ตอนที่ 202 ลองมอบให้แล้วหรือยัง?
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหนิงตงเซิ่งก็ไม่ดึงดันอีก เขากล่าวกับหลินเว่ยเว่ยว่า “หลินกู่เหนียง ข้าจองโต๊ะไว้ที่หยวนเค่อหลาย ขอให้กู่เหนียงและพี่ชายน้องชายทั้งสองตอบรับคำเชิญด้วย…”
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไม่เกรงใจคุณชายหนิงแล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยตอบรับน้ำใจของอีกฝ่าย
ระหว่างทางไปร้านขายหนังสือเจียงโม่หานก็เดินตามถนนที่คุ้นเคยในความทรงจำของตนเส้นแล้วเส้นเล่า ภาพตัวตนที่ดิ้นรนท่ามกลางความหนาวเหน็บยังคงชัดเจน
ในฤดูหนาวปีนั้น เขาสวมเสื้อคลุมโทรม ๆ บาง ๆ ท่ามกลางพายุหิมะ เขาเคาะประตูร้านหนังสือด้วยมือที่คัดตำราจนบวมและแดง หลังรับเงินจำนวนหนึ่งมาแล้วเขาก็นำไปซื้อหมั่นโถว 2 ลูก แล้วเข้าไปซ่อนตัวใต้ชายคาผู้อื่นและเริ่มกัดกินคำโต
แต่แล้วอู๋ปัวศัตรูคู่แค้นและกลุ่มลูกน้องก็แห่ออกมาจากหยวนเค่อหลาย เจ้านั่นเข้ามาผลักเขาล้มลงกับพื้นแล้วเยาะเย้ยว่า “นี่ไม่ใช่บัณฑิตเจียงคนเก่งของเราหรือ ? เหตุใดจึงมีสภาพแย่ยิ่งกว่าขอทาน ? ไอหยา อัจฉริยะเจียงคนเก่งกินหมั่นโถว อาหนาน นายน้อยอย่างข้าให้น่องไก่เป็นรางวัลกับเจ้าน่ะ เอามาแบ่งให้บัณฑิตเจียงคนเก่งหน่อยสิ…”
ถ้อยคำที่น่าอับอายยังถูกพ่นออกมานานกว่า 2 เค่อ อู๋ปัวและลูกน้องจึงยอมจากไปพร้อมเสียงหัวเราะ ส่วนเขาดิ้นรนลุกขึ้นจากพื้น ขณะมองหมั่นโถวที่ตกบนพื้นและน่องไก่ที่เต็มไปด้วยความอัปยศ เขาก็ค่อย ๆ ก้มลงแล้วหยิบหมั่นโถวขึ้นมาตบฝุ่นและปัดหิมะด้านบนออก จากนั้นก็กัดกินด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ส่วนน่องไก่อันนั้นยังถูกวางไว้ที่เดิม แล้วมันก็โดนลมกับหิมะกลบในที่สุด
สัจธรรมของชีวิตสอนให้เขารู้จักก้มศีรษะ ทว่าก็สู้การมีชีวิตเยี่ยงคนที่ยืดหลังตรงไม่ได้หรอก แม้ว่าการก้มศีรษะชั่วคราวอาจทำให้เรามีอนาคตที่สูงส่งกว่าเดิม….
“บัณฑิตน้อย ที่ข้าตอบรับจะไปตามคำเชิญของคุณชายหนิง เจ้าไม่พอใจหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยเห็นเขามองไปข้างหน้าพร้อมใบหน้าไร้ความรู้สึก นางจึงถามด้วยความระมัดระวัง “ถ้าเจ้าไม่อยากไปกินอาหารที่เขาเลี้ยง หากข้าเลี้ยงเจ้าแทนก็ได้แล้วใช่หรือไม่ ? ”
“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้นหรอก เมื่อครู่…ข้านึกถึงเรื่องอื่นอยู่ อย่างไรพวกเจ้าก็เป็นหุ้นส่วนกัน เลี้ยงอาหารก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว” เจียงโม่หานหยุดฝีเท้า ขณะมองหลินเว่ยเว่ยเขาก็กล่าวว่า “เจ้าอยากทำสิ่งใดก็ทำ ไม่ต้องสนใจความรู้สึกของข้า”
