ตอนที่ 238 ศิษย์หมอผี

ที่เขาใช้คำว่า ‘พวกเรา’ มิได้เป็นการพูดเพื่อเอาใจสามสำนัก หากแต่เป็นเพราะเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของเขาด้วยเช่นกัน

ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่จะได้สามสำนักมาเป็นกำลังเสริมของเขา ทว่าในแต่ละปียังต้องมอบเงินให้สำนักเบญจคีรีอย่างน้อยห้าแสนเหรียญทองด้วย มิใช่ให้แค่เพียงครั้งเดียว แต่ต้องให้ทุกปี เงินของปีนี้มอบให้ไปแล้ว แต่เงินที่เหลืออยู่ในมือตอนนี้ไม่พอสำหรับปีหน้า เขาเองก็จำเป็นต้องหาลู่ทางทำเงินที่มั่นคงสักทางเช่นกัน

การที่ต้องมอบกำไรส่วนใหญ่ที่ได้จากการขายสุราให้สำนักหยกสวรรค์ไปมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เขาไม่มีความสามารถในการดูแลจัดการ หากไม่อาศัยคนที่มีอำนาจคอยปกป้อง เขาก็จะถูกรุมทึ้งกัดกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกทันที

หากว่ากันในอีกแง่หนึ่งแล้ว เขาก่อเรื่องขึ้นมามากมายขนาดนั้น การที่ยังสามารถอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัยได้ ความจริงสำนักหยกสวรรค์ก็คือร่มกันภัยของเขา ส่วนกำไรที่ได้จากการขายสุราก็นับเป็นค่าคุ้มครอง

……

ภายในคุกใต้ดิน เซ่าซานเสิ่งโบกมือส่งสัญญาณให้ผู้คุมเร่งมือ

ประตูห้องขังเปิดออก เซ่าซานเสิ่งเดินเข้าไป ประสานมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณชายใหญ่ ไม่เป็นไรแล้วขอรับ ท่านผู้ว่าการมีคำสั่งลงมาแล้ว ท่านออกมาได้แล้วขอรับ”

เซ่าผิงปอที่ยังคงนั่งจัดการเอกสารอยู่หน้าโต๊ะผงะไปเล็กน้อย เอ่ยถาม “ข้าคาดการณ์ไว้ว่าจะต้องถูกขังไปหลายเดือน เหตุใดถึงปล่อยข้าออกไปเร็วขนาดนี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

เซ่าซานเสิ่งกล่าวว่า “สำนักเขามหายานไม่ดึงดันที่จะเอาผิดแล้ว คุณชายย่อมต้องออกไปได้แล้วขอรับ”

เซ่าผิงปอเอ่ยว่า “ผิดปกติ ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ มิเช่นนั้นสำนักเขามหายานไม่มีทางรีบปล่อยตัวข้าเร็วขนาดนี้”

เซ่าซานเสิ่งลังเลเล็กน้อย โบกมือสื่อให้ผู้คุ้มกันด้านนอกถอยออกไป จากนั้นเอ่ยว่า “ไม่ว่าจะเป็นทางหอหิมะเหมันต์ หรือว่าทางหนิวโหย่วเต้าก็ล้วนไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เห็นได้ชัดว่าการคาดการณ์ของคุณชายใหญ่ถูกต้อง ดังนั้นสำนักเขามหายานจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องคุมขังคุณชายใหญ่ต่อไปครับ”

เซ่าผิงปอวางพู่กันลง ลุกขึ้นเดินออกมา “ไม่ สำนักเขามหายานจะต้องจับตาดูให้นานกว่านี้อีกหน่อยถึงจะยอมวางใจได้แน่นอน พูดมา ด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

เซ่าซานเสิ่งมีท่าทางเหมือนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

เซ่าผิงปอมองดูท่าทีของเขาพลางใคร่ครวญดูเล็กน้อย จู่ๆ ก็ยิ้มขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “เห็นทีว่าคงมิใช่เรื่องดีอันใด ทั้งยั้งเป็นการพุ่งเป้ามาที่ข้าด้วย ด้านนอกปรากฏข่าวลือขึ้นแล้ว บอกว่าข้าสังหารอนุหร่วนกระมัง?”

เซ่าซานเสิ่งเงยหน้าขึ้นทันที “คุณชายทราบได้อย่างไรขอรับ?”

เซ่าผิงปอหรี่ตาลง “ยังต้องให้พูดอีกหรือ? หนิวโหย่วเต้ารู้เรื่องนี้ดี ไหนเลยจะยอมพลาดโอกาสสาดน้ำสกปรกใส่ข้าได้? ทันทีที่ปรากฏข่าวลือขึ้น แม่ทัพนายกองตั้งแต่บนจรดล่างต้องมาสืบถามความจริงแน่ หากข้าถูกคุมขังอยู่ที่นี่ไม่โผล่หน้าไป นั่นก็เท่ากับเป็นยืนยันแล้วว่าข่าวลือเป็นความจริง ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร? เช่นนั้นแม่ทัพนายกองตั้งแต่บนจรดล่างต้องใคร่ครวญถึงเรื่องเรื่องหนึ่งแน่ นั่นคือถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับข้า ท่านพ่อก็จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไร้ผู้สืบทอด ในอนาคตผู้ใดจะมารับช่วงต่อตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลเป่ยโจวเล่า? เมื่อถึงเวลานั้นจิตใจคนจะสั่นคลอน ต้องเกิดเหตุการณ์แอบแก่งแย่งชิงอำนาจกันอย่างลับๆ แน่ สำนักเขามหายานย่อมไม่อยากให้มีคนมาฉวยโอกาสตอนที่มณฑลเป่ยโจวกำลังวุ่นวายก่อเรื่องขึ้นมา ไม่แน่ว่าลับหลังอาจจะมีคนไปแสดงไมตรีต่อสำนักเขามหายานเพื่อหวังว่าจะได้แทนที่ท่านพ่อแล้วก็เป็นได้ ทำให้สำนักเขามหายานได้รับแรงกดดัน สำนักเขามหายานทราบดีว่ามณฑลเป่ยโจวในตอนนี้ ยังไม่มีผู้ใดที่มากบารมีพอจะแทนที่ท่านพ่อได้ หากเปลี่ยนคนอื่นมาปกครองมณฑลเป่ยโจว จะมีใครทำให้ผู้อื่นยอมเชื่อฟังได้หรือ? เป่ยโจวต้องโกลาหลแน่นอน ความกลัวในเรื่องนี้ต่างหากที่เป็นเหตุผลที่ปล่อยตัวข้าออกไปก่อนกำหนดกระมัง?”

เซ่าซานเสิ่งประสานมือกล่าวด้วยสีหน้าเลื่อมใส “คุณชายใหญ่ปราดเปรื่องนัก ปรากฏข่าวลือขึ้นจริงๆ ขอรับ แม่ทัพในเขตต่างๆ ของมณฑลเป่ยโจวพากันเข้าเมืองมา ต้องการพบท่านผู้ว่าการ เห็นได้ชัดว่าต้องการมาสืบหาความจริง ตอนนี้ทุกคนต่างอยู่ในห้องโถงว่าราชการแล้ว ท่านผู้ว่าการให้ท่านออกไปพบพวกเขาด้วยกันขอรับ”

เซ่าผิงปอพยักหน้ารับ สื่อว่าเข้าใจแล้ว

เพียงแต่เซ่าซานเสิ่งลังเลขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “คุณชายใหญ่ ตามที่ได้รับรายงานมา ข่าวลือที่พุ่งเป้ามายังคุณชายใหญ่กำลังแพร่กระจายไปตามแคว้นต่างๆ ด้วยขอรับ”

เซ่าผิงปอขบกรามจนหน้าตึง กำมือป้องปากไอ ‘แค่กๆ’ ออกมาเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม “ข้าสมควรดีใจสิถึงจะถูก”

เซ่าซานเสิ่งมึนงง “ดีใจหรือขอรับ?”

