บทที่ 254 เนตรสวรรค์ถูกทำลาย

บทที่ 254 เนตรสวรรค์ถูกทำลาย

สำนักเซียนแพทย์มีชื่อเสียงบนแดนเมฆาสวรรค์มาก เป็นขุมอำนาจที่สามัคคีกลมเกลียวกันที่สุด ราวกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องเบาะแว้งภายในมาก่อนเลย

และด้วยสำนักเซียนแพทย์มีจำนวนคนมากที่สุด คนทั้งหลายต่างก็มีวิชาแพทย์สูงส่ง คนจากเขตอื่น ๆ จึงไม่กล้าเข้ามาก่อเรื่องในเขตสำนักเซียนแพทย์ กระทั่งคนจากตำหนักเจ้านรกยังต้องไว้หน้า

ดังนั้นชิงหลานเฟยจึงเลือกมาเก็บตัวในเขตสำนักเซียนแพทย์

“เราจะไปไหนต่อหรือ?”

ม่อจิ่งอวี้หลุบตาลง เรียวปากแตะกับถ้วยชาแล้วจิบชาอึกหนึ่ง ชาอาจไม่ถูกปากนักด้วยใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่แตะมันอีก

ชิงหลานเฟยเห็นแล้วจึงหัวเราะออกมา คนผู้นี้ติดอาหารชั้นดีเกินไปจึงไม่คุ้นชินกับชาในร้านเล็ก ๆ เช่นนี้

“ข้าหมายจะไปหลบอยู่ในสำนักเซียนแพทย์เงียบ ๆ จนกว่าตำหนักเจ้านรกจะไม่สนใจเรา จากนั้นค่อยจากไป” ชิงหลานเฟยตอบเสียงเบา

“เจ้ามีคนรู้จักในสำนักเซียนแพทย์หรือ?” ม่อจิ่งอวี้เลิกคิ้วถาม

“เจ้าสำนักเซียนแพทย์คนปัจจุบัน ไป๋ชิว แต่ก่อนรู้จักกันกับข้าอยู่บ้าง ข้าคิดว่าเขาคงเต็มใจช่วยเหลือ”

— สำนักเซียนแพทย์ —

ด้วยทำนายไว้ว่ายอดเขาใจสงบจะปรากฏขึ้นในอีกไม่นาน แม้จะรู้กันว่าสำนักเซียนแพทย์มุ่งเน้นด้านการรักษาและวิชาแพทย์ พลังต่อสู้นั้นย่อมอ่อนด้อยกว่าขุมอำนาจอื่น ๆ บนแดนเมฆาสวรรค์ แต่พวกเขาก็ไม่ขาดศิษย์ฝีมือดีที่มีทั้งวิชาแพทย์และวิชายุทธฺสูงส่ง ซึ่งนับเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะมีคุณสมบัติได้ขึ้นไปสู่แดนเซียน

ไป๋จือเยี่ยนเคยเป็นประมุขน้อยสำนักเซียนแพทย์ แต่เพราะเมื่อก่อนไปเข้ากับแคว้นมาร ไป๋ชิวจึงประกาศตัดสายสัมพันธ์พ่อลูก ไม่ติดต่อหากันอีกจนวันตาย ที่ทำเช่นนั้นก็เพื่อปกป้องทั้งตัวไป๋จือเยี่ยนและสำนักเซียนแพทย์

แต่โลกภายนอกรู้เพียงเท่านั้น ไป๋จือเยี่ยนเคยกลับมาที่สำนักหลายครั้งหลายคราแล้ว

แต่เขาถูกมองเป็นคนแคว้นมาร ย่อมไม่สามารถไปยอดเขาใจสงบในฐานะประมุขน้อยสำนักเซียนแพทย์ ดังนั้นไป๋ชิวจึงได้แต่ฝากหวังไว้กับศิษย์สำนักที่มีความสามารถสักหลายคน แต่แม้จะสรรหาคนที่สามารถขึ้นยอดเขาใจสงบได้ แต่ก็ไม่มีใครโดดเด่นเท่าไป๋จือเยี่ยนสักคน