“ไม่ได้ มีบางครั้งที่ข้าทำตัวงี่เง่า…ข้าจึงจำเป็นต้องมีคนคอยเตือนบ้าง อย่ามองว่าข้าเอาแต่ต่อต้านที่เจ้าคอยยุ่งคอยขัด แต่ในความเป็นจริงแล้วข้าชอบให้เจ้ายุ่งด้วย ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่วางใจในตัวเองหรอก ! ” หลินเว่ยเว่ยหัวเราะคิกคัก
มุมปากของเจียงโม่หานยกขึ้นเล็กน้อย เขาสาวเท้าเดินต่อไปข้างหน้า “เจ้าเห็นข้าเป็นบ่าวรับใช้หรือ ? ไม่คิดจะใช้สมองตนเองหน่อยหรือไร ? ”
“ใช้สมองเหนื่อยจะตาย ! ข้าไม่ได้มีเจ้าอยู่หรอกหรือ ? พวกเราร่วมงานกัน เรื่องออกแรงยกเป็นหน้าที่ข้า ส่วนเรื่องใช้สมองก็ยกให้เจ้า ! ” หลินเว่ยเว่ยกระตุกเสื้อของเขาแล้วชี้ไปยังร้านปั้นตุ๊กตาน้ำตาล “บัณฑิตน้อยอย่าเพิ่งไป ให้เขาปั้นตุ๊กตาให้เราเถิด ! ”
น้อยครั้งที่หลินเว่ยเว่ยจะทำตัวเป็นเด็ก เจียงโม่หานจึงให้ความร่วมมือด้วยการหยุดเดินแล้วกล่าวกับนางว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปข้าพูดสิ่งใด เจ้าก็ต้องฟัง ! ”
“ฟังสิ ต้องฟังแน่นอน ! ” หลินเว่ยเว่ยชี้ไปที่เขาแล้วกล่าวกับชายชราผู้ปั้นตุ๊กตาน้ำตาลว่า “ปั้นให้เขาก่อน ปั้นให้สวยเลยนะ ! ”
เจียงโม่หานมองนาง “ถ้าเช่นนั้น ต่อไปหากเจอสถานการณ์เหมือนวันนี้อีก เจ้าห้ามเอาตัวเข้าไปเสี่ยง เข้าใจหรือไม่ ? ”
“เข้าใจ ! เข้าใจอยู่แล้ว ! เจ้าคิดเพื่อความปลอดภัยของข้า ! ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วง ข้าจึงมีความสุขที่สุด ! ” หลินเว่ยเว่ยยิ้มอย่างทะเล้น
ชายชราผู้ปั้นตุ๊กตาน้ำตาลมองนาง จากนั้นก็หันไปมองเจียงโม่หาน ก่อนจะกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “นี่…เป็นกู่เหนียงใช่หรือไม่ ? เช่นนั้นข้าปั้นชุดผู้หญิงให้เจ้าดีกว่า”
“ดี ดี ! ” หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า จากนั้นก็ลงไปนั่งยองข้างชายชรา ขณะมองบัณฑิตน้อยในชุดบัณฑิต ตุ๊กตาก็ค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่างด้วยมืออันหยาบกร้านของชายชรา…อย่าให้กล่าวเลย ท่าทางเย่อหยิ่งนั้นดูองอาจไม่น้อยเลย
เมื่อทำเสร็จแล้วหลินเว่ยเว่ยก็แย่งไปถือไว้ในมือ ขณะมีรอยยิ้มขี้เล่นบนใบหน้านางก็กล่าวกับเจียงโม่หานว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะเริ่มกินจากตรงไหนดี ? กัดศีรษะหรือแทะมือก่อน…”
เจียงโม่หานใบหน้าร้อนผ่าวทันที เขารีบแย่งตุ๊กตาปั้นมาจากมือเด็กตัวแสบ “กินของเจ้าเองสิ ! ”
ชายชรามองทั้งสองพร้อมรอยยิ้ม ท่าทางเช่นนี้เหมือนกำลังมองคู่รักที่ชอบกัดกัน “กู่เหนียง ประเดี๋ยวของเจ้าก็เสร็จแล้ว ไม่นานหรอก ! ”
ต่อจากนั้นชายชราก็เริ่มปั้นเด็กน้อยน่ารักคนหนึ่ง ใบหน้ามีรอยยิ้มสดใส ท่าทางฉลาดและซุกซน ชุดกระโปรงมีสีเดียวกับชุดของบัณฑิตหนุ่ม แค่มองก็รู้ว่าเป็นชุดคู่รัก
