ตอนที่ 201 ยิ้มเก่งถึงเพียงนี้
ตอนที่ 201 ยิ้มเก่งถึงเพียงนี้
เมื่อหันไปเห็นจานใส่เนย หลินเว่ยเว่ยก็ถามด้วยความประหลาดใจ “คุณชายได้เนยมาจากที่ใดหรือ ? ”
หนิงตงเซิ่งตอบ “ข้าซื้อมาจากชาวบ้านที่เลี้ยงสัตว์ตามทุ่งหญ้า คราวก่อนตอนที่ข้าไปคัดเลือกวัวนมบริเวณทุ่งหญ้าก็เจอเจ้านี่เข้า คิดว่ามันเหมือนเนยที่หลินกู่เหนียงเคยเอ่ยถึง ข้าจึงนำกลับมาด้วยเล็กน้อย เจ้านี่…ใช้งานได้จริงหรือ ? ”
“แน่นอน ! หากนำไปทำขนมก็จะดีมากเลย ! ” หลินเว่ยเว่ยนำเนยและนมวัวต้มรวมกัน จากนั้นก็เทมันใส่ในแป้งสาลีสำหรับทำขนม นางอดรู้สึกไม่ได้ว่าสุดท้ายก็เป็นคนทำการค้าที่ร่ำรวยเพราะไม่ว่าสิ่งใดก็สามารถหามาได้ ไม่เหมือนนางที่อยากทำขนมเยอะแยะมากมายแต่มีข้อจำกัดด้านวัตถุดิบ เหมือนกับหญิงมากความสามารถแต่ไม่อาจหุงข้าวโดยไร้เมล็ดข้าวได้ !
เมื่อแป้งถูกผสมเข้ากันดีแล้วก็เติมไข่ขาวลงไป หลังนวดจนแป้งเนียนก็สามารถบีบลงกระดาษน้ำมันแล้วนำไปอบ ด้านครีมสดกับแยมบลูเบอร์รี่ถูกผสมเข้ากัน เมื่อรอให้ตัวแป้งพัฟอบเสร็จแล้ว นางก็บีบครีมผสมแยมบลูเบอร์รี่ลงไป จากนั้นก็ทาแยมบลูเบอร์รี่ที่ด้านบนเพื่อตกแต่งอีกเล็กน้อย…บลูเบอร์รี่ครีมพัฟที่อร่อยและสวยงามก็เสร็จสมบูรณ์
“ไอหยา กู่เหนียงมีฝีมือยอดเยี่ยม เจ้าดูขนมนี่สิ เหมือนดอกไม้ไม่มีผิด ให้ความรู้สึกว่าทำใจกัดไม่ลงทีเดียว ! ” แม่นมคาดไม่ถึงว่าเด็กสาวที่คุณชายชื่นชอบจะมีทักษะเช่นนี้จึงชมไม่ขาดปากทันที
หลินเว่ยเว่ยใช้เวลาว่างขณะอบครีมพัฟมาช่วยทำขนมปริมาณจำกัดอีกหน่อย แม่ครัวที่คิดว่าตนมีฝีมือดีใช้ได้หรือมั่นใจในตัวเองเหล่านั้น พอได้เห็นขนมที่นางทำแล้วก็รู้สึกละอายใจขึ้นมาทันที
“ขนมต้องใช้ใจทำถึงจะสามารถทำให้คนกินสัมผัสรสชาติแห่งความสุขได้” หลินเว่ยเว่ยกล่าวถ้อยคำที่ซึ้งกินใจขึ้นมาหนึ่งประโยค ทำให้พวกแม่ครัวมองนางสูงส่งขึ้นทันที แม้แต่เสื้อผ้าบุรุษที่เก่าซีดบนตัวนางก็กลายเป็นเหมือนเครื่องพิสูจน์แห่งการคืนสู่หลักพื้นฐานของชีวิต
ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ยกบลูเบอร์รี่ครีมพัฟที่เพิ่งอบเสร็จออกจากห้องครัวแล้วกลับมายังห้องรับแขกอีกครั้ง หลินจื่อเหยียนซึ่งดื่มชาจนเต็มท้องแล้วกำลังรอช่วงเวลานี้อยู่ “พี่รอง ท่านทำเจ้านี่หรือ ? สวยมาก รสชาติจะต้องอร่อยแน่นอน ศิษย์พี่เจียงมากินด้วยกันเถิด ! ”
หลินเว่ยเว่ยหยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วเริ่มเคี้ยวอย่างออกรส “อือ ! อร่อย ! คุณชายหนิง แบ่งขายเนยและแป้งสาลีสำหรับทำขนมให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ? ”
“หลินกู่เหนียง ท่านกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ต่างกับตบหน้าข้าหรือ ? ขายไม่ขายอันใดกัน ท่านอยากได้เท่าไรก็เอาไปเลย ! ” หนิงตงเซิ่งหยิบครีมพัฟขึ้นมาชิมหนึ่งชิ้น กลิ่นหอมนมเนยของตัวแป้งพัฟและกลิ่นหอมหวานของบลูเบอร์รี่ผสานเข้าด้วยกันจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแสนยอดเยี่ยม รสชาตินุ่มละมุนและเข้มข้นกว่าเดิม
สามารถจินตนาการได้ว่าหากนำบลูเบอร์รี่ครีมพัฟออกวางจำหน่ายจะต้องได้รับคำชมอย่างล้นหลามจากลูกค้าประจำและลูกค้าใหม่ การค้าของร้านก็ต้องเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกแน่นอน !
