บทที่ 264 เพราะว่าผมคือไป๋เยี่ย
คนที่ไม่น่าเข้าร่วมที่สุดกลับเข้าร่วมไปแล้ว คนที่มีคุณสมบัติพอจะไม่ไปก็ลงชื่อไปแล้ว ทำเอาทุกคนเงียบไปพักหนึ่ง
ผ่านไปราวๆ หนึ่งนาที
หลิวเสี่ยวกังจากแผนกศัลยกระดูกก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ยปาก “ผมก็จะเข้าร่วมด้วย! คนจากแผนกกระดูกจำเป็นต้องไปอยู่แล้ว”
ซ่งเจี๋ยจากแผนกทวารหนักพูดบ้าง “ถึงผมจะมาจากแผนกทวารหนัก แต่ผมก็มีพื้นฐานด้านการผ่าตัดและการปฐมพยาบาล เพราะฉะนั้นผมก็จะไปเหมือนกัน!”
บางทีอาจจะเป็นเพราะพวกเขาได้รับแรงบันดาลใจจากไป๋เยี่ย หรืออาจจะเพราะถูกขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกรับผิดที่อยู่ในใจ คนอีกจำนวนหนึ่งก็เริ่มลงชื่อทีละคนๆ
แม้จะมีคนไปไม่มาก แต่ทุกคนที่ไปที่นั่นก็ทำด้วยความจริงใจ
หลังจากที่ไป๋เยี่ยลงชื่อแล้ว เสียงแจ้งเตือนจากระบบก็ดังขึ้น
[ติ๊ง! เปิดดันเจี้ยน ‘กอบกู้เมือง’ ระหว่างดันเจี้ยน ทุกอย่างที่คุณทำแล้วเกิดประโยชน์ต่อเมืองที่ประสบภัยจะได้รับคะแนน คะแนนจะถูกประเมินหลังคุณออกมาจากสถานที่ ยิ่งได้คะแนนมากผลการประเมินก็ยิ่งสูง และคุณจะได้รับรางวัลในระดับที่สูงขึ้นอีกด้วย]
[ติ๊ง! แจ้งเตือน นี่ไม่ใช่ภารกิจ แต่เป็นการกู้ภัยพิเศษ คุณจะได้รับบัฟในระหว่างดันเจี้ยนดังนี้:
ได้รับสถานะย้อนกลับ
ได้รับค่าประสบการณ์เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า สถานะดังกล่าวจะมีผลแค่ในเมืองเท่านั้น ขอให้ท่านสมาชิกที่เคารพโชคดี]
ไป๋เยี่ยเงียบไป เขาไม่จำเป็นต้องทำภารกิจนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ไป๋เยี่ยก็ยอมพลาดด่านนี้ไปไม่ได้จริงๆ เมื่อเห็นผู้ป่วยจำนวนมากตกกำลังตกอยู่ในวิกฤตผ่านโทรทัศน์ เขาก็ยิ่งรู้สึกเห็นอกเห็นใจ อีกทั้งเขายังมองว่านี่เป็นโอกาสด้วย
ทำไมถึงคิดแบบนั้น
ก็เพราะว่าความสำเร็จด้านการศัลยกรรมกระดูกครั้งแรกของจีนเกิดขึ้นพร้อมกับแผ่นดินไหวที่ภูเขาถังซาน นี่ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของโลกใบนี้ในสาขาศัลยกรรมกระดูกที่มีเคสให้เห็นจริงๆ ความสำเร็จครั้งนั้นมีอิทธิพลกว้างขวางและไม่ธรรมดาเลย อาจกล่าวได้ว่าตอนนั้นหนังสือศัลยกรรมกระดูกของจางเหล่าเป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาองค์ความรู้ด้านกระดูกและข้อของโลกในรอบยี่สิบปีเลยก็ว่าได้
ภัยพิบัติไม่เพียงนำพามาซึ่งความเจ็บปวดเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งความก้าวหน้าอีกด้วย
ความรู้ทางทฤษฎีของไป๋เยี่ยลึกซึ้งมาก แน่นอนว่าเทียบไม่ได้กับคนทั่วไป ทว่าเวลาที่เขาใช้ในวอร์ดนั้นน้อยเกินไป
เมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้น ไป๋เยี่ยก็คิดว่าเขาต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อทำให้ผู้คนสบายใจกับการปฐมพยาบาลยามเกิดภัยพิบัติในภายภาคหน้าได้
หลังจากที่ประชุมนับจำนวนผู้สมัครแล้วก็เตรียมแยกย้ายกัน
วันนี้ทางโรงพยาบาลจะคัดกรองรายชื่อบุคลากรให้เสร็จสิ้น พร้อมตั้งทีมแพทย์และคัดเลือกผู้รับผิดชอบ
หน้าที่ของไป๋เยี่ยไม่ใช่การขนอิฐและพาผู้คนออกมา แต่เป็นการให้บริการทางการแพทย์ในสถานที่
มีผู้ป่วยอาการสาหัสจำนวนมากที่ยังเคลื่อนย้ายไม่ได้และจำเป็นต้องได้รับการรักษาในพื้นที่ ดังนั้นจึงต้องมีผู้ที่มีความเป็นมืออาชีพมาวางแผนให้เป็นระบบ
หลีจื่อเหยียนชำเลืองมองไป๋เยี่ยอย่างสงสัย แววตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสน บางทีเขาอาจเป็นคนแบบเดียวกับเราก็ได้!