หลินเว่ยเว่ยรับมาอย่างหวงแหน นางนำตุ๊กตาปั้นของเจียงโม่หานตัวนั้นมาถือไว้เหมือนกัน โดยถือไว้ตัวละข้างพลางกล่าวด้วยดวงตาที่โค้งเป็นเสี้ยวพระจันทร์น่ารัก “ไอหยา ปั้นได้เหมือนมาก ผู้อาวุโส ข้าขอมอบคำให้ท่านสักสองสามคำ…มีทั้งรูปลักษณ์และจิตวิญญาณ บัณฑิตน้อย เจ้าดูที่ตาของข้าสิ โค้ง ๆ แล้วยังกระตุกยิ้มมุมปาก แค่มองก็รู้ว่ากำลังคิดสิ่งที่ไม่ดีอยู่ ! ”
เจียงโม่หานก้มมองตุ๊กตาปั้นของนางแล้วกล่าวว่า “เจ้าก็รู้หรือว่าตนชอบมีความคิดไม่ดีหรือ ? ”
“ฮ่าฮ่า…ท่าทางเย่อหยิ่งของเจ้าก็น่ารักเหมือนกัน ! ไม่ได้การ ประเดี๋ยวข้าต้องซื้อกล่องมาซ่อนตุ๊กตาปั้นเอาไว้ ! ” หลินเว่ยเว่ยนำตุ๊กตาปั้นของบัณฑิตหนุ่มมาเป็นของตนอย่างหน้าไม่อาย
ตอนที่หลินจื่อเหยียนจะนำตุ๊กตาปั้นของตนใส่ลงในกล่องที่พี่รองซื้อมา หลินเว่ยเว่ยกลับกลอกตาให้เขา “ถือเองสิ ! ”
หลินจื่อเหยียนจึงกล่าวด้วยความเหนื่อยหน่ายทันที “ข้าเป็นเด็กผู้ชาย การเดินถือตุ๊กตาปั้นจะดูเป็นเช่นไร ? ”
“ใช่ ดูไม่เหมาะ ! ” หลินเว่ยเว่ยนำตุ๊กตาปั้นมามองแล้วทันใดนั้นก็เอาไปแตะที่ปากของเขา “ถ้าไม่อยากถือก็กินสิ ! ”
“พี่รอง ท่านลำเอียงเกินไปแล้ว ! ในกล่องยังว่างอยู่ตั้งครึ่งหนึ่ง เหตุใดข้าวางตุ๊กตาปั้นของตนไม่ได้ ? ” หลินจื่อเหยียนเบื่อที่มีพี่สาวเช่นนี้ เขาเหนื่อยใจจะตายอยู่แล้ว !
หลินเว่ยเว่ยกล่าวอย่างมั่นใจ “ถ้าเจ้าดูดีได้สักสามส่วนสิบของบัณฑิตน้อย ข้าต้องบูชาเจ้าเหมือนบรรพบุรุษแน่…”
“พี่รอง ข้า…ข้าก็ไม่ได้หน้าตาแย่ เข้าใจหรือไม่ ? ตอนนี้มีสาวน้อยมามอบพื้นรองเท้าให้ข้าแล้ว…” หลินจื่อเหยียนพูดอย่างโกรธแค้นแล้วทวงพื้นที่ของตนคืนมา
“มอบพื้นรองเท้า ? เหตุใดไม่มอบรองเท้าหรือผ้าเช็ดหน้า ? ต้องเป็นผู้หญิงที่ปักผ้าไม่งดงามแน่ คนเช่นนี้มอบของให้ เจ้าก็ยังกล้าเอามาอวดอีกหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยเค้นเสียงเย้ยหยันพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยการดูแคลน
หลินจื่อเหยียนไม่ยอมแพ้และรีบเถียง “แล้วท่านล่ะ ? แม้แต่พื้นรองเท้าก็ยังทำไม่เป็น อ้อ…จริงสิ แม้แต่เข็มท่านก็ยังไม่เคยร้อยด้ายด้วยซ้ำ ผ้าเช็ดหน้าเอย ถุงเท้าเอย ยังเป็นท่านแม่และน้าเฝิงทำให้ท่านอยู่เลย ! ”
หลินเว่ยเว่ยหันไปกัดฟันใส่เขา “กล้าว่าข้าหรือ ? อยากตายหรือ ! ดั่งคำกล่าวที่ว่าแต่ละคนย่อมมีความถนัดไม่เหมือนกัน ไม่มีใครสมบูรณ์ไปเสียทุกอย่าง ข้ามีข้อด้อยของตนแล้วอย่างไร ? เสื้อผ้า หมวก ถุงเท้าของบัณฑิตน้อยไม่ได้มีน้าเฝิงเป็นคนทำให้หรือ ? เจ้าว่าในหมู่บ้านฉือหลี่โกวมีใครฝีมือเย็บปักดีกว่าน้าเฝิงอีก ? หากข้าเย็บให้ บัณฑิตน้อยก็ไม่ชอบหรอก ! เจ้าว่าใช่หรือไม่ ? พูดบ้างสิบัณฑิตน้อย”
เจ้าไม่เคยให้เสียหน่อย รู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ชอบ ? บัณฑิตหนุ่มเหลือบมองทั้งสองคนปราดหนึ่ง ท้ายที่สุดเขาก็ไม่อยากถกเถียงกับพี่น้องคู่นี้อีก