เซ่าผิงปอกล่าวว่า “แปลว่าข้าได้สร้างแรงกดดันให้หนิวโหย่วเต้าแล้วเหมือนกันอย่างไรล่ะ นี่เท่ากับว่าหนิวโหย่วเต้าให้การยอมรับข้า เขาคิดว่าข้ามีความสามารถพอจะขึ้นเป็นใหญ่ได้ ดังนั้นจึงคิดหาทางกำจัดและขัดขวาง ดูเหมือนพี่จ้าวจะกล่าวไว้ไม่ผิดเลย” พูดจบก็เดินออกมาจากห้องขัง

เซ่าซานเสิ่งพยักหน้ายอมรับ จากนั้นรีบเดินตามไป รายงานต่อว่า “คุณชายใหญ่ สำนักเขามหายานกำลังออกคำสั่งขับไล่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ออกจากมณฑลเป่ยโจวขอรับ”

เซ่าผิงปอที่เดินไปตามทางเดินในคุกชะงักฝีเท้า หันกลับไปเอ่ยถาม “หมายความว่าอย่างไร?”

เซ่าซานเสิ่งเอ่ยว่า “สำนักเขามหายานคิดว่าปมความแค้นระหว่างท่านและหนิวโหย่วเต้ามีสาเหตุมาจากเจ้าสำนักถัง คิดว่าหากเจ้าสำนักถังยังอยู่ที่นี่ ท่านและหนิวโหย่วเต้าก็จะสู้กันต่อไป เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อมณฑลเป่ยโจว ดังนั้นจึงกดดันให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ออกไปจากมณฑลเป่ยโจวขอรับ”

เซ่าผิงปอขมวดคิ้ว “เหลวไหล! คนอื่นไม่รู้ หรือว่าเจ้ายังไม่รู้ด้วย? บิดาของถังอี๋เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับจ้าวสยงเกอ สายสัมพันธ์แน่นแฟ้น พอสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เผชิญอันตรายจ้าวสยงเกอก็ออกหน้าจัดการให้ เพียงเท่านี้ก็พอจะรู้แล้วว่าจ้าวสยงเกอให้ความสำคัญกับถังอี๋แค่ไหน สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีประโยคต่อข้ามาก จะปล่อยไปไม่ได้!”

เซ่าซานเสิ่งถอนหายใจ “สำนักเขามหายานต้องการทำเช่นนี้ แล้วจะทำอย่างไรได้ล่ะขอรับ?”

เซ่าผิงปอเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะเดินอาดๆ ออกไปทันที “พวกเขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”

ทั้งสองเดินตามกันออกมาจากคุกใต้ดิน ตรงไปที่เรือนชั้นใน ไปพบเซ่าเติงอวิ๋น

สองพ่อลูกพบหน้ากันอีกครั้ง เซ่าผิงปอมีสีหน้าราบเรียบ

เซ่าเติงอวิ๋นสีหน้าคลุมเครือ ความสงบนิ่งของบุตรชายทำให้ดวงตาเขาฉายแววซับซ้อนยิ่ง

เขาลุกจากที่นั่ง ไม่พูดอะไรเลยสักคำ เดินออกไปด้านนอกโถง เซ่าผิงปอรีบหลีกทางให้ ค้อมตัวลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ จากนั้นรีบเดินตามหลังผู้เป็นบิดาไป

พอพ้นประตูออกมา สีหน้าและแววตาของเซ่าเติงอวิ๋นพลันกลับมาสุขุมเยือกเย็น ท่วงท่าน่าเกรงขาม

เซ่าผิงปอที่เดินตามหลังดูไม่ธรรมดา ยังคงมีภาพลักษณ์ของคุณชายใหญ่ผู้หล่อเหลาสง่างาม

ในโถงว่าราชการ สองพ่อลูกเดินตามกันเข้ามา เหล่าแม่ทัพที่อยู่สองฟากฝั่งพากันทำความเคารพ ขณะเดียวกันก็ทำการเพ่งพินิจสังเกตการณ์

