บทที่ 255 ดูสิว่าใครเสแสร้งแกล้งทำเสียยกใหญ่

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 255 ดูสิว่าใครเสแสร้งแกล้งทำเสียยกใหญ่
บทที่ 255 ดูสิว่าใครเสแสร้งแกล้งทำเสียยกใหญ่

แต่ยิ่งร้อนใจเพียงไหนก็ยิ่งไร้หนทาง ในใจเขามีแต่ความขุ่นมัว ตำราหลายเล่มถูกโยนเกลื่อนห้อง สุดท้ายก็ไม่พบวิธีฟื้นฟูเนตรสวรรค์เลย

ชางเจี้ยนพลันมีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมา

หรือเขาจะเสียพลังเนตรสวรรค์ไปแล้ว?

เป็นไปได้อย่างไร?

เขาจะสูญเสียวิชาที่เขาภูมิใจที่สุดในชั่วชีวิตนี้ของเขาได้อย่างไรกัน!?

เมื่อคิดว่าตนจะกลายเป็นคนไร้ค่า สูญเสียคุณค่าน้อย ๆ ที่เคยมีไป และจะถูกชิงลั่วเยี่ยนโยนทิ้งไม่ไยดี อาจถูกกระทั่งประหารอย่างไร้เมตตา เขาก็อดหลั่งเหงื่อเย็นท่วมแผ่นหลังไม่ได้

เขารู้ความลับที่ไม่ควรรู้มากเกินไป และแม้เขาจะชื่นชมชิงลั่วเยี่ยนมาโดยตลอด แต่ก็รู้ดีว่านางเลือดเย็นเพียงไหน นางไม่มีทางไว้ชีวิตเขาเพราะเรื่องในอดีตแน่

คิดได้ดังนั้น ชางเจี้ยนก็หน้าซีดเผือด

ในตอนที่จิตใจตกสู่ห้วงแห่งความสิ้นหวังอับจนหนทาง ในใจก็นึกบางอย่างออก นัยน์ตาพลันส่องประกายแวบหนึ่งขึ้น

ประเดี๋ยวก่อน ไม่แน่ว่า…… อาจยังพอมีทางแก้สถานการณ์

เขาหาทางฟื้นฟูเนตรสวรรค์ที่นี่ไม่พบ แต่มีที่หนึ่ง….. ที่เขาอาจหาพบ

ส่วนคนร้ายที่แอบทำลายเนตรสวรรค์ของเขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าเขาจะต้องไปที่นั่น นางรออยู่ที่หอคัมภีร์สบายใจเฉิบ ในมือถือไม้ผัดฝุ่นปัด ๆ ไปยังฝุ่นล่องหนบนบางอย่างด้วยสีหน้าจริงจัง

“ชางเจี้ยนมาแล้ว”

หลังจากชื่อเยว่กลายเป็นวิญญาณ แม้พลังบำเพ็ญจะอ่อนแอลง แต่สัมผัสกลับเฉียบคมขึ้น นางสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวใกล้ ๆ จึงเอ่ยขึ้นมา

ชิงอวี่เลิกคิ้วราวกับรู้ว่าจะมีใครมา ใบหน้าไม่ประหลาดใจสักนิด นางหันไปพูดกับอีกฝ่าย “ท่านไปซ่อนก่อนเถอะ”

ว่าจบแล้ว นางก็สะบัดแขนเสื้อเบา ๆ เก็บร่างวิญญาณสีจางเข้ามิติส่วนตัวไป

พริบตาต่อมา เสียงฝีเท้าก็ค่อย ๆ ดังใกล้เข้ามา เงาร่างสูงในชุดสีน้ำเงินของชางเจี้ยนปรากฏขึ้น

แต่ก่อนก็พอจะมีคนอยู่ที่หอคัมภีร์บ้าง แต่พวกเขาถูกย้ายออกไปแล้วเพื่อทดสอบชิงอวี่ ทำให้นางทำงานอยู่ที่นี่คนเดียว

เมื่อชางเจี้ยนมาถึงก็เห็นเด็กสาวในชุดผู้ช่วยสีชมพู กำลังยืนปัดฝุ่นอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วยท่าทางจริงจัง

ชางเจี้ยนเห็นเพียงความว่างเปล่า มองดูนางที่ละเมียดละไมปัดฝุ่นแล้วก็เป็นภาพที่น่าขันอยู่ไม่น้อยทีเดียว

หากแต่ชางเจี้ยนก็ไม่คิดว่านางแสร้งทำ

เขารู้ว่านางไม่ธรรมดาตั้งแต่พริบตาแรกที่เห็นนาง อีกทั้งวันแรกที่นางเข้ามาในหอคัมภีร์ นางก็สามารถเห็นของที่นี่ได้แล้ว อีกทั้งยังจัดเก็บตำราทั้งหลายกลับคืนสู่สถานที่เดิมได้อย่างไร้ข้อผิดพลาด

ความโกลาหลที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น สัมผัสได้จากทั่วทุกมุมในอารามศักดิ์สิทธิ์ทีเดียว

แต่นางเป็นเด็กที่ถูกพาตัวมาจากแดนต่ำชัด ๆ แต่กลับมีความสามารถน่าเหลือเชื่อ ดูแล้วไม่อยากเชื่อสายตาจริง ๆ

ชางเจี้ยนนัยน์ตาทะมึนลง ก่อนจะเอ่ยเรียกนางด้วยเสียงทุ้ม “อวี่ชิง”

มุมปากชิงอวี่ยกขึ้นแทบมองไม่เห็น ก่อนนางจะซ่อนมันไว้ในพริบตา

นางทำหน้าตาใสซื่อไร้พิษภัยแล้วหันไปช้า ๆ ราวกับเพิ่งรู้ว่าชางเจี้ยนมาถึง นางดูประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านหัวหน้านักบวชมาที่นี่ทำไมหรือ?”

“อืม ข้ามาดูว่าเจ้าปรับตัวได้ดีหรือไม่ เพราะอย่างไรท่านเยว่เฝินก็ฝากให้ดูแลเจ้าดี ๆ” ชางเจี้ยนไม่เผยเหตุที่มาในทันที แต่แสดงท่าทีเป็นห่วงนางก่อน

ชิงอวี่แอบหัวเราะในใจ เขาก็อดทนเก่งเหมือนกันนี่? แต่ในเมื่อเขาทำทีไม่แยแส นางยิ่งทำเป็นไม่แยแสได้มากกว่า

“ขอบคุณหัวหน้านักบวชที่เป็นห่วง ข้าปรับตัวได้ดี ที่นี่มีตำราน่าสนใจมากมาย ได้อ่านมันเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงต่อตัวข้าทีเดียว ท่านหัวหน้านักบวชใจดีมีเมตตานักที่ให้ข้ามายังสถานที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ทำให้ข้าได้เพิ่มพลังบำเพ็ญไปในตัว ข้าซาบซึ้งในบุญคุณท่านเหลือเกิน…..”

ชางเจี้ยนฟังนางพูดเพ้อเจ้อไปเรื่อยจนรอยยิ้มเริ่มบิดเบี้ยวไปบ้าง ราวกับในใจกำลังหลั่งเลือด

เป็นไปดังคาด นางสามารถเห็นตำราคัมภีร์ที่นี่ได้จริง ๆ

เดิมทีเขาแอบทดสอบนางเพื่อดูว่านางจะมีความเชื่อมโยงกับคนผู้นั้นหรือไม่ แต่ตอนนี้แม้จะทดสอบไปแล้ว เขาก็ไม่สนอีกต่อไปว่านางจะใช่หรือไม่ใช่แล้ว

สิ่งสำคัญตอนนี้คือการหาตำราโบราณที่ฟื้นฟูเนตรสวรรค์ เพราะหากนักบวชไร้ซึ่งเนตรสวรรค์แล้ว เขาจะยังมีหน้าอยู่ในอารามศักดิ์สิทธิ์ได้อีกหรือ? เขาอาจไม่สามารถอยู่รอดบนแดนเมฆาสวรรค์ได้ด้วยซ้ำ

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นเอ่ยขัดนาง “เจ้าชอบที่นี่ก็ดี เจ้าบอกว่ามีตำราน่าสนใจหลายเล่ม ได้อ่านเล่มไหนไปบ้างแล้วเล่า?”

เขาพูดเช่นนี้แล้ว เหมือนลองแหย่เท้าลงน้ำอย่างไรอย่างนั้น

แน่นอนว่าเขาถามออกไปตรง ๆ ไม่ได้ หากเรื่องที่เขาไม่สามารถมองเห็นหอคัมภีร์หลุดออกไป เขาจะยังยืนอยู่ต่อหน้านักบวชคนอื่น ๆ ได้หรือ? ดังนั้นเขาจึงต้องใช้วิธีอ้อมค้อมเช่นนี้ ค่อย ๆ ตะล่อมถามข้อมูลสำคัญเอาแทน

ชิงอวี่อดขำไม่ได้

ชางเจี้ยนผู้นี้คิดว่านางหัวทึบ ไม่รู้เลยว่าชื่อเยว่บอกทุกอย่างให้นางฟังแล้ว

แต่ในเมื่อเขาถาม นางย่อมไม่ทำให้เขาผิดหวัง

นัยน์ตาหวานล้ำของเด็กสาวแปรเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์ ก่อนมันจะกลายเป็นขีดคล้ายจันทร์เสี้ยวสองดวงแล้วเอ่ยคำขึ้น “มีตำราน่าสนใจอยู่หลายเล่มมาก ๆ บ้างก็เล่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นบนแดน บันทึกถึงสมบัติล้ำค่าเกินกว่าจะอธิบายได้ ทั้งยังมีวัตถุวิญญาณและวิชาต่อสู้มากมาย แถมยังมีรังลับของพวกอสูรวิญญาณทั้งหลาย…..”

สีหน้าบนดวงหน้าเล็กของชิงอวี่เต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ ราวกับนางดื่มด่ำกับสิ่งคำที่ตนพูดออกมาอย่างยิ่ง

ทว่าชางเจี้ยนฟังนางพร่ำเพ้อไปไร้สาระอยู่นานจนแทบคงรอยยิ้มบนหน้าไว้ไม่อยู่

ชิงอวี่แสร้งทำไม่เห็นสีหน้า พูดเพ้อเจ้อต่อไม่รู้ความ อธิบายเรื่องทุกอย่างที่เห็นว่าน่าสนใจนัก

ก็ในเมื่อเขาถามด้วยท่าทางไร้กังวลไม่แยแส นางคิดอะไรได้ก็พูดไปเรื่อยเปื่อยอย่างนี้ล่ะ

แม้ในใจชางเจี้ยนจะเริ่มคุกรุ่น แต่เขาก็ว่าอะไรไม่ได้ เพราะที่นางเพ้อเจ้อยืดยาวออกมา แม้จะไร้ประโยชน์ต่อเขา แต่ก็มีอยู่ในตำราและคัมภีร์ที่นี่จริง ๆ ไม่ได้มีเรื่องไหนที่เอามาพูดซี้ซั้ว

เขาเคยเป็นคนจัดตำราและคัมภีร์มาก่อน อย่างน้อย ๆ ครึ่งหนึ่งของสิ่งที่นางพูดมาก็เคยเป็นสิ่งที่เขาเคยอ่านมาทั้งนั้น

เขายืนเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนค่อย ๆ เอ่ยขึ้น “ชิงอวี่ เจ้าเป็นเด็กฉลาด ข้าคิดว่าคงไม่ต้องแสร้งตบตาเจ้าอีกต่อไปแล้ว”

ชิงอวี่เลิกคิ้วมองเขาอย่างประหลาดใจ

ชางเจี้ยนนัยน์ตาหม่นแสง เงียบไปนานจึงเอ่ยเสียงทุ้มขึ้น “บอกเจ้าตามตรง เพื่อหยุดยั้งคนทรยศไม่ให้ทำลายอารามศักดิ์สิทธิ์ ข้าจึงใช้วิชาต้องห้ามจนได้รับบาดเจ็บ และเพราะเหตุนั้น ตอนนี้ข้าจึงไม่อาจเห็นหอคัมภีร์ได้อีกแล้ว”

ยอมรับแล้วหรือ?

แต่….. ทำไมคำที่เขาบอกมันถึงต่างจากสิ่งที่นางได้ยินมาเลยเล่า?

คนทรยศกลับกลายเป็นผู้กอบกู้ที่บาดเจ็บสาหัสเพราะปกป้องอารามศักดิ์สิทธิ์ไว้หรือ? น่าสนใจนี่

ชิงอวี่ทำหน้าตาตกตะลึง มันดูเป็นธรรมชาตินักจนไม่อาจรู้ได้ว่านางเพียงแสร้งทำไปเท่านั้น

“มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นด้วยหรือ!? ท่านหัวหน้านักบวช! ท่านเสียสละครั้งยิ่งใหญ่เพื่ออารามศักดิ์สิทธิ์ น่าชื่นชมยิ่งนัก!”

ชางเจี้ยนมองการแสดงตบตาชั้นยอดออกนางไม่ออก เมื่อเห็นสายตาชื่นชมบูชาเช่นนั้น เขาก็ยืดหลังตรงด้วยความภาคภูมิ “เป็นหน้าที่ที่หัวหน้านักบวชควรทำอยู่แล้ว”

แต่ก็ยังไม่ลืมเหตุผลที่เดินทางมาที่นี่ เขาหันไปหานางพลางเอ่ย “เรื่องก็เป็นเช่นนี้ ข้าคิดว่าเจ้าอาจช่วยข้าหาหนังสือที่จะช่วยเรื่องการบำเพ็ญของนักบวชได้ แต่ข้ามองไม่เห็นมัน จึงต้องรบกวนให้เจ้าช่วยคัดลอกตำราเหล่านั้นแล้วนำมาให้ข้าได้หรือไม่?”

“หัวหน้านักบวชวางใจ ข้าย่อมช่วยท่านเต็มกำลัง” เด็กสาวเอ่ยด้วยใบหน้าจริงจังยิ่ง

“เช่นนั้นรบกวนเจ้าแล้ว”

หลังจากจัดการเรื่องแล้ว ชางเจี้ยนก็รู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก รู้สึกตัวเบาขึ้นมาโข

ชิงอวี่ยิ้มมุมปากเจือแววเยาะเย้ย มองแผ่นหลังของบุรุษที่กำลังเดินหายจากสายตาไป

“ในหอคัมภีร์แห่งนี้มีตำราฟื้นฟูเนตรสวรรค์อยู่จริงหรือ?”

ไม่รู้ว่าชื่อเยว่ออกมาจากมิติส่วนตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ นางกำลังจ้องมองชิงอวี่ด้วยสายตาซับซ้อน “แล้วเจ้าจะช่วยเขาจริงหรือ?”

ชิงอวี่หันมาเอ่ยพร้อมยิ้มบาง “ช่วยสิ อย่างไรก็ต้องช่วย แต่เขาจะมีความอดทนเพื่อคว้าพลังคืนมาหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง”

ทว่าชิงอวี่ไม่เคยให้ความหวังคนยามนางได้ลงมือไปแล้ว

ในหอคัมภีร์มีตำราโบราณลึกลับที่กล่าวถึงวิธีฟื้นฟูเนตรสวรรค์อยู่มากมายก็จริง

แต่โชคร้ายที่วิธีที่นางคิดใช้นั้นมาจากตำราแพทย์แดนเซียน ซึ่งนอกจากมันจะมีพลังทำลายล้างสูงแล้ว ทั่วทั้งแดนก็ไม่มีใครนอกจากชิงอวี่ที่จะสามารถช่วยรักษาดวงตาให้ชางเจี้ยนได้อีก

ตำราโบราณที่เป็นสมบัติลับล้ำค่าของตระกูลนางเมื่อชาติก่อน ใช่ว่าจะเปิดเผยให้คนรู้ได้ง่าย ๆ เสียเมื่อไหร่

ในวันนั้น ไป๋จือเยี่ยนเดินทางออกจากแคว้นมาร ใช้เวลาราวครึ่งวันก็มาถึงเขตแดนของสำนักเซียนแพทย์

เขาทั้งสับสนทั้งครุ่นคิดมาตลอดการเดินทางว่าเจ้าโหลวจวินเหยานั่นคิดอะไรอยู่กันแน่ ทำไมจู่ ๆ ถึงใจดี ส่งเขากลับบ้านมาพบหน้าบิดาเช่นนี้ได้ ทั้งยังฝากความคิดถึงไปให้ด้วย!?

แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องแปลกที่สุด ที่แปลกที่สุดในการเดินทางครั้งนี้คือการที่เขาต้องนำเจ้าเด็กนี่มาด้วยนี่ล่ะ!! เพื่ออะไรกัน!?

แถมยังพูดเสียดิบดีว่า เจ้าหนูนี่ควรได้เห็นภาพทิวทัศน์งดงามของดินแดนหลายเขตบนแดนเมฆาสวรรค์สักหน่อย!

แต่ด้วยพื้นฐานที่ไป๋จือเยี่ยนมีความเข้าใจต่อใครบางคน เขาย่อมอดรู้สึกไม่ได้ว่าใครบางคนนั้นต้องมีแผนอะไรไม่ดีไว้เป็นแน่

เขาคิดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหลือบมองเด็กหนุ่มข้าง ๆ ด้วยนัยน์ตาหรี่ลง พลันเปิดปากถาม “ทำไมเขาถึงให้พาเจ้ามาด้วยกัน?”

ชิงเป่ยได้ยินก็หันไปมองเขาสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าจะรู้ได้อย่างไร?”

“เขาไม่ได้บอกเหตุผลหรือ?” ไป๋จือเยี่ยนประหลาดใจเล็กน้อย

ชิงเป่ยเอ่ยเสียงเรียบ “เขาบอกเพียงว่าข้าควรออกมาเปิดหูเปิดตา ทำตัวให้คุ้นเคยกับวิถีชีวิตบนแดนเมฆาสวรรค์”

เท่านั้นหรือ?

ไป๋จือเยี่ยนไม่อาจทำความเข้าใจได้ สุดท้ายก็ไม่คิดปวดหัวกับมันอีก ด้วยตอนนี้คนทั้งคู่เดินทางมาถึงหน้าประตูใหญ่สำนักเซียนแพทย์แล้ว

ไป๋จือเยี่ยนน่าสงสารไม่น้อย จำนวนครั้งที่เขากลับมาที่นี่นั้นนับด้วยมือข้างเดียวได้ด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เรื่องด่วนเขาย่อมไม่ได้กลับมา ด้วยเพราะไม่อยากให้มีใครมารู้แล้วเอาไปพูดนินทาเข้า

ครั้งล่าสุดที่มาก็มาพร้อมกับโหลวจวินเหยา ทั้งยังถูกค่ายกลของท่านพ่อเคี่ยวกรำเสียโหดเหี้ยม มาครั้งนี้เขาฉลาดขึ้นแล้ว ไม่คิดจะป่าวประกาศว่าตนมาถึงให้ใครได้ยิน เพียงแค่จับห่วงสำริดบนประตูใหญ่แล้วกระแทกเบา ๆ สองครา