่ลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างระมัดระวัง ในตอนนี้ช่างเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายจนถึงขีดสุด ถึงแม้ว่าพวกเขาจะหันหลังให้และวิ่งหนีกลับไป การทำอะไรแบบนั้นของเหล่ายอดฝีมือก็ไม่ต่างอะไรจากการทิ้งเกียรติ ทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมดที่เคยมีมาไป

ฮั๊วจงหยางได้พูดขึ้นมาอีกครั้ง “ได้โปรดเชื่อข้าเถอะท่านผู้อาวุโส…ท่านเจ้าสำนักได้ยินมาว่าวันนี้เป็นวันเกิดของศิษย์น้องเล็ก เพราะแบบนั้นท่านเจ้าสำนักจึงได้ส่งพวกเราเพื่อที่จะส่งมอบของขวัญให้ เรื่องทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้! “

หมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงต่างก็จับจ้องไปที่หยวนเอ๋ออย่างพร้อมเพรียงกัน

หยวนเอ๋อได้แต่แสดงสีหน้าอันไร้เดียงสาออกมา…

หลังจากที่ฮั๊วจงหยางพูดจบ ในตอนนั้นเขาก็ได้รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีก่อนที่จะลอยลงมา เขาได้โบกแขนของตัวเองขึ้น ในตอนนั้นก็ได้มีกล่องใบหนึ่งค่อยๆ ลอยลงมาจากท้องฟ้า

กล่องใบนั้นถูกห่อหุ้มด้วยพลังลมปราณเป็นอย่างดีก่อนที่จะลอยไปหาหยวนเอ๋อ

หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้ยิ้มออกมาจางๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าจะรับไว้ให้เอง” ตัวเขาได้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วอันสูงส่งก่อนที่จะคว้ากล่องใบนั้นเอาไว้ เมื่อรับกล่องใบนั้นได้ตัวเขาก็ได้ลงสู่พื้นดินอีกครั้ง “ศิษย์น้องเล็ก ถ้าหากมีอะไรไม่ดีอยู่ในกล่องใบนี้จริง ข้าจะเป็นคนปกป้องเจ้าเอง”

หยวนเอ๋อพยักหน้าให้ “อืม ขอบคุณมากศิษย์พี่! “

กล่องใบนี้มีขนาดใกล้เคียงกับกล่องที่หยวนเอ๋อได้มาจากยู่ฉางตง

หมิงซี่หยินได้เปิดกล่องใบนั้นขึ้นมาช้าๆ ในเวลาเดียวกันตัวเขาก็ได้ใช้พลังลมปราณสร้างม่านพลังขึ้น กล่องใบนี้ไม่มีแม้แต่กับดักหรืออันตรายใดๆ มันมีเพียงรองเท้าส่องแสงสีเขียวอ่อนๆ เพียงคู่เดียวเท่านั้น

“ชื่อของสิ่งนี้ก็คือรองเท้าเหยียบเมฆา การเคลื่อนไหวของศิษย์น้องเล็กเดิมทีนับว่าเป็นการเคลื่อนไหวชั้นยอดอยู่แล้ว แต่ด้วยรองเท้าคู่นี้นางก็จะกลายเป็นเหมือนกับเสือที่ติดปีก”

หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นรู้สึกสะดุ้งเล็กน้อย นางได้จ้องมองไปที่รองเท้าที่อยู่ภายในกล่องใบนั้น “ศิษย์พี่…ศิษย์พี่ ข้า…”

“หืม? ” หมิงซี่หยินได้มองหยวนเอ๋ออย่างไม่ละสายตา

หยวนเอ๋อไม่ได้พูดอะไรต่อไป นางได้หันมาจ้องมองผู้เป็นอาจารย์แทน “ท่านอาจารย์ ข้าไม่ได้ต้องการรองเท้าคู่นี้เลย”

ลู่โจวได้เหลือบมองไปที่รองเท้าเหยียบเมฆา

รองเท้าเหยียบเมฆาและชุดขนเมฆาเป็นของที่คล้ายคลึงกัน พวกมันไม่ใช่ของธรรมดาๆ ว่ากันว่ารองเท้าเหยียบเมฆาเป็นของที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ได้สวมใส่มันรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนกับชาวสวรรค์ ผู้สวมใส่จะรู้สึกว่าตัวเองเบาดุจดั่งขนนก การที่จะทะยานขึ้นสู้ฟากฟ้าได้จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป รองเท้าคู่นี้ได้ทำมาจากแร่อันเบาบางรวมเข้ากับขนวิหคคู่ มันเป็นวัสดุที่ได้รับการขัดเกลามาเป็นอย่างดี มีเพียงช่างมือระดับปรมาจารย์เท่านั้นที่จะสามารถสร้างของแบบนี้ขึ้นมาได้