“ถ้าเช่นนั้น…ข้าไม่เกรงใจท่านแล้ว ! ” เมื่อมีเนยและแป้งสาลีสำหรับทำขนม นางก็จะสามารถทำเค้กได้อีกมากมาย ! หืม…เหมือนว่าใกล้จะถึงวันเกิดบัณฑิตน้อยไม่ใช่หรือ ? เช่นนั้น…สร้างเซอร์ไพรส์ให้เขาดีหรือไม่ ?
“ว้าว ! น้องหนิง วันนี้เนื้อเค้กฟองน้ำของร้านเจ้าหอมนิ่มขึ้นมาก ฝีมือแม่ครัวทำขนมพัฒนาขึ้นอีกแล้วหรือ” ในที่สุดคุณชายหูก็เข้าแถวจนได้ซื้อเค้กฟองน้ำที่เขาโหยหา ตอนนี้เขากำลังใช้มือข้างหนึ่งถือกล่องขนมไว้และใช้มืออีกข้างถือเค้กขึ้นมากินจนแก้มป่อง
หลินเว่ยเว่ยหันไปมองครู่หนึ่ง โชคของเจ้าแซ่หูไม่เลวเลยเพราะได้ซื้อเค้กที่นางเป็นคนอบพอดี ตอนนั้นนางทนแล้วทนอีกที่จะไม่บีบครีมเป็นรูปดอกไม้ลงบนหน้าเค้กด้วย เช่นนั้นจะไม่ทำให้พวกเขาแปลกใจจนคิดว่าเป็นเทพเซียนไปเลยหรือ ?
“ไอหยา นี่ขนมอะไรหรือ ? ขนมใหม่ของร้านใช่หรือไม่ ? สวรรค์ งดงามมาก !…ให้ข้าชิมหน่อยได้หรือไม่ ? ” คุณชายหูเป็นลูกค้าประจำของร้าน พอรู้ว่าหนิงตงเซิ่งอยู่ในห้องรับแขก เขาก็ก้าวเท้าเดินเข้ามาทันที หลังเห็นบลูเบอร์รี่ครีมพัฟแล้ว ดวงตาของเขาก็เหมือนโดนทากาวติดไว้ ไม่ว่าจะดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออก !
หลินเว่ยเว่ยเผยท่าทางเชื้อเชิญ ทันใดนั้นคุณชายหูก็รีบก้าวเท้าเข้ามาทันที เขาค่อย ๆ หยิบครีมพัฟขึ้นมาแล้วกัดชิมคำเล็ก เมื่อลองลิ้มรสอย่างละเอียดแล้วเขาก็กลืนครีมพัฟที่อยู่ในปากและชี้ขนมอีกสองสามชิ้นที่เหลืออยู่ “ห่อให้ข้าเลย ข้าเอาหมด…”
หนิงตงเซิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที “คุณชายหู บลูเบอร์รี่ครีมพัฟนี้ ข้าใช้ต้อนรับลูกค้า…”
“ทำไมหรือ ? พวกเขาเป็นลูกค้าของเจ้า ส่วนข้าไม่ใช่หรือ ? นี่เรียกว่าบูเบอรี่…ครีมพับ ? ไม่ได้ หากวันนี้ไม่ขายให้ ข้าก็จะไม่ออกไปจากที่นี่ ! ” ร่างอวบอ้วนของคุณชายหูเบียดเข้าไปในเก้าอี้นวมและทำท่าทางพร้อมมีเรื่องเสมอ เพื่อของกินแล้ว เขาก็สู้สุดชีวิตเหมือนกัน !