อย่างไรไป๋จือเยี่ยนก็เป็นหน่ออ่อนยอดฝีมือแห่งสำนักเซียนแพทย์เมื่อร้อยกว่าปีก่อน กระทั่งบิดาของเขายังประเมินฝีมือเขาไว้สูงส่งนัก

คิดได้ดังนั้น ไป๋ชิวก็อดยกมือขึ้นก่ายหน้าผากไม่ได้ ถอนหายใจยาวออกมา

“ท่านเจ้าสำนัก มีแขกมาขอพบขอรับ” ศิษย์ชุดขาวที่ยืนอยู่หน้าประตูรายงานขึ้น สองมือกำคำนับอยู่ตรงหน้าอก

ไป๋ชิวหลุดจากภวังค์ “มีคนมาขอให้รักษาหรือ? เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ต้องมารายงานก็ได้ พวกเจ้าก็ไปช่วยเหลือตามแต่จะเห็นสมควรได้เลย”

สำนักเซียนแพทย์คือเหล่าคนใจดีมีเมตตาและใจบุญใจกุศล ไม่รังแกคนอ่อนแอ ดังนั้นโลกภายนอกจึงยกย่องพวกเขามาก หลาย ๆ คนที่มีโรคภัยไข้เจ็บมักมาเพื่อขอให้ท่านเจ้าสำนักรักษาโดยไม่ได้รับเชิญ

แต่ก็มีพวกที่แสร้งป่วย ด้วยมีจุดประสงค์ชั่วร้ายที่หมายจะเข้ามาสานไมตรีกับสำนัก เวลาผ่านไปไป๋ชิวจึงเริ่มรู้สึกรำคาญใจ ไม่คิดใส่ใจกับเรื่องเช่นนี้อีก ดังนั้นจึงปล่อยให้เหล่าศิษย์ทั้งหลายรับหน้าที่นี้ไปแทน

ดังนั้นเมื่อได้ยินรายงานเช่นนั้น เขาจึงโบกมือไล่ทันที เป็นเชิงว่าไม่คิดไปพบหน้าแขก

ศิษย์ผู้นั้นลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “พวกเขาไม่ได้มาให้รักษาขอรับ สตรีคนหนึ่งอ้างว่านางรู้จักกับท่านเจ้าสำนัก”

“สตรีหรือ?” ไป๋ชิวได้ยินแล้วประหลาดใจ

เขาจำไม่ได้ว่าเคยมีสหายสนิทที่ไหนเป็นสตรี แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงมีสตรีมาขอเข้าพบเขาถึงที่นี่ได้?

“ขอรับ เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง”

“เช่นนั้นเชิญพวกเขาเข้ามา” แม้จะงงอยู่บ้าง แต่ไป๋ชิวก็เริ่มสนใจขึ้นมา อยากรู้นักว่านางเป็นสหายเก่าประเภทใดกันแน่

แต่เมื่อร่างบางค่อย ๆ เดินเข้ามา ใบหน้าเรียบเฉยของไป๋ชิวก็แปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ ก่อนจะกลายเป็นความตกตะลึงสุดขีด

มันเป็นใบหน้าที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นตาไปในเวลาเดียวกัน ไป๋ชิวไม่คิดว่าจะได้เห็นนางอีกครั้ง เขาจึงประหลาดใจจนไม่อาจเอ่ยคำยามนางเรียก

เห็นเช่นนั้นชิงหลานเฟยก็คลี่ยิ้มออกมา “ท่านเจ้าสำนักไป๋ ไม่ได้พบหน้ากันเสียนาน ท่านจำข้าไม่ได้แล้วหรือ?”

ไป๋ชิวจึงตั้งสติได้ “แม่นางชิง? ไม่ใช่ว่าเจ้า….. เจ้าได้…..”

“ตายไปแล้ว?” ชิงหลานเฟยพูดพร้อมยิ้ม “ข้าตายไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ข้าโชคดีนักที่ยังกลับมาใช้ชีวิตได้เช่นนี้”

ไป๋ชิวจึงได้แต่อ้าปากค้าง “เมื่อตอนข่าวเรื่องเจ้าตายแพร่ออกมา นับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของแดนเมฆาสวรรค์! อย่างไรฝีมือด้านการแพทย์เจ้าก็ไม่อาจหาใครเทียบได้ เจ้าได้ชื่อว่ามือปีศาจ ปลูกเนื้อสร้างกระดูกบนร่างได้

“ท่านเจ้าสำนักไป๋กล่าวเกินไปแล้ว ข้าไม่ได้ฝึกวิชาแพทย์มานานหลายปี ฝีมือตกไปมากแล้ว” มุมปากชิงหลานเฟยยกขึ้น ก่อนเอ่ยเสียงเรียบออกมา

ไป๋ชิวเป็นคนมีไหวพริบ รู้ว่านางไม่อยากเอ่ยถึงอดีต ดังนั้นจึงไม่ถามเรื่องนั้นอีก “แม่นางชิงมีอะไรถึงมาที่สำนักเซียนแพทย์ได้เล่า?”

ชิงหลานเฟยพยักหน้าตอบ “บอกตามตรง ข้ามาครั้งนี้เพื่อขอให้ท่านช่วยเหลือเรื่องบางอย่าง”

“โปรดเอ่ยมาตามตรงได้เลย แม่นางชิงเคยมีบุญคุณกับสำนักเซียนแพทย์ในอดีต หากข้ามีอำนาจช่วยเหลือข้าย่อมไม่ปฏิเสธ” ไป๋ชิวว่าหน้าตาจริงจัง

“ข้าหวังว่าจะสามารถพักอยู่ที่สำนักเซียนแพทย์สักระยะหนึ่ง” ชิงหลานเฟยเอ่ยขึ้น

“เท่านั้นเองหรือ?” ไป๋ชิวประหลาดใจ เหมือนไม่คิดว่านางจะมาขอเรื่องเช่นนี้

“เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องขอด้วยซ้ำไป! หากเจ้าต้องการ สำนักเซียนแพทย์ยินดีต้อนรับเจ้าอยู่เสมอ” ไป๋ชิวที่หน้านิ่งอยู่ตลอดไม่ค่อยยิ้ม ตอนนี้กลับส่งยิ้มจริงใจให้นาง

ไป๋ชิวเป็นคนตรงไปตรงมาและเรียบง่าย มีอะไรก็กล่าวไปตรง ๆ ทั้งยังไม่เคยก้มหัวให้ขุมอำนาจอื่น

ชั่วชีวิตนี้เขาหมายเพียงจะฝึกฝนวิชาแพทย์ให้ลึกล้ำยิ่งขึ้นเท่านั้น ผู้คนกล่าวชมเขาในเรื่องฝีมือการแพทย์มากที่สุด แต่สตรีที่ยืนตรงหน้าเขาผู้นี้คือหนึ่งในไม่กี่คนที่เขาชื่นชมนับถือเป็นอย่างสูง

ชิงหลานเฟยนัยน์ตาฉายแวววาบก่อนเอ่ยขึ้นช้า ๆ “ข้าไม่ขอปิดบัง แท้จริงแล้วตอนนี้ข้าหลบหนีการไล่ล่าจากขุมอำนาจหนึ่งอยู่ แต่ด้วยผู้คนไม่กล้าล่วงเกินสำนักเซียนแพทย์ ข้าจึง…..”

“เป็นเช่นนี้เอง” ไป๋ชิวไม่รอนางพูดจบก็เอ่ยคำขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าวางใจแล้วพักอยู่ที่นี่เถอะ ข้าจะไล่พวกน่ารำคาญใจที่ตามเจ้ามาเอง เรื่องอื่นสำนักเซียนแพทย์อาจช่วยไม่ได้ แต่ทำให้คนไม่กี่คนหายหน้าไปย่อมไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร”

ไป๋ชิวพูดมาเช่นนี้ มันคือความลับสุดยอดของสำนักเซียนแพทย์

เขตแดนของสำนักเซียนแพทย์นั้นเหมือนจะเป็นพื้นที่ธรรมดาทั่วไป ไม่ต่างจากสถานที่อื่น ๆ ที่แดนต่ำ

มีทั้งร้านชาและโรงเตี๊ยมเรียบง่าย ถนนเรียงรายไปด้วยพ่อค้าเร่ขายของ กระทั่งเห็นขอทานนอนหลับอยู่ได้ทั่วทุกมุม แต่ภายใต้ภาพที่ดูคุ้นตานั้นยังมีบางสิ่งบางอย่างมากกว่าที่ตาเห็น

เด็กน้อยที่นั่งยอง ๆ เล่นกับจิ้งหรีดอยู่บนถนนอาจเป็นมือสังหารที่ฆ่าคนด้วยวิธีเลือดเย็นก็เป็นได้

คนที่ได้รับความเมตตาจากสำนักเซียนแพทย์นั้นมีมากมายอาจนับได้เป็นล้านคน ในหมู่คนเหล่านี้ บ้างก็คิดจะตอบแทนบุญคุณ หรือไม่ก็ถูกความอบอุ่นเป็นมิตรของคนที่นี่ดึงให้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เสียเลย

เวลาผ่านไป จำนวนคนเช่นนี้ก็มากขึ้นเรื่อย ๆ

สถานที่นี้จึงเต็มไปด้วยผู้เยี่ยมยุทธ์เร้นกาย ทั้งยังส่งต่อวิชาให้รุ่นต่อรุ่นเพื่อปกป้องคุ้มครองสำนักเซียนแพทย์ เพราะฉะนั้นหากมีใครคิดร้ายกับสำนัก คนเหล่านี้ย่อมไม่ยอมปล่อยพวกมันไปโดยง่าย

— อารามจันทร์กระจ่าง —

แม้ผ่านคืนนั้นไปชิงลั่วเยี่ยนจะไม่ฝันอีก เรื่องที่เกิดขึ้นก็สมจริงมาก นางยังลืมไม่ลง กระทั่งใช้ธูปหอมที่ช่วยเรื่องการนอนหลับก็ยังไม่อาจทำให้นางหลับอย่างเป็นสุขได้

บนโต๊ะมีกล่องผ้าวางอยู่ เศษผ้าสีแดงชั้นดีวางอยู่ในนั้น นิ้วเรียวยาวค่อย ๆ หยิบมันขึ้นมา ก่อนจะใช้นิ้วไล้เนื้อผ้า

นางเก็บมันมาจากกิ่งไม้เมื่อคืนนั้น

จะมีเรื่องบังเอิญเช่นนั้นเลยหรือ…..

หรือมันไม่ใช่เพียงความฝัน แต่คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ?

หาไม่แล้วจะมีคำอธิบายเรื่องเศษผ้านี่ได้อีก?

ชิงลั่วเยี่ยนขมวดคิ้วมุ่นไม่ทันรู้ตัว นิ้วกำเข้าด้วยกันเบา ๆ ก่อนที่จะมีเสียงเคาะประตูเสียงเบาดังขึ้น “ท่านเจ้าอาราม”

เป็นชางเจี้ยน

ชิงลั่วเยี่ยนค่อย ๆ คลายกำมือก่อนจะวางเศษผ้าลงในกล่องดังเดิม จากนั้นเอ่ยปากตอบ “เข้ามาได้!”

ชางเจี้ยนผลักประตูเดินเข้ามา โค้งตัวถึงเอวก่อนเป็นการทักทาย “ท่านเจ้าอารามเรียกชางเจี้ยนมา มีเรื่องสำคัญอะไรหรือไม่?”

“เมื่อหลายคืนก่อนข้าฝัน” ชิงลั่วเยี่ยนอธิบายภาพฝันคราว ๆ แล้วถามขึ้น “ข้าอยากรู้ว่ามันเกิดขึ้นจริง ๆ หรือมีใครแอบเล่นลูกไม้กับข้า?”

ชางเจี้ยนครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนเอ่ย “ท่านเจ้าอารามให้เวลาข้าสักครู่”

จากนั้นเขาจึงค่อย ๆ เดินไปยังหน้าต่าง เงยหน้ามองดวงดาราบนฟากฟ้า พลันหลับตาแล้วยกนิ้วขึ้นเขียนอักขระอย่างรวดเร็ว แสงสีเงินเรืองปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้ว หากมองดี ๆ จะเห็นว่ามันเป็นรูปดวงตา

ดูเหมือนว่าคนที่ฝึกวิชาบำเพ็ญเป็นนักบวชจะมีเนตรสวรรค์ที่สามารถล่วงรู้อดีตและอนาคตได้

แต่ทุกครั้งที่ใช้วิชา โดยเฉพาะคนที่ล่วงเกินกฎฟ้าเพื่อใช้ทำในเรื่องผิดศีลธรรม ผู้ใช้วิชาจะถูกลงทัณฑ์ และเพราะชางเจี้ยนเนตรสวรรค์เพื่อล่วงรู้ในหลาย ๆ เรื่องที่ตนไม่ควรรู้มาหลากหลายครั้ง เส้นทางการบำเพ็ญของเขาจึงลำบากยากเข็ญขึ้นเรื่อย ๆ ไร้ความคืบหน้ามานับร้อยปี อีกทั้งยังถดถอยลงอีกต่างหาก

ชางเจี้ยนหลับตา มุ่งพลังจดจ่ออยู่กับวิชา พยายามสัมผัสทุกอย่างเท่าที่ทำได้

แต่จังหวะที่เหมือนจะสัมผัสได้นั้น เขากลับเห็นคนผู้หนึ่งคลี่ยิ้มลึกลับออกมา

ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ทว่านัยน์ตาเขากลับสิ้นประกายราวกับคนตาบอด ที่หว่างคิ้วรู้สึกเจ็บแปลบราวกับถูกทิ่มแทง ไม่อาจมองเห็นภาพใดได้ด้วยดวงตาปกติ ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะกลับมามองเห็นดังเดิม

เมื่อลองมองดูก็ไม่เห็นแม้แต่เงาภาพของสิ่งที่ได้เห็นชั่วครู่

เขาจึงอดตกใจไม่ได้ แต่เมื่อหันกลับมา หน้าตาท่าทางก็ยังสงบดังเดิม ไร้สีหน้าอารมณ์ใด “ท่านเจ้าอาราม ข้าไม่เห็นอะไรผิดปกติ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น”

“งั้นหรือ?” ชิงลั่วเยี่ยนขมวดคิ้วดูแคลงใจ แต่ในเมื่อเขาว่ามาเช่นนั้น นางก็ไม่มีเหตุให้ต้องคิดสงสัย เขาไม่กล้าโกหกนางอยู่แล้ว

“ออกไปได้” ชิงลั่วเยี่ยนโบกมือ

ชางเจี้ยนรับคำแล้วถอยไป แต่เมื่อก้าวเท้าออกไป ใบหน้าก็พลันซีดขาว รีบก้าวเท้ากลับเรือนพักตนไปในทันที

เขาเปิดหน้าตำราหน้าตาด้วยใจที่ลุกลน พยายามหาบันทึกที่ว่าไว้เรื่องการฟื้นฟูเนตรสวรรค์ของนักบวช เขาจะมองไม่เห็นได้อย่างไรกัน!? ในเวลาเช่นนี้ ทำไมจู่ ๆ เขาถึงใช้วิชาไม่ได้!? ไม่มีทาง!!

ชิงลั่วเยี่ยนแทบไม่เห็นประโยชน์ในตัวเขาแล้ว หากเขาไร้เนตรสวรรค์และพลังนักบวช นางย่อมเขี่ยเขาทิ้งอย่างไม่ลังเลเป็นแน่!