ลู่โจวได้พูดออกมา “ไปบอกยู่เฉิงไห่ให้มาข้าถ้าหากเจ้านั่นยังหลงเหลือรู้สึกผิดอยู่”

สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ต่างก็ถอนหายใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาทั้งหมดได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “ท่านผู้อาวุโส พวกเราจะถ่ายทอดสิ่งที่ท่านพูดอย่างครบถ้วนแน่นอน”

ทั้งสี่ได้ถอยกลับไปยังรถม้าลอยฟ้า จนถึงตอนนี้สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ต่างก็ยังรักษาท่าทีเอาไว้ พวกเขาไม่ได้เร่งรีบที่จะกลับไปยังรถม้าลอยฟ้า แต่เมื่อรถม้าลอยฟ้าหันหลังกลับไป ในตอนนั้นเองมันก็ได้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงราวกับเหยื่อที่กำลังวิ่งหนีจากการไล่ล่าของผู้ล่า

เหวยซู่หยานถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเช่นกัน ตัวเขาได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะพูดอย่างเคร่งขรึม “ขอบคุณมากท่านผู้อาวุโส” ในตอนนี้เหวยซู่หยานไม่ได้ห่วงภาพลักษณ์การเป็นผู้นำของตัวเองอีกต่อไป

หลี่จิงยี่ได้โค้งคำนับเช่นกัน “ขอบคุณท่านผู้อาวุโส…”

ลู่โจวได้มองไปที่หลี่จิงยี่ก่อนที่จะถามออกมา “แล้วเจียงอาเฉียนอยู่ไหนกัน? “

หลี่จิงยี่ที่ได้ยินคำถามรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นเองนางก็จำได้ว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เคยเอ่ยถึงชื่อนี้มาก่อน เด็กผู้หญิงคนนั้นได้เคยบอกเอาไว้ว่าไม่ให้มีใครแตะต้องตัวของนางเองรวมไปถึงเหวยซู่หยานด้วย ดูเหมือนชายชราตรงหน้านี้จะรู้จักตัวนางเป็นอย่างดี และเพราะแบบนั้นจึงไม่มีความหมายที่จะต้องโกหกอะไรอีกต่อไป นางได้โค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมา “เจดีย์ลอยฟ้าค่ะ”

หมิงซี่หยินขมวดคิ้วเล็กน้อย ‘เจียงอาเฉียนคนนี้…เจ้านั่นได้ออกจากพระราชวังมาแล้ว ไหนเลยถึงยังให้ท่านอาจารย์ไปที่นั่นเพื่อที่จะพบล่ะ? ‘ หมิงซี่หยินที่คิดได้ได้ถามออกมา “แล้วเจ้านั่นไปทำอะไรกัน? “

“ตกปลา เขาชื่นชอบการตกปลาเป็นชีวิตจิตใจ…และตอนนี้เขาไปที่เจดีย์ลอยฟ้าก็เพื่อที่จะไปตกปลา นอกเหนือเรื่องนี้ข้าเองก็ไม่อาจที่จะรู้ได้” หลี่จิงยี่ได้ตอบกลับมาอย่างตรงไปตรงมา

ลู่โจวได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “งั้นพวกเราก็ไปที่เจดีย์ลอยฟ้าก็แล้วกัน”

ลู่โจวที่พูดเสร็จก็ได้เดินจากไปทิ้งเอาไว้แต่ความเงียบงัน

หมิงซี่หยินได้จ้องไปที่ทหารของเหวยซู่หยานก่อนที่จะพูดขึ้น “อย่าบอกนะว่าเจ้ารับมือกับพวกขยะพวกนี้ไม่ได้กัน” ขยะพวกนี้ของหมิงซี่หยินหมายความว่าพวกกองทัพกลุ่มกบฏนั่นเอง

เมื่อเดินผ่านไปถึงหลี่จิงยี่หมิงซี่หยินก็ได้ชะลอตัวลงก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าน่ะสนใจที่จะเข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าไหม? “

หลี่จิงยี่ไม่ได้ตอบกลับอะไรมา นางเพียงแต่โค้งคำนับให้เพียงแค่นั้น

ดูเหมือนหมิงซี่หยินจะต้องละทิ้งความพยายามเอาไว้ก่อนที่จะเดินตามผู้เป็นอาจารย์ไป

หยวนเอ๋อไม่ได้จากไปในทันที นางได้กล่าวคำอำลากับคนสกุลซีก่อนที่จะจากไป เมื่อนางได้เดินผ่านไปที่หลี่จิงยี่ หยวนเอ๋อก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงบ “พี่สาว…ฟังข้าให้ดี ท่านควรจะเลิกติดต่อกับเจียงอาเฉียนได้แล้ว เจ้านั่นน่ะไร้ยางอายเกินไป”

“เอ่อ…ขอบคุณสำหรับคำแนะนำน้องสาว ข้าเองเดิมทีก็ไม่ได้สนิทอะไรกับเขา” หลี่จิงยี่ได้พยักหน้าพร้อมกับตอบกลับมา

“เยี่ยมมาก งั้นลาก่อน…ท่านน่ะเป็นคนแปลกหน้าคนแรกที่ข้าไม่ได้รู้สึกเกลียดชังอะไร…” หยวนเอ๋อได้พูดออกมาพร้อมกับหัวเราะคิกคักก่อนที่จะจากไป

ต้วนมู่เฉิงเองก็ได้พูดออกมาเช่นกัน “ลาก่อน”

หยวนเอ๋อเป็นเพียงคนเดียวที่หลี่จิงยี่จะเชื่อ เมื่อหยวนเอ๋อบอกให้นางไม่ต้องไปสนิทกับเจียงอาเฉียน หลี่จิงยี่ก็พร้อมที่จะทำตาม แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เพราะเจียงอาเฉียนอย่างงั้นหรอที่ขอให้พวกเขาทั้งหมดปกป้องหลี่จิงยี่เอาไว้แบบนี้?

เมื่อลู่โจวและคนอื่นๆ จากไป ในตอนนั้นทหารของเหวยซู่หยานก็ได้ล้มลงไปกับพื้น หลังของพวกทหารทั้งหมดเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ทหารทั้งหมดล้วนแต่ถูกตรึงเอาไว้ให้อยู่กับที่ด้วยพลังจากคลื่นเสียงอันทรงพลังก่อนหน้านี้ และเมื่อทหารทั้งหมดได้มีโอกาสเข้าใกล้มหาวายร้ายคนนั้น…การที่พวกเขาจะประคองสติไม่ให้ตายได้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่เกินความสามารถมากแล้ว

เหวยซู่หยานที่เห็นแบบนั้นก็เริ่มสั่งการด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความโกรธ “ลุกขึ้นมาได้แล้ว! “

เสียงตะโกนนี้เองได้ทำให้ทุกคนตกใจ ไม่มีใครรู้เลยว่าทำไมแม่ทัพคนนี้จึงรู้สึกโกรธขึ้นมาได้

หลี่จิงยี่ได้จ้องมองไปที่เหวยซู่หยานอย่างเย็นชา “มีเพียงคนที่ไร้พลังเท่านั้นแหละที่จะระบายความโกรธกับคนรอบข้างแบบนี้”

เหวยซู่หยานได้แต่เงียบลง หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดพึมพำขึ้นมา “เจ้ารู้จักเจียงอาเฉียนด้วยอย่างงั้นหรอ? “

“ข้ารู้จัก”

สีหน้าของเหวยซู่หยานในตอนนี้ดูเปลี่ยนแปลงไปจนผิดธรรมชาติ “เขาเป็นหนึ่งในสามผู้คลั่งไคล้ดาบ เจ้านั่นให้ความสำคัญกับดาบเทียบเท่ากับชีวิตของตัวเอง ความรักที่มีต่อดาบนั้นฝังแน่นอยู่ในกระดูกของเขา ข้าไม่เคยที่จะได้ยินเรื่องอะไรแย่ๆ เกี่ยวกับชายคนนี้มาก่อนเลย”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้ากัน? “

“อย่าลืมอะไรไปซะล่ะ…แม้ว่าข้าจะเป็นตัวปลอม แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ยังเป็นแม่ทัพหลวงที่คุมกองทัพทั้งสามเอาไว้” เหวยซู่หยานได้พูดในขณะที่เดินไปที่ด้านหน้า ตัวเขาในตอนนี้กำลังเดินเข้าหาเหล่าผู้ฝึกยุทธที่สวมหน้ากากรวมไปถึงกองทัพของพวกกบฏนั่นเอง ในตอนนี้ตัวเขาดูมั่นใจมากขึ้น เหวยซู่หยานได้โบกแขนก่อนที่จะพูดออกมา “ผู้ที่ก่อความไม่สงบที่นี่…ทั้งหมดจะต้องถูกประหาร! “

ในขณะเดียวกันรถม้าลอยฟ้าจากสำนักอเวจีได้ตรงดิ่งไปที่หุบเขาผิงตูด้วยความเร็วสูงสุด

เมื่อรถม้าลอยฟ้ากลับมาถึงเหนือหุบเขา ในตอนนั้นเองก็มีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้ารถม้า ชายคนนั้นได้เดินบนอากาศก่อนที่จะเดินตรงไปยังหน้ารถม้า มือของเขาได้วางลงบนหลังคาเอาไว้อย่างภาคภูมิใจ

สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ต่างก็ก้าวออกมาข้างหน้าก่อนที่จะโค้งคำนับให้ “ท่านเจ้าสำนัก! “

“เป็นยังไงบ้าง? ” ยู่เฉิงไห่อยากที่จะฟังคำตอบของพวกเขาทั้งสี่คน สำหรับตัวเขา ยู่เฉิงไห่ไม่เคยส่งสาวกยอดฝีมือทั้งสี่ให้เคยปฏิบัติภารกิจเดียวกันมาก่อน…

เจ้าของโถงมังกรฟ้า ฮั๊วจงหยางเป็นคนโค้งคำนับก่อนที่จะตอบกลับไป “ให้ข้าได้ตอบคำถามนั้นด้วยเถอะท่านเจ้าสำนัก ของขวัญที่ท่านได้ส่งถึงมือผู้รับเรียบร้อย…นอกจากนี้ข้ายังได้พบกับท่านผู้อาวุโสอีกด้วย”

“โอ้? “

“พลังของท่านผู้อาวุโสแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม้พวกเราทั้งสี่จะร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่มือของเขาเลย” ฮั๊วจงหยางได้ตอบกลับไปตามความเป็นจริง

เมื่อยู่เฉิงไห่ได้ยินแบบนั้น เขาก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ “บอกข้าทุกอย่างมาซะ”

ผู้พิทักษ์ทั้งสี่ไม่กล้าที่จะพูด นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทั้งหมดเห็นยู่เฉิงไห่ดูเคร่งเครียด

ฮั๊วจงหยางได้คารวะผู้เป็นเจ้าสำนักอีกครั้ง ตัวเขาได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่ม เหตุการณ์ทุกอย่างในเมืองอันยางทั้งรถม้าลอยฟ้าและเหตุการณ์การเผชิญหน้าระหว่างกองทัพกบฏกับกองทัพหลวง แม้ว่าตัวเขาจะเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นแม้แต่เรื่องสุดยอดพลังคลื่นเสียงที่ได้เจอมาก็ได้ถูกเล่าออกไป เพียงแค่การใช้พลังคลื่นเสียงสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ก็ได้แต่ล่าถอยกลับมา คนทั้งเมืองรวมไปถึงพวกเขาต่างก็ไม่อาจที่จะต้านพลังครั้งนั้นได้

เมื่อได้ยินแบบนั้นยู่เฉิงไห่ก็ได้พูดออกมา “สุดยอดเคล็ดวิชาแห่งคลื่นเสียงอย่างงั้นหรอ…”

ในโลกใบนี้มีผู้ที่มีทักษะในการใช้เสียงอยู่ แต่ถึงแบบนั้นการที่จะใช้ความสามารถของเสียงในการโจมตีได้ในโลกยุทธภพนี้มีน้อยมาก

ยู่เฉิงไห่เป็นศิษย์คนแรกของศาลาปีศาจลอยฟ้า ตัวเขารู้จักผู้เป็นอาจารย์ดีกว่าใครๆ ตัวเขาจำไม่เคยได้เลยว่าอาจารย์ของเขาจะมีพลังสุดยอดคลื่นเสียงแบบนี้อยู่ด้วย ยู่เฉิงไห่ได้เดินไปเดินมาในขณะที่คิดทบทวนถึงเรื่องที่สีวู่หยา ศิษย์น้องของเขาได้ให้ข้อมูลมาด้วย ‘เป็นไปได้ไหมว่าท่านอาจารย์กำลังฝึกฝนเคล็ดวิชาจากสำนักต่างๆ อยู่กัน? ‘

ถ้าหากเป็นคนอื่น ยู่เฉิงไห่ไม่เชื่อเลยว่าพวกเขาเหล่านั้นจะฝึกฝนเคล็ดวิชาจากสำนักอื่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่นี่เป็นจีเทียนเด๋า เขาคนนี้แตกต่างออกไป…

‘บางทีอาจจะเป็นเพื่อนของท่านอาจารย์ก็เป็นได้? ‘ ยู่เฉิงไห่ที่คิดแบบนั้นได้ถามออกไป

“พวกเราอยู่ห่างออกไป พวกเราเองก็เห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่ถึงแบบนั้นพวกเราก็มั่นใจว่าเขาคือผู้อาวุโสจี”

“แล้วยังไงต่อ”

“พวกเราได้เห็นศิษย์คนที่เก้าสวมใส่ชุดขนเมฆาอยู่ด้วย…”

‘ชุดขนเมฆา…’ ไม่ใช่ว่ายู่เฉิงไห่จะไม่เชื่อสิ่งที่ลูกน้องทั้งสี่ได้พูดขึ้น ตัวเขาก็แค่ผิดคาดไปนิดหน่อย ยู่เฉิงไห่พยักหน้าก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ “ศิษย์น้องรอง…ข้าประเมินเจ้าต่ำเกินไปจริงๆ “

“ท่านเจ้าสำนัก…พวกเราไม่ได้เห็นศิษย์คนที่สองอยู่ที่เมืองอันยางเลย”

“ศิษย์น้องรองน่ะชอบไปไหนมาไหนอย่างโดดเดี่ยวมาโดยตลอด…ด้วยความแข็งแกร่งที่พวกเจ้ามี อย่าได้ไปยั่วยุเขาซะล่ะ” ยู่เฉิงไห่ได้พูดออกมา

“พวกเราจะจดจำคำของท่านเจ้าสำนักเอาไว้เป็นอย่างดี”

เมื่อคิดถึงยู่ฉางตง ยู่เฉิงไห่ก็ได้ส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ

ฮั๊วจงหยางตระหนักได้ว่าผู้เป็นเจ้าสำนักไม่พอใจเท่าไหร่นัก ตัวเขาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อในการสนทนา “ศิษย์คนที่เก้าดูเหมือนจะชอบรองเท้าเหยียบเมฆาของท่านมาก”

“จริงๆ อย่างงั้นหรอ? “

“พวกข้าไม่กล้าที่จะโกหกท่าน…” ฮั๊วจงหยางมองเห็นแววตาแห่งความยินดีของหยวนเอ๋อในตอนที่ได้รับของขวัญ

ยู่เฉิงไห่ได้ยิ้มกว้างก่อนที่จะพูดขึ้น “ชุดขนเมฆาเป็นเพียงของป้องกันตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากรับแรงกระแทก…เป็นเรื่องธรรมดาที่ศิษย์น้องเล็กจะชอบรองเท้าเหยียบเมฆาของข้ามากกว่า”

“ถูกต้องแล้วท่านเจ้าสำนัก ท่านช่างมองการณ์ไกลจริงๆ ” ผู้พิทักษ์ทั้งสี่ได้โค้งคำนับให้อย่างพร้อมเพรียงกัน

ยู่เฉิงไห่ได้ถามต่อไป “ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน? “

“พวกเราไม่กล้าที่จะติดตามพวกเขาต่อไป…แต่ในตอนที่ข้ามาถึง ข้าได้รับข่าวมาจากโถงมังกรสวรรค์ ข่าวนี้มาจากศิษย์คนที่เจ็ด เขาได้บอกเอาไว้ว่าที่หมายก็คือเจดีย์ลอยฟ้า” ฮั๊วจงหยางได้พูดออกมา

ไปยู่ชิงได้พูดเสริมขึ้น “มีข่าวลือว่ากันว่าเจดีย์ลอยฟ้ามีทั้งหมด 9 ชั้นด้วยกัน การที่จะพิชิตชั้นที่สูงขึ้นได้จะมีความยากมากกว่าชั้นแรกๆ มาก ผู้ที่สามารถปีนป่ายไปถึงชั้นบนสุดได้จะได้รับสมบัติลับมา ข้าเองก็ได้แต่สงสัยว่ามันเป็นความจริงหรือไม่? “