ในดวงตาคมคายของสือเพ่ยหลิน ค่อย ๆ มีหยาดน้ำตาก่อตัวขึ้นมาอย่างเชื่องช้า หลังจากนั้น ก็ไหลรินออกมาจากดวงตา
สีหน้าของเขาซีดขาว บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าโรคจริง ๆ ที่แปรเปลี่ยนให้เห็นอาการป่วยได้อย่างชัดเจนขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
ร่างทั้งร่างมองดูแล้วค่อย ๆ ซูบผอมลง ยิ่งไปมากกว่านั้นคือเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าสูงขึ้นมา แต่ทว่าผอมแห้ง ราวกับว่าในอีกวินาทีต่อมาก็จะสามารถล้มลงไปได้เลย
แต่ทว่าที่ทิ่มแทงสายตามากที่สุดนั่นก็คือดวงตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่เป็นประกาย สุดท้ายแล้วก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวแล้ว จึงไหลรินลงเสียอย่างนั้น ทีละหยดทีละหยด ไหลลงมาเป็นทางบนใบหน้า
เป็นครั้งแรกที่หลานเสี่ยวถางเห็นผู้ชายร้องไห้ได้น่าเวทนามากขนาดนี้ ร้องไห้ราวกับ ‘ลี่ฮวาที่เปียกฝน’
เธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น “คุณร้องไห้ทำไมคะ? ไม่ได้บอกว่าให้คุณแค่เรียกว่าอาสะใภ้ครั้งหนึ่งไม่ใช่หรือคะ? ทำราวกับว่าฉันไปรังแกคุณเข้าเสียอย่างนั้นแหละ!”
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงอายุมากกว่าเธอปีสองปี ท่าทางเช่นนี้ กลับกันราวกับว่าเขาอายุน้อยกว่าเธอเสียอีก ท่าทางราวกับว่าถูกที่บ้านทิ้งเอาไว้ที่ข้างทาง
สือเพ่ยหลินได้ยินคำพูดของหลานเสี่ยวถาง ริมฝีปากขยับไปมา ในที่สุดแล้วก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาเลย
เขาใช้สายตาเช่นนั้น ที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตามองเธอ ดื้อรั้น อดกลั้น น่าเวทนา ได้รับบาดเจ็บ
ที่หลานเสี่ยวถางนึกไม่ถึงเลยนั่นก็คือเขาจะมีท่าทางเช่นนี้ ทำเอาเสียเธอรู้สึกไปไม่เป็นทำอะไรไม่ถูกเลยเล็กน้อยราวกับว่าขึ้นอยู่บนหลังเสือแล้วยากที่จะลงมา
เธอในตอนนี้ราวกับว่ากำลังแลกเปลี่ยนนิสัยและบทบาทกับเขาเลย ทำให้เธอรู้สึกว่าตนเองนั้นราวกับเป็นคนคนหนึ่งที่ไปรักแกหญิงสาวคนหนึ่งเลยก็ไม่ปาน……
เธอทั้งหงุดหงิดทั้งขยี้ผมไปมาอย่างหมดคำจะเอ่ย ถึงแม้ว่าจะรู้สึกปกปิดไม่ได้เล็กน้อย อีกทั้งยังคงเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “เอาละค่ะ ฉันจะช่วยคุณแล้วค่ะ ผู้ชายทั้งคนมาร้องไห้แบบนี้ให้ใครดูกันคะ?!”
สือเพ่ยหลินกลับไม่ได้เป็นเพราะว่าคำพูดที่หลานเสี่ยวถางบอกว่าจะช่วยเขาคำพูดนั้นกลับทำให้เขาดีอกดีใจด้วยความลิงโลดเลยแม้แต่นิดเดียว เขายังคงยืนอยู่ที่นั่น ยืนเงียบ ๆ ไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำเลย
เมื่อครู่นี้ เขาไม่ได้เสแสร้ง แต่ทว่ากลับรู้สึกทุกข์ทรมานมากจริง ๆ
เขาเหยียบความเคร่งขรึมของตนเองลงด้วยฝ่าเท้า แค่ร้องขอเธอให้กลับไปหวนนึกถึงเรื่องในอดีตสักครั้ง
ตอนนี้ แทบจะเป็นเพราะเขาชนะแล้ว แต่ทว่า กลับไม่รู้สึกดีใจมากนัก แม้กระทั่ง กลับทำให้เขารู้สึกอับอายขึ้นมาเล็กน้อยแล้วแทน
หลานเสี่ยวถางเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร นึกว่าสือเพ่ยหลินยังคงไม่เชื่อ
เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว เธอจึงเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ตอนนี้ฉันจะโทรไปจัดการเรื่องการรักษาของคุณเองค่ะ แต่ทว่า ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ยินคุณเรียกอย่างนั้นก็ตามที แต่ว่านะคะ ความหมายของฉันก็แสดงออกไปอย่างชัดเจนแล้วล่ะนะ”
เธอส่งกระดาษทิชชูไปให้เขาแผ่นหนึ่ง “สือเพ่ยหลิน ฉันช่วยคุณ ไม่เคยต้องการการตอบแทนอะไรเลย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราสองคนไม่ติดค้างกันแล้วนะคะ”
พูดจบ หลานเสี่ยวถางก็โทรศัพท์ไปหาเย่เหลียนอี
หลังจากที่แลกเปลี่ยนรายละเอียดกันอย่างชัดเจนแล้ว เธอจึงหันไปเอ่ยกับสือเพ่ยหลินว่า “หลังจากนี้การรักษาของคุณ ทางฝั่งของแบรนด์ออเนอร์จะส่งผู้เชี่ยวชาญมารับผิดชอบคุณค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะกลับจีนแล้ว เรื่องของคุณหลังจากนี้ ไม่ต้องมาหาฉันแล้วนะคะ”
พูดจบ หลานเสี่ยวถางก็หมุนตัวจากไป
จนกระทั่งหลานเสี่ยวถางเดินออกไปได้หลายนาทีแล้ว สือเพ่ยหลินจึงราวกับว่าพึ่งจะตื่นจากภวังค์กลับมาเลยก็ไม่ปาน เขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ก่อนจะสาวเท้าก้าวไปหยุดอยู่ที่หน้าต่าง
ในตอนนั้นเอง หลานเสี่ยวถางพึ่งจะเดินลงไปถึงที่ชั้นล่างแล้ว เดินผ่านทุ่งหญ้าไป แล้วเดินไปหยุดอยู่ที่ประตูของรถยนต์คันหนึ่ง
เขามองเธอเปิดประตูรถออก เรียวนิ้วมือของเขาตกอยู่ที่กระจกของหน้าต่าง ปลายนิ้วลูบไล้ไปมาเบา ๆ ตรงที่ผมของหลานเสี่ยวถาง หลังจากนั้น จนกระทั่งตัวรถเคลื่อนออกไป แล้วหายออกไปจากสายตาของเขา
“เสี่ยวถางครับ รอผมกลับไปนะ”
เขาเอ่ยขึ้นอย่างเงียบ ๆ ว่า “รอผมให้รักษาหายดีก่อนแล้วหลังจากนั้นก็จะกลับไป อีกทั้งจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วนะครับ……”
ตอนเที่ยง หลานเสี่ยวถางไปที่ออเนอร์ กำลังจะรับประทานข้าวพร้อมกับเย่เหลียนอี ในตอนนั้นเอง สือมูเฉินก็โทรเข้ามาบอกว่าทางฝั่งเขายังมีเรื่องที่จะต้องให้จัดการอีกไม่เท่าไหร่แล้ว จะรีบตามไปพบคุณแม่ยายในทันทีเลย
หลานเสี่ยวถางตกปากรับคำไป ก่อนจะทานข้าวไปพลาง แล้วหันไปพูดคุยกับเย่เหลียนอีไปพลาง
“ถางถางจ๊ะ วันนี้ แม่พาลูกมาพบคนคนหนึ่งด้วยแหละ” เย่เหลียนอีเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัย
“ใครหรือคะ?” หลานเสี่ยวถางเบิกตากว้าง ทันใดนั้นเองหัวใจก็หนักอึ้ง คงจะไม่ใช่คุณตาของเธอหรอกใช่ไหม?