หนิงตงเซิ่งยังพูดเกลี้ยกล่อมอีกสองสามประโยค แต่สุดท้ายก็ต้องเอ่ยด้วยความหดหู่ “ในครัวยังมีอยู่อีก ประเดี๋ยวข้าจะให้คนชั่ง…”
“ข้าไปกับเจ้าด้วย…” คุณชายหูลุกขึ้นยืน
แต่หนิงตงเซิ่งรีบกล่าวว่า “ต้องขออภัยด้วย ห้องครัวของร้านเราเกี่ยวพันกับการรักษาสูตรลับในการทำขนมจึงห้ามคนนอกเข้า”
คุณชายหูก็เกิดในตระกูลพ่อค้าจึงเป็นธรรมดาที่จะเข้าใจเรื่องความสำคัญของสูตรลับ เขาเผยท่าทีเข้าใจออกมาแล้วนั่งลงใหม่อีกครั้ง “ตกลงกันก่อนว่าขนมที่เหลือทั้งหมด ข้าเหมาแล้ว ! เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหา ! ”
ถ้อยคำนี้เหมือนพวกมหาเศรษฐีจริง ๆ เปิดร้านขายขนมก็ต้องชอบลูกค้าไร้สมองแต่มีเงินเยอะเช่นนี้เอง ถ้าคำนวณถึงมูลค่าของเนย แป้งสำหรับทำขนมโดยเฉพาะและครีม ครีมพัฟที่เล็กเท่าไข่ไก่ขนาดเล็กสุดฟองหนึ่งก็น่าจะมีราคาประมาณ 200 อีแปะ ที่เหลือมีอยู่ 10 ชิ้น ลูกค้าจะต้องใช้เงินซื้อถึง 2 ตำลึง
หลินจื่อเหยียนหยิบครีมพัฟขึ้นมาแล้วเผยสีหน้าอมทุกข์ “ขนมชิ้นเล็กเหล่านี้สามารถซื้อธัญพืชได้หลายสิบชั่ง ธัญพืชหลายสิบชั่งนี้จะช่วยชาวบ้านที่หิวโหยได้มากเพียงใดกัน…ช่างเป็นสุราดีกับเนื้อชั้นเยี่ยมที่เน่าเต็มจวนขุนนาง ทว่าริมถนนกลับมีซากศพของผู้อดอยากนอนเกลื่อนให้เห็น ! ”
หลินเว่ยเว่ยถอนหายใจ “มนุษย์พอเกิดมาก็ก้าวเข้าสู่ความไม่เท่าเทียมแล้ว มีบัณฑิตยากจนมากเพียงใดที่ต้องพากเพียรด้วยความยากลำบากกว่าสิบปี ขณะที่บางคนเกิดมามีทุกสิ่ง ต้าฮว๋า เจ้าจำไว้ให้ดีว่าการที่เจ้าเรียนหนังสือไม่เพียงเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตน แต่สิ่งที่ต้องตั้งใจยิ่งกว่าคือไม่ทำให้ประชาชนต้องกลายเป็นซากศพริมถนนอีก ! ”
หลินจื่อเหยียนวางครีมพัฟในมือแล้วออกแรงพยักหน้า
แต่เจียงโม่หานหยิบขนมเข้าปากชิ้นแล้วชิ้นเล่า…หรือการที่เขาไม่กินครีมพัฟจะทำให้คนไม่อดตาย ? หรือแค่ทำให้ตนมีภาระหนักอึ้งถึงจะเรียกว่าการทำเพื่อบ้านเมือง ? ทำให้ร่างกายตัวเองทรมานจนตายตั้งแต่ยังหนุ่ม ต้องทำอย่างไรถึงจะเรียกได้ว่าทำประโยชน์ให้ประชาชน ?
ขอแค่มีใจคิดเพื่อราษฎร การอยู่ในจวนขุนนางก็สามารถสร้างประโยชน์ให้ประชาชนได้นับพันนับหมื่น นี่ไม่ใช่เรื่องขัดแย้งกัน เข้าใจหรือไม่ ?
หลินจื่อเหยียนเหลือบมองท้องฟ้า จากนั้นก็พูดกับเจียงโม่หานว่า “ศิษย์พี่เจียง ท่านจะไปซื้อตำราไม่ใช่หรือ ? ตอนนี้พวกเราควรไปร้านหนังสือกันแล้ว”
เจียงโม่หานไม่สบอารมณ์กับเจ้าแซ่หนิงที่ชอบกะพริบตาดอกท้อตั้งนานแล้ว ผู้ชายคนหนึ่งยิ้มเก่งถึงเพียงนี้ไม่เหมาะสมเลยสักนิด เขาจึงลุกขึ้นแล้วหันไปมองทางหลินเว่ยเว่ย
หลินเว่ยเว่ยรีบวางถ้วยชาในมือแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าทำความสะอาดมุมปาก จากนั้นก็ลุกขึ้นพูดกับหนิงตงเซิ่งว่า “คุณชายหนิง ท่านทำงานต่อเถิด พวกเราจะไปเดินเล่นในเมืองต่อ”
หนิงตงเซิ่งก็ลุกขึ้นพูดตาม “บังเอิญวันนี้ข้าก็ว่างเหมือนกัน พวกท่านไม่คุ้นเคยกับในเมือง ข้ารู้จักร้านขายตำราหลากชนิดอยู่สองสามร้าน แต่ร้านอยู่ค่อนข้างไกล ประเดี๋ยวข้าพาพวกท่านไปก็แล้วกัน ! ”
“ร้านขายหนังสือไม่กี่แห่งนั้นข้ารู้จัก ไม่รบกวนคุณชายหนิงหรอก ! ” ชาติก่อนเจียงโม่หานอยู่ในอำเภอหลายปี ระยะแรกเขาหาเลี้ยงตนด้วยการคัดลอกตำรา ดังนั้นเรื่องร้านหนังสือน้อยใหญ่ เขาถือว่า