คิดได้ดังนั้น เธอก็ส่งยิ้มให้ไป๋เยี่ยพลางยื่นมือออกไป “ฉันหลีจื่อเหยียนค่ะ ฝากตัวด้วยนะ”
ไป๋เยี่ยมองหญิงสาวอายุไล่เลี่ยเขาตรงหน้าก่อนจะยิ้มตอบ “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
หลังจบการประชุม หลิวป๋อหลี่และหูเฟิงอวิ๋นก็เรียกไป๋เยี่ยไปคุยที่ห้องผู้อำนวยการ
ทันทีที่ไป๋เยี่ยปิดประตู หลิวป๋อหลี่ก็เอ่ยเสียงดัง “นั่งลง!”
ไป๋เยี่ยตะลึงงันไปก่อนจะพยักหน้าและไปนั่งที่โซฟา
หลิวป๋อหลี่จ้องตาเขม็ง “คุณไปไม่ได้!”
ไป๋เยี่ยเงยหน้าขึ้นก่อนจะตอบรับอย่างแน่วแน่ “ผมต้องไปครับ!”
หลิวป๋อหลี่สูดหายใจเข้าลึกเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าหูเฟิงอวิ๋นกลับแทรกขึ้นมา “เสี่ยวเยี่ย ฟังนะ ครั้งนี้มันอันตรายมาก มีอาฟเตอร์ช็อกเกิดขึ้นตลอด ถ้าไปแล้วเกิดเป็นอะไรขึ้นมา มันคือความสูญเสียระดับประเทศเลยนะ!”
ไป๋เยี่ยส่ายหัว “อาจารย์ คุณป้า ผมไม่ได้หุนหันพลันแล่นนะครับ ผมคิดมานานแล้ว ถึงการกู้ภัยครั้งนี้จะอันตรายมากจริงๆ แต่ผมก็ต้องไป”
หลิวป๋อหลี่ขมวดคิ้วแน่น “คุณรู้ไหมว่าตอนนี้คุณเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับนักศึกษาแพทย์ตั้งกี่คน คุณคืออนาคตของการแพทย์ของประเทศเราแล้ว ถ้าคุณไปร่วมบรรเทาภัยพิบัติ พูดตามตรงมันก็เหมือนคุณกำลังยิงจรวดฆ่ายุง มันได้ไม่คุ้มเสีย!”
“คุณรู้ไหมว่าตอนนี้ประเทศเห็นค่าในตัวคุณแค่ไหน คุณไปไม่ได้ ผมจะรายงานต่อหน่วยงานระดับสูงและจะไม่อนุญาตให้คุณไปเด็ดขาด นี่ไม่ใช่เวลามาทำอะไรตามแรงบันดาลใจ ตัวคุณเองยังไม่รู้เลยว่าตอนนี้คุณมีความหมายต่อประเทศอย่างไรบ้าง”
ไป๋เยี่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางมองไปที่ชายมีอายุตรงหน้า ทำไมเขาจะไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน
“อาจารย์ อย่างที่ผมบอกไงครับ ผมไม่ต้องไปก็ได้ แต่ผมเป็นแบบอย่างของนักศึกษาแพทย์ ผมเลยต้องไป ถ้าผมไม่แยแสและเอาแต่ทำงานวิจัยงกๆ ผมก็สร้างผลลัพธ์มากมายได้แน่นอน แต่ผมจะไม่เป็นแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าผมคือไป๋เยี่ย หน้าที่ของผมคือรักษาโรคภัยช่วยเหลือผู้คนและผมต้องช่วยเหลือผู้คนได้มากกว่านี้อีก”
“ช่วงนี้ผมกำลังศึกษาทิศทางการพัฒนาองค์ความรู้ด้านศัลยกรรมกระดูกและเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ถ้าผมกลับมาจากทริปที่เมียนมาได้อย่างราบรื่น สิ่งที่ผมจะนำมาสู่ประเทศของเราและโลกใบนี้จะไม่ได้มีเพียงแค่การค้นพบใหม่ๆ เท่านั้น แต่จะเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงองค์ความรู้เวชศาสตร์ฉุกเฉินได้!”
“แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติตั้งกี่คนกันล่ะครับ ไม่เพียงแต่เกