ตอนที่ 188 ความทะเยอทะยาน
แม้ว่าพ่อบ้านหยางจะพูดเช่นนี้ ทว่าเขากลับส่งสายตาให้ผู้อารักขาที่อยู่ด้านนอกเข้ามา ยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ด้านหลังอวี้ชิงลั่วเพื่อเสริมความกล้าหาญให้นาง
อวี้ชิงลั่วยิ้มเยาะใส่รัชทายาทที่ง้างมือเตรียมตัวลงมือกับตนเอง ยังไม่รอให้อีกฝ่ายได้ลงมือ จู่ ๆ ด้านหลังของเขาก็มีคนเข้ามากอดเข้า
“รัชทายาท โปรดคิดตรึกตรองให้รอบคอบด้วยเพคะ อย่าได้หุนหันพลันแล่นเลย ที่นี่คือตำหนักของท่านอ๋องซิวนะเพคะ” ขาทั้งสองข้างของไท่จื่อเฟยเดินไม่ตรงแล้ว ทว่านางกลับลุกขึ้นยืนอย่างสุดชีวิตเพื่อเข้ามารั้งรัชทายาทผู้ไม่คำนึงถึงผลพวงที่จะตามมาในภายหลัง
จ้าวผิงยืนร้องไห้อยู่ข้าง ๆ “ไท่จื่อเฟย สรุปแล้วท่านคือชายาของรัชทายาทหรือไม่ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ท่านยังช่วยสตรีคนนั้นอีก”
รัชทายาทขมวดคิ้ว ยกมือสะบัดไท่จื่อเฟยออกไป “ไสหัวออกไป นังแพศยา”
ข้อศอกของไท่จื่อเฟยกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง จ้าวผิงฉวยโอกาสก้าวเท้าไปด้านหน้า ทำท่าทีราวกับเผลอเหยียบลงบนหลังมือของนางโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งยังขยี้แรง ๆ อีกครั้ง ก่อนจะพิงเข้ากับตัวของรัชทายาทด้วยท่าทางอ่อนปวกเปียก
“อึก…” สีหน้าของไท่จื่อเฟยถึงกับเหยเก รู้สึกแสบจมูก น้ำตาก็ไหลพรากออกมาอีกครั้ง
รัชทายาทเห็นว่าสะบัดไท่จื่อเฟยได้แล้ว จึงคิดอยากจะปรี่ตัวเข้าไปสั่งสอนอวี้ชิงลั่วอีกหน ตอนที่หันกลับมา จึงพบว่าด้านหลังของอวี้ชิงลั่วมีผู้อารักขายืนเรียงแถวอยู่ แต่ละคนกำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยท่าทางดุร้าย ราวกับว่าหากเขากล้าลงมือ คนเหล่านั้นก็กล้าที่จะฆ่าเขาได้เช่นกัน
รัชทายาทถึงกับตกใจ สติสัมปชัญญะกลับเข้ามาในหัวของเขาอย่างรวดเร็ว ใจเต้นแรง ความขลาดเขลาที่คุ้นชินตลอดทั้งปีกลับมาอยู่บนตัวของเขาอีกครั้ง ทำให้เท้าก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเล็ก ๆ อย่างห้ามไม่อยู่
จู่ ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าคนรับใช้ที่เขาพามาที่นี่ในวันนี้มีไม่กี่คน แม้แต่ผู้อารักขาก็ถูกขวางอยู่ด้านนอก เขาจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนเหล่านี้ จึงเกิดความตื่นตระหนกและหวาดกลัวขึ้นมา ทว่าก็ยังไม่ยอมให้ตนเองเสียหน้า แผดเสียงใส่อวี้ชิงลั่วว่า “เจ้า ฝากไว้ก่อนเถอะ เจ้าไม่ให้ความเคารพเรา เราจะตัดหัวเจ้าทั้งตระกูล เราจะกลับไปรายงานต่อเสด็จพ่อ ให้คนลากตัวเจ้าไปกรมราชทัณฑ์…เหอะ…กลับ”
ระหว่างที่พูด เขาก็รีบพาตัวจ้าวผิงออกจากประตูโถงใหญ่ ครั้นขึ้นรถม้า ก็สั่งให้คนขับรถม้าเลี้ยวหัวกลับตำหนักรัชทายาททันที
“รัชทายาท…” ไท่จื่อเฟยนอนขดตัวอยู่บนพื้น ท้อง ขา ข้อศอกและหลังมือของนางปวดแสบปวดร้อนไปหมด แม้แต่จะลุกขึ้นยืนก็ลุกไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงให้นางรีบออกไปจากที่นี่
ครั้นเห็นเงาแผ่นหลังที่ดูเหมือนหนีไป ไท่จื่อเฟยก็ได้แต่ก้มหน้าอย่างหมดแรง ยิ้มด้วยรอยยิ้มขมขื่น
คนที่อยู่ภายในห้องโถงแอบมองนางด้วยความเห็นอกเห็นใจ ผู้อารักขาเหล่านั้นแม้ว่าจะไม่แสดงอารมณ์ ทว่าภายในใจกลับรู้สึกดูถูกการกระทำของรัชทายาท
อวี้ชิงลั่วโบกมือให้ทุกคนออกไป ก่อนจะก้าวเท้ามาด้านหน้า เยว่ซินก็เข้ามาช่วยกันประคองไท่จื่อเฟยให้ลุกขึ้นมา
“ขอบใจมาก” ไท่จื่อเฟยปรับอารมณ์ของตนเอง มุมปากปรากฏรอยยิ้ม จนกระทั่งมือทั้งสองข้างค้ำเข้ากับโต๊ะที่อยู่ข้าง ๆ จนกลับมายืนได้อย่างมั่นคง นางจึงดันมือของเยว่ซินที่ช่วยประคองออก แย้มยิ้มกล่าวว่า “วันนี้มารบกวนพวกท่านอย่างมาก โปรดแม่นางอย่าได้ถือสา รัชทายาทเพียงแค่สูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะ หวังว่าแม่นางจะช่วยอธิบายกับท่านอ๋องสักหน่อย เพื่อไม่ให้พวกเขาสองพี่น้องต้องมีช่องว่างระหว่างกันมากไปกว่านี้”
ครั้นกล่าวจบ นางก็พยักหน้าให้อวี้ชิงลั่วเบา ๆ เม้มปากแน่นและเดินกระเผลกเตรียมออกจากจวน
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วจนกลายเป็นปม ผ่านไปครู่หนึ่ง ตอนที่ไท่จื่อเฟยเดินไปถึงประตูนางจึงเอ่ยปากถามท่ามกลางสายตาเป็นกังวลของเยว่ซิน “ไท่จื่อเฟยมาถึงที่นี่ในวันนี้ เพราะอยากทราบถึงสถานการณ์ของเฉิงซื่อจื่อใช่หรือไม่”
ไท่จื่อเฟยถึงกับร่างแข็งทื่อ รีบหันกลับมา สีหน้าบังเกิดอารมณ์หวั่นไหวเล็กน้อย ร่างกายก็สั่นสะท้านเบาๆ ด้วย
อวี้ชิงลั่วหันกลับไป พูดกับเยว่ซินเพราะทนรอไม่ไหวว่า “ประคองไท่จื่อเฟยไปที่ห้องพัก บนตัวของนางมีบาดแผล จะให้ออกจากตำหนักอ๋องได้อย่างไรกัน?”
ไท่จื่อเฟยชะงัก ก่อนจะก้มหน้าลง กระซิบเสียงเบาอย่างจริงใจว่า “ขอบใจ”
เยว่ซินจึงรีบวิ่งไปข้าง ๆ ไท่จื่อเฟย ช่วยประคองให้นางเดินเข้าไปด้านในอย่างระมัดระวัง
พ่อบ้านรีบสั่งให้คนไปช่วยปรนนิบัติภายในห้อง ก่อนจะแอบส่ายหน้าเบา ๆ ถอนหายใจและเดินออกจากห้องโถงด้านหน้า
บนตัวของไท่จื่อเฟยเต็มไปด้วยบาดแผล ดูเหมือนว่ารัชทายาทจะลงมือรุนแรงไม่น้อย อวี้ชิงลั่วมองเพียงปราดหนึ่ง ความประทับใจที่มีต่อไท่จื่อเฟยก็เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก
เย่ซิวตู๋เคยเล่าให้นางฟังว่า สองปีมานี้หลังจากฮองเฮาหมดอำนาจ รัชทายาทก็มีแต่ไท่จื่อเฟยที่คอยตักเตือนอยู่ข้างกายมาโดยตลอด จึงทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตในช่วงสองปีมานี้ได้อย่างสงบสุข
น่าเสียดาย ไท่จื่อเฟยเป็นแค่ภรรยาคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อสามีมีรักครั้งใหม่ คำพูดของนางก็กลายเป็นคำพูดจู้จี้จุกจิกน่ารำคาญ
อวี้ชิงลั่วทำแผลให้นางไปพลางก็ขมวดคิ้วไปพลาง ช่างเป็นเรื่องยากที่จะปะติดปะต่อเย่หลานเฉิงและรัชทายาทเข้าด้วยกัน เย่หลานเฉิงคงได้นิสัยมาจากมารดาของเขา หากเป็นเหมือนกับรัชทายาท คาดว่าคงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้
“แม่นางอวี้มีความรู้ด้านทักษะทางการแพทย์ด้วยหรือ?” อารมณ์ของไท่จื่อเฟยค่อย ๆ ดีขึ้นแล้ว เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวที่ช่ำชองเช่นนี้ของอวี้ชิงลั่ว จึงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
อวี้ชิงลั่วแย้มยิ้ม นางทราบดีว่าไท่จื่อเฟยผู้นี้เป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง จึงตอบกลับไปแบบง่าย ๆ หนึ่งประโยค “รู้แค่เพียงผิวเผินเท่านั้น ไท่จื่อเฟยมีบาดแผลหลายจุด หมอในจวนแห่งนี้มีแต่บุรุษ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าให้ข้าจัดการให้น่าจะเหมาะสมกว่า”
ไท่จื่อเฟยพยักหน้าเบา ๆ ถอนหายใจลากยาวออกมาอย่างโล่งอก “แม่นางอวี้ช่างมีไหวพริบ”
อวี้ชิงลั่วไม่พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มตอบกลับไป
“แม่นางอวี้รู้สถานการณ์ของหลานเฉิงใช่หรือไม่ ท่านอ๋องเคยพูดกับแม่นางหรือ?” ไท่จื่อเฟยเห็นว่าบาดแผลบนตัวถูกพันด้วยผ้าจนเกือบเสร็จแล้ว คำพูดภายในใจก็ถูกกลั้นไว้พอสมควรแล้ว จึงเอ่ยปากถามออกมา
นางก็พอจะทราบสถานการณ์มาบ้างแล้ว นางทราบว่าเย่หลานเวยและคนอื่น ๆ ไปสร้างปัญหาให้หลานเฉิง แต่ท่านอ๋องซิวออกหน้าเพื่อช่วยเหลือหลานเฉิงไว้ นี่ก็นานมากแล้วที่พวกเขาไม่ได้เข้าไปในวัง และไม่ได้ถูกฮ่องเต้เรียกให้เข้าพบมานานมากแล้ว ตอนนี้ย่อมไม่กล้าผลีผลามเข้าไปสอบถามสถานการณ์ภายในวัง จึงเดินทางมาถึงตำหนักอ๋องซิวเพื่อสอบถามว่าหลานเฉิงสบายดีหรือไม่
อวี้ชิงลั่วนึกถึงเด็กคนนั้นที่ดูแลหนานหนานเป็นอย่างดี ภายในใจจึงอ่อนโยนลงหลายส่วน “อืม ท่านอ๋องบอกว่าเขาสบายดี ฝ่าบาทก็โปรดปรานเขามาก ตอนนี้เริ่มวางแผนที่จะฝึกฝนเขาแล้ว”
ไท่จื่อเฟยเม้มปาก ทว่าหัวคิ้วกลับขมวดเข้าหากัน กล่าวด้วยรอยยิ้มแสนขมขื่นว่า “จริงหรือ? แต่ข้ากลับคิดว่าหากฝ่าบาทไม่สนใจเด็กคนนั้นน่าจะดีกว่า”
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้ว ได้ยินอีกฝ่ายพูดต่อไปว่า “ข้าไม่ได้มีความคิดทะเยอทะยานมากมายขนาดนั้น ที่อยากเห็นหลานเฉิงประสบความสำเร็จ ขอแค่เขาปลอดภัยก็พอแล้ว ตอนนี้สถานการณ์ภายในวังก็ตึงเครียดมากพออยู่แล้ว หากหลานเฉิงได้รับความสนพระทัยจากฝ่าบาท เกรงว่ายิ่งกระตุ้นให้เกิดหายนะมากยิ่งขึ้น”
อีกอย่าง เป็นเพราะหลานเฉิงได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากฮ่องเต้ จึงทำให้รัชทายาทกลายเป็นมั่นอกมั่นใจขึ้นมา คิดว่าฮ่องเต้เริ่มกลับมาโปรดปรานตนเองอีกครั้ง พฤติกรรมหลายวันมานี้ก็เริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ
หากเป็นเช่นนี้ ตำหนักรัชทายาทคงได้กลายเป็นหนามยอกอกในสายตาของคนอื่น ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็คงต้องเกิดเรื่อง
อวี้ชิงลั่วพอจะเข้าใจได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ภายในใจ ทว่าความคิดของนางกลับแตกต่างจากไท่จื่อเฟย ในฐานะพ่อแม่พวกเขาอาจไม่มีความทะเยอทะยาน แต่ก็มิอาจขัดขวาง “ความทะเยอทะยาน” ของลูกได้
หากเย่หลานเฉิงอยากประสบความสำเร็จ และมีความใฝ่ฝัน แต่กลับถูกไท่จื่อเฟยขัดขวางไว้ แบบนั้นจะไม่เสียดายแย่เลยหรือ?
ระหว่างที่นางกำลังเงียบขรึม จู่ ๆ พ่อบ้านหยางก็รีบเดินเข้ามาด้านใน กระซิบบางอย่างข้างหูอวี้ชิงลั่ว
มุมปากของอวี้ชิงลั่วถึงกับขึงตึง หัวคิ้วผูกเป็นปมตามไปด้วย
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เริ่มสงสารไท่จื่อเฟยแล้วค่ะ อยู่ตำหนักรัชทายาทคงโดนสามีทุบตีไม่น้อยเลย มันน่าแทงเข็มพิษใส่นังขนมผิงให้ขาเดี้ยงนัก
ไหหม่า(海馬)