ถึงแม้ว่าจะมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดโดยตรง แต่ทว่า เธอก็เคยได้ยินชื่อเสียงเรียกนามของ ‘นักเทววิทยา’ มาบ้าง นั่นคือบทบาทในทางสายดำที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวเลยเชียวนะ!
เมื่อเห็นสีหน้าของหลานเสี่ยวถางแล้ว เย่เหลียนอีก็เดาได้แล้ว เธอหัวเราะก่อนจะเอ่ยว่า “วางใจเถอะจ้ะ ไม่ใช่คุณตาของลูกหรอกนะ! ตอนนี้ ก็ยังไม่สามารถให้เขาได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของลูกได้ก่อนอยู่ดี มิฉะนั้นแล้ว ถ้าหากว่าขังลูกเอาไว้ที่นี่ขึ้นมาล่ะจะทำอย่างไร?”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วคือ……” หลานเสี่ยวถางนึกถึงอีกคนหนึ่ง หัวใจก็เริ่มตื่นตระหนกขึ้นมากกว่าเดิมแล้ว
“ฮี่ฮี่ เป็นน้องชายของลูกเองจ้ะ เดาถูกหรือเปล่า?” เย่เหลียนอีเอ่ย “เขาพึ่งจะกลับมาวันนี้ตอนเช้าน่ะ เพราะช่วงเวลาต่างกันตอนเช้าเลยหลับไปก่อนแล้ว เกรงว่าอีกไม่นานก็จะตื่นขึ้นมาแล้วล่ะนะ……”
ที่แท้ก็เป็นน้องชายที่เคยได้ยินมาก่อน……หลานเสี่ยวถางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “ได้ยินคุณพ่อบอกมาว่า เขาค่อนข้างเอาแต่ใจ จะสามารถพูดคุยกันง่าย ๆ ได้ไหมคะ……”
บอกตามตรง เธอยังไม่เคยได้คลุกคลีกับเด็กชายที่อายุน้อยกว่าเธอสองสามปีมาก่อนเลย หลานเสี่ยวถางคิดไปคิดมาก็ล้วนแล้วแต่รู้สึกผิดเล็กน้อย
“ถ้าหากว่าเขาไม่มีมารยาทกับลูก แม่จะตีเขาเองจ้ะ!” เย่เหลียนอีเอ่ยพลางยืนเอว “ถางถาง วางใจเถอะนะ บ้านของพวกเรา ให้ความสำคัญกว่าผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย!”
หลานเสี่ยวถางถูกเธอหยอกล้อจนหัวเราะ อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า “ค่ะ”
หลังจากที่ทั้งสองคนรับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว เย่เหลียนอีก็พาหลานเสี่ยวถางไปเดินเล่นที่ลานกว้าง
ในตอนนั้นเอง สือมูเฉินมาแล้ว ก่อนจะทักทายเข้ากับเย่เหลียนอี ในขณะเดียวกันนั้นเอง คนรับใช้ก็เข้ามาแจ้งให้กับเย่เหลียนอีทราบ ว่าคุณชายน้อยตื่นแล้ว
“คุณแม่คะ น้องชายของฉันชื่ออะไรหรือคะ?” หลานเสี่ยวถางเอ่ย “ประเดี๋ยวฉันไปพบเขาแล้วจะ……”
“เขามาแล้วล่ะ——” เย่เหลียนอีชี้ไปที่ไกล ๆ ที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินมาก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ถางถาง ชื่อของน้องชายลูกก็เป็นคุณพ่อเขานะที่ตั้งให้ ชื่อว่าหลานจื่อเฉินจ้ะ”
หลานเสี่ยวถางมองไปตามทางที่เย่เหลียนอีชี้ไป ก่อนจะเห็นคนคนหนึ่งที่สวมใส่ชุดเบสบอล เป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ในมือเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ ก่อนจะเดินมาด้วยท่าทางเกียจคร้าน
ตามมาด้วยเขาที่เข้ามาใกล้ หลานเสี่ยวถางเห็นว่าคิ้วและตาของเขาแทบจะคล้ายกับบิดาของพวกเขาเป็นอย่างมาก คิ้วนั้นคมเข้มมาก ๆ อีกทั้งดวงตาก็ยังแฝงไปด้วยสีอำพันเล็กน้อย ที่คล้ายไปกว่านั้นเป็นของเย่เหลียนอี ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สีดำสนิท แต่ทว่า สายตานั้นกลับลึกซึ้งเป็นอย่างมาก
ริมฝีปากของเขาราวกับว่ามีรอยยิ้มที่จะยิ้มก็ไม่ยิ้มประดับอยู่ ในตอนที่เดินเข้ามาหา สบตามองหลานเสี่ยวถางโดยไม่ปกปิดสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว ก่อนจะประเมินขึ้นลงไปทั่วทั้งร่าง
“จื่อเฉิน เรียกพี่สาวกับสามีของพี่สาวสิลูก!” เย่เหลียนอีหันไปเอ่ย
หลานจื่อเฉินไม่ได้เอ่ยอะไร แต่ทว่ากลับสบตามองหลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินแล้วเดินไปรอบ ๆ อยู่รอบหนึ่ง หรี่ตาลง ก่อนจะเอ่ยเป็นภาษาฝรั่งเศสขึ้นมาหนึ่งประโยค
หลานเสี่ยวถางไม่เคยได้เรียนภาษาฝรั่งเศสมาก่อนเลย อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเย่เหลียนอี
เย่เหลียนอีกำลังที่จะสั่งสอนเจ้าโง่ตัวน้อยนี้อยู่พอดี แต่ทว่าสือมูเฉินกลับเอ่ยตอบกลับไปเป็นภาษาฝรั่งเศสอย่างราบรื่นว่า “ที่กล่าวถึงรูปลักภายนอกกับท่าทาง อย่างมากที่สุดก็เป็นเพราะแค่การพบหน้ากันครั้งแรกเท่านั้น”
หลานจื่อเฉินนึกไม่ถึงเลยว่าสือมูเฉินจะตอบเขากลับได้อย่างทันควัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาก็ใช้ภาษาเยอรมันเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “แม้กระทั่งประโยคพื้นฐานง่าย ๆ ของภาษาฝรั่งเศสเธอยังไม่เข้าใจเลยสักนิด”
สือมูเฉินเอ่ย “ถึงแม้ว่านายจะเข้าใจ แต่ทว่าก็เป็นเพราะว่าเกิดที่ออเนอร์ ถ้าหากว่านายได้ใช้ชีวิตแบบเดียวกันกับเธอ บางทีแม้กระทั่งตัวอักษรภาษาอังกฤษสักตัวนายก็อาจจะไม่รู้เลยก็ได้นะ”
หลานจื่อเฉินเลิกคิ้ว “คุณปกป้องเธอมาเลยนะครับ แต่ทว่า เมื่อครู่นี้ผมก็แค่ลองทดสอบดูก็เท่านั้น คุณยังถือว่ามีของจริงอยู่นะครับเนี่ย” พูดไป เขาก็ยกยิ้มมุมปากไปมา “คุณเข้าตาผมแล้วล่ะ!”
สือมูเฉินเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบว่า “ไม่ว่านายจะทดสอบหรือว่าอะไรก็ตาม ฉันก็ต้องปกป้องเธออยู่แล้ว เป็นเพราะว่าเธอเป็นภรรยาของฉัน ฉันไม่อาจเป็นเพราะกลัวว่าจะเข้าตา แล้วละทิ้งหน้าที่และความรับผิดชอบของตนเองหรอกนะ”
หลานจื่อเฉินใช้สายตาประเมินเขาไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็หมุนตัวกลับไป ก่อนจะเดินเข้าไปหาหลานเสี่ยวถางที่ทางด้านข้าง หลังจากนั้นก็ยกแขนขึ้นมา แล้ววางแขนคล้องเอาไว้ที่ไหล่ของหลานเสี่ยวถาง หลังจากนั้นก็เอ่ยภาษาจีนขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจว่า “ฮัลโหล พี่สาว!”
หลานเสี่ยวถางรู้สึกไม่เป็นตัวเองเล็กน้อย เธอหันสายตาไปมองคนที่สูงกว่าตนเองหนึ่งศีรษะ ใบหน้ารูปไข่ขาวนวล เป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบต้น ๆ “จื่อเฉิน สวัสดี……”
เย่เหลียนอีเห็นว่าพี่สาวน้องชายทั้งสองคนรู้จักกันแล้ว ก่อนจะประคองหน้าพากองตนเอง ยังดีนะ เจ้าพวกนี้ไม่มีปัญหาหรือก่อความวุ่นวายอะไร ดังนั้นจึงถือว่ากัดฟันผ่านไปได้ก็แล้วกัน
เธอเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ทำไปถึงเรียกพี่สาวอยู่คนเดียวล่ะ ทำไมไม่ทักทายสามีของพี่สาวด้วย?”
“ให้ผมเรียกสามีของพี่ ถ้าอย่างนั้นแล้วก็ต้องชนะผมก่อนน่ะนะ!” หลานจื่อเฉินยังคงคล้องแขนอยู่ที่ไหล่ของหลานเสี่ยวถาง ก่อนจะหันไปเอ่ยกับสือมูเฉินว่า “ทักษะการยิงปืน ว่ายน้ำ การทดสอบในสถานการณ์ยากลำบาก คุณเลือกมาหนึ่งอย่างได้เลย!”
หลานเสี่ยวถางเคยได้ฟังเย่เหลียนอีเล่าถึงสภาพแวดล้อมในการเติบโตขอของหลานจื่อเฉิน อีกทั้งยังรู้ลึกอีกด้วยว่าพวกนี้เป็นภาควิชาบังคับเรียนของเขา หัวใจก็เริ่มรู้สึกกังวลแทนสือมูเฉินแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะคิดเข้าไปห้ามปรามเอาไว้
ทันใดนั้นเอง สือมูเฉินกลับเอ่ยปากขึ้นมาก่อนว่า “นอกจากทักษะการยิงปืน ที่เหลือก็ได้หมด”
เขาไม่เคยเล่นปืนมาก่อนเลยจริง ๆ เขาก็ไม่เคยมีความจำเป็นที่จะต้องใช้มันด้วย ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ตนเองไม่ค่อยถนัดเท่าใดนัก
“ถ้าอย่างนั้นก็ว่ายน้ำแล้วกัน การทดสอบในสถานการณ์ยากลำบากคงจะยากมากต่อคุณ!” หลานจื่อเฉินพูดไป ก่อนจะหันไปมองทางสือมูเฉินอีกครั้ง “แต่ทว่านี่คุณอาจจะอายุมากกว่าผมเกือบสิบปีเลยใช่ไหม? ดังนั้นแล้ว อย่ามาพูดว่าผมรังแกคนแก่นะ ว่ายน้ำไปกลับห้าสิบเมตร ผมต่อให้คุณสองวินาทีเลย!”
เย่เหลียนอีขมวดคิ้ว “จื่อเฉิน นั่นคือสามีของพี่สาวลูกนะ ลูกเป็นเจ้าบ้าน ทำไมถึงปฏิบัติต่อแขกแบบนี้ล่ะ?”
“แม่ครับ คุณแม่ก็รู้นี่ครับ ผมคนนี้ถ้าหากจะให้ยอมรับใครสักคนหนึ่ง จำเป็นที่จะต้องทำตามกฎที่ผมกำหนดนะ!” หลานจื่อเฉินเอ่ย “ไม่แข่งกันก็ได้ อีกทั้งผมก็ไม่ได้อะไรด้วยอยู่เลย!”
“สระว่ายน้ำอยู่ที่ไหน?” สือมูเฉินเอ่ยปากถาม
“เยี่ยมยอด!” หลานจื่อเฉินเดินนำทางไปด้านหน้า “ตามผมมาสิ!”
ทั้งสี่คนมาถึงที่สระว่ายน้ำแล้ว สือมูเฉินกับหลานจื่อเฉินเปลี่ยนชุดว่ายน้ำกันแล้ว หลานจื่อเฉินเอ่ยขึ้นมาว่า “แม่ครับ ช่วยจับเวลาหน่อยครับ”
“รู้แล้วจ้ะ” เย่เหลียนอีสบตามองลูกชายในสระว่ายน้ำที่ถูกตามใจโดยบิดาของตนเองอย่างหมดคำจะกล่าว
หลานเสี่ยวถางยืนอยู่ทางด้านหน้าของสือมูเฉิน ก่อนจะเอ่ยด้วยความกังวลเล็กน้อย “มูเฉินคะ ก่อนหน้านี้คุณได้รับบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบไหมคะ? ถ้าหากว่าว่ายน้ำไม่ไหว ก็ไม่ต้องสนใจแล้วค่ะ สุขภาพแข็งแรงสำคัญที่สุดนะคะ!”
“เสี่ยวถาง วางใจเถอะครับ ก่อนหน้านี้ศีรษะได้รับบาดเจ็บจากการผ่าตัดเล็ก ๆ หายดีไปตั้งนานแล้วล่ะครับ” สือมูเฉินลูบเส้นผมของหลานเสี่ยวถางไปมา ก่อนจะยิ้มให้เธอเบา ๆ “ยืนให้กำลังใจผมจากบนฝั่งด้วยนะครับ”
หลานจื่อเฉินเห็นท่าทางรักใคร่กันของทั้งสองคนที่อยู่ทางฝั่งด้านข้าง ริมฝีปากก็ฉีกยิ้มขึ้นมาทันที
เมื่อก่อน เขาเคยได้ยินเย่เหลียนอีเอ่ยถึงด้วย ว่าอันที่จริงแล้วตนเองยังมีพี่สาวอีกคนหนึ่ง แต่ทว่า หลายปีที่ผ่านมานี้ไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตาหรือได้ยินเสียงเลย อีกทั้งตามการรายงานของปีก่อนนั้น แทบจะเป็นในตอนที่เธอยังไม่ถึงหนึ่งขวบดีเลย กลับหายตัวไปเสียแล้ว
ในตอนนั้นเอง ถึงแม้ว่าเขากับเธอจะกำเนิดมาจากคนคนเดียวกัน แต่ทว่า หัวใจก็ยังคงรู้สึกมืดมิดเล็กน้อย
ผลคือ ก่อนหน้านี้สองเดือนกว่า จู่ ๆ มารดาก็มาบอกกับเขา ว่าพี่สาวของเขานั้นหาพบแล้ว
ในตอนนั้นเอง หัวใจของเขาก็สับสนขึ้นมาเล็กน้อย
ไม่ยอมรับก็ไม่ได้ ว่าเขานั้นอยากมีพี่สาวคนหนึ่งมากเลยจริง ๆ
เป็นเพราะว่า ในสภาพแวดล้อมที่เขาเติบโตมา ผู้หญิงรอบกายมีจำนวนน้อย ทักษะการยิงปืนนั้นยากมาก การกระทำในการลงมือนั้นเด็ดขาดรวดเร็ว ดังนั้นแล้ว พี่สาวในจินตนาการของเขา ก็จะเก่งกาจแบบนี้แหละ
แต่ทว่า เขาหลังจากที่ได้ยินมารดาบรรยายแล้ว ถึงจะได้รู้ว่า ที่แท้แล้ว พี่สาวในจินตนาการที่สมบูรณ์แบบ กลับเป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง
เธอสามารถได้รับบาดเจ็บได้ สามารถหวาดกลัว สามารถเดินเข้าไปในเส้นทางที่ไม่มีทางออกได้
แม้กระทั่ง เธอยังดูคล้ายราวกับว่าเป็นคนที่ชีวิตยุ่ง ๆ คนหนึ่งเลยก็ไม่ปาน แต่งงานเร็ว ครั้งแรกที่แต่งงาน ก็ยังพบเจอกับผู้ชายสารเลวแล้ว แต่ทว่าสามีในตอนนี้ ก็ถือว่าในทุก ๆ ด้านนั้นไม่เลวเลยทีเดียว
ความฝันของเขาแตกสลาย รู้สึกไม่ชอบใจเล็กน้อย แต่ทว่า เป็นเพราะว่าภายในสายเลือดมีความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจนนั้นอยู่ เขาก็เลยยังอยากที่จะเข้าไปใกล้
ดังนั้นแล้ว เขาจึงนำเรื่องที่เขาไม่ชอบใจทั้งหมดไประบายกับคนนอกคนหนึ่งเสีย——ซึ่งนั่นก็คือบนร่างของสือมูเฉินที่เป็นสามีของพี่สาวนั่นเอง
เขาอยากที่จะโชว์ให้เขาได้ดูเป็นขวัญตาเสียหน่อย!