เซ่าเติงอวิ๋นนั่งลงในตำแหน่งสูงสุด เซ่าผิงปอยืนอยู่ด้านข้าง

การหารือเรื่องการเมืองการปกครองของมณฑลเป่ยโจวเริ่มต้นขึ้น เซ่าผิงปอยังคงทำเหมือนทุกที คอยสอบถามหรือแสดงความคิดเห็นอยู่เนืองๆ ดูไม่เหมือนคนที่ถูกคุมขังไว้เลย

หลังจากหารือเรื่องราชการเสร็จ ขณะที่กำลังจะแยกย้ายกันไป ในตอนที่เซ่าเติงอวิ๋นกำลังเอ่ยสรุป จู่ๆ เขาพลันกวาดมองทุกคนด้วยดวงตาที่ดุดันดั่งพยัคฆ์ เอ่ยเสริมด้วยเสียงก้องกังวาน “ระยะนี้ภายนอกมีข่าวลือหนาหู เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจสร้างปัญหา หากมณฑลเป่ยโจววุ่นวาย ผู้ใดจะได้ประโยชน์ที่สุดก็ย่อมเป็นคนผู้นั้นที่สร้างข่าวลือขึ้นมา ตามความเห็นของข้า แคว้นเยี่ยนและแคว้นหานน่าสงสัยยิ่งนัก นี่คืออุบายชั่วร้าย ทุกคนจงเปิดตาให้กว้าง รู้จักแยกแยกให้กระจ่างด้วย!”

ปัง! จู่ๆ เขาพลันตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน ทำให้ทุกคนเกือบจะสะดุ้งโหยง

“คนเราต่างมีความเห็นแก่ตัวอยู่ในใจ ยากจะเลี่ยงได้! เรื่องนี้ข้าพอจะเข้าใจอยู่ ถ้าเก็บความเห็นแก่ตัวเอาไว้ในใจข้าเองก็ไม่ถือสาหาความอะไร เพียงแต่ข้าขอประกาศไว้ ณ ที่นี้ ทุกคนล้วนเป็นพี่น้องที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันทั้งสิ้น ข้าไม่อยากสร้างความลำบากใจให้ทุกคน แต่หากผู้ใดคิดฉวยโอกาสก่อความวุ่นวาย คิดจะแย่งชิงอำนาจของเหล่าพี่น้องไป ไม่เพียงแต่ข้าเท่านั้นที่จะไม่ยอมรับ พี่น้องคนอื่นๆ ก็ไม่มีทางยอมรับเช่นกัน!” เซ่าเติงอวิ๋นตวาดด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว เสียงตวาดก้องอยู่ในโถงว่าราชการปานเสียงฟ้าคำราม แสดงอำนาจของผู้บัญชาการกองหารนับหมื่นออกมา ทำให้คนที่มีจิตคิดไม่ซื่อตกใจกลัวตัวสั่น แม่ทัพกลุ่มหนึ่งก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่รู้เช่นกันว่ากำลังหมายถึงผู้ใด

เซ่าผิงปอลอบทอดถอนใจ อำนาจบารมีของผู้บัญชาการเหล่าทัพที่อยู่ในตัวท่านพ่อคือสิ่งที่เขาขาดอยู่ แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่นึกอยากจะเรียนรู้ก็สามารถเรียนรู้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ

ทันใดนั้นแม่ทัพคนหนึ่งที่อยู่ด้านล่างพลันตะโกนขึ้นมา “ผู้ใดกล้าลบหลู่ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าจะไปจัดการมันเป็นคนแรก!”

“ใช่ ข้านี่แหละที่จะเป็นคนแรกที่ไม่ยอมรับ!”

เสียงตะโกนของเหล่าแม่ทัพพลันดังก้องไปทั่วทั้งโถงทันที ส่วนคนที่มีความคิดไม่ซื่ออยู่ในใจจริงๆ พลันตกใจ เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ทราบแล้วว่าเป็นไปได้ยาก จำต้องยอมล้มเลิกความคิดไม่ซื่อนั้นไปเงียบๆ

จงหยางซวี่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งตรงมุมห้องเบาใจลง ทราบว่าความคลอนแคลนในใจผู้คนของมณฑลเป่ยโจวสงบลงแล้ว ปัญหาภายในได้รับการคลี่คลายแล้ว

ขณะเดียวกันก็รู้สึกทอดถอนใจ มณฑลเป่ยโจวในยามนี้มีเพียงเซ่าเติงอวิ๋นเท่านั้นที่คุมอยู่ ขอเพียงมีเซ่าเติงอวิ๋นอยู่ มณฑลเป่ยโจวที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขาก็ไม่มีทางเกิดปัญหาวุ่นวายขึ้น

หลังจากทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว เซ่าผิงปอเชิญให้จงหยางซวี่รั้งอยู่ก่อน

“คุณชายใหญ่มีธุระใดหรือ?” จงหยางซวี่ที่หยุดอยู่ใต้ชายคาเอ่ยถาม แววตาที่เขามองเซ่าผิงปอซับซ้อนเป็นอย่างมากเช่นกัน

เซ่าผิงปอถามว่า “ท่านลุง ได้ยินว่าสำนักเขามหายานต้องการไล่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ออกจากเป่ยโจวหรือขอรับ?”

จงหยางซวี่ตอบว่า “เป็นเช่นนั้นจริง ทำไม เจ้าไม่พอใจหรือ?”

เซ่าผิงปอประสานมือกล่าวอย่างนอบน้อม “มิกล้าขอรับ! เพียงแต่จะปล่อยสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปไม่ได้ขอรับ”

จงหยางซวี่หรี่ตาลงเล็กน้อย “ดูเหมือนความเห็นของสำนักเขามหายานจะไม่มีความหมายอะไรต่อเจ้าเลย เจ้าเสพติดการบงการไปแล้วหรือ? ข้าขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดีนะ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องเผื่อช่องไว้ให้ตัวเองบ้าง อย่าได้คืบจะเอาศอก!”

เซ่าผิงปอรีบกล่าว “ท่านลุงเข้าใจผิดแล้วขอรับ เพียงแต่เรื่องราวในครานี้ท่านลุงก็น่าจะทราบแก่ใจดี เกรงว่าทางหอหิมะเหมันต์คงยังจับตามองฝั่งที่เป็นศัตรูของหนิวโหย่วเต้าอยู่ ทั้งความสัมพันธ์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กับหนิวโหย่วเต้าและความสัมพันธ์ของถังอี๋กับหนิวโหย่วเต้าล้วนมิใช่ความลับอันใด ยามนี้มีข่าวลือแพร่กระจายออกไปโดยมุ่งเป้ามาที่มณฑลเป่ยโจว เป็นช่วงที่ผู้คนต่างจับตามองมา หากขับไล่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ออกไปในเวลานี้ ถ้าเกิดไปดึงดูดความสนใจจากหอหิมะเหมันต์เข้า นั่นย่อมมิใช่เรื่องดี โปรดไตร่ตรองดูอีกครั้งด้วยเถอะขอรับ!”

“……” จงหยางซวี่ขมวดคิ้ว ใคร่ครวญเงียบๆ

….

ณ มณฑลจินโจว จวนผู้ว่าการมณฑล ไห่หรูเยวี่ยเดินกลับไปกลับมา เหลือบมองไปทางประตูวงเดือนด้วยสายตาที่ตั้งตารอคอยอยู่เป็นระยะๆ

หลีอู๋ฮวาที่ยืนอยู่ด้านข้างเหลือบมองนางแวบหนึ่ง “เจ้าจะเดินไปเดินมาแบบนี้ไปทำไม?”

ไห่หรูเยวี่ยหยุดเดิน “เหตุใดยังไม่มาอีกเล่า อย่าบอกนะว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

หลีอู๋ฮวาขมวดคิ้ว “หมอผีไปมาไร้ร่องรอย กระทั่งวังสวรรค์หมื่นวิมานของข้าก็ยังหาไม่พบ รู้เพียงว่ามีคนผู้นี้อยู่ แต่รูปร่างหน้าตาของเขาเป็นอย่างไร น้อยคนนักที่จะรู้ ยิ่งไม่เคยได้ยินเลยว่าเขามีศิษย์อันใดด้วย เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นศิษย์ของเฮยหลีจริงๆ?”

ไห่หรูเยวี่ยกลอกตาใส่ทีหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร พวกบ่าวไพร่ไปบังเอิญพบเข้า ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ลองเชิญมารักษาก่อนก็ไม่เสียหาย!”

ในเวลานี้เอง ศิษย์คนหนึ่งของวังสวรรค์หมื่นวิมานเร่งเดินเข้ามา รายงานหลีอู๋ฮวาว่า “อาจารย์ลุง พ่อบ้านจูพาหมอคนหนึ่งมาพบองค์หญิงใหญ่ พวกเราต้องการลงผนึกควบคุมบนร่างเขา แต่เขาไม่ยอมขอรับ สะบัดหน้าหมายจากไป พ่อบ้านจูซุ่นพยายามรั้งเขาไว้ ขอให้พวกเรายอมผ่อนปรนสักครั้ง ทำอย่างไรดีขอรับ?”

ไห่หรูเยวี่ยร้อนใจ รีบเอ่ยกับหลีอู๋ฮวาว่า “คนที่มีความสามารถอย่างแท้จริงมักจะมีนิสัยไม่เห็นหัวผู้อื่น พวกท่านมีคนมากมายขนาดนี้ยังจะต้องกลัวอะไร ผ่อนปรนสักครั้งแล้วจะเป็นอะไร?”

หลีอู๋ฮวาเงียบไป เขาเองก็อยากพบศิษย์ของหมอผีที่เล่าลือกันเช่นกัน จึงโบกมือเล็กน้อย สั่งให้จับตามองอย่างเข้มงวดก็พอ

จากนั้นไม่นาน พ่อบ้านจูนำทางชายวัยกลางคนที่สีหน้าท่าทางทรงภูมิคนหนึ่งเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม ชายคนนั้นสะพายหีบยาไว้ด้านหลัง สวมชุดสีเขียว ดูเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง

“ท่านหมอหมิง ท่านนี้คือองค์หญิงใหญ่…”

เจ้าบ้านและแขกพบหน้ากัน ภายใต้การแนะนำของจูซุ่น

ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่าท่านหมอหมิงเอ่ยด้วยท่าทางที่คล้ายไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา “ข้าไม่ได้มาเพื่อพบองค์หญิงใหญ่อันใด พาข้าไปพบผู้ป่วย”

หลีอู๋ฮวามองพินิจพลางเอ่ยถาม “เจ้าคือศิษย์ของหมอผีเฮยหลี?”

หมอหมิงกลอกตาใส่ “ผู้ใดบอกว่าข้าคือศิษย์ของหมอผี?”

“ไม่มีๆ!” ไห่หรูเยวี่ยรีบโบกมือปฏิเสธ พร้อมถลึงตาใส่หลีอู๋ฮวาเล็กน้อย คล้ายกำลังต่อว่าอยู่ ถึงพูดไปเขาก็ไม่ยอมรับ ไยท่านยังต้องเปิดโปงอีก? “ผู้ป่วยอยู่ด้านใน เชิญท่านหมอหมิงด้านใน”

หลีอู๋ฮวานึกสงสัยอยู่ในใจ มองด้วยสายตาเย็นชา ไม่ได้พูดอะไรอีก เตรียมจะดูไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน หากว่าไม่มีฝีมืออันใด เขาจะทำให้นักต้มตุ๋นคนนี้ได้รู้สำนึก

ว่ากันตามจริงแล้ว เขายังคงไม่เชื่อว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้คือศิษย์ของหมอผี

………………………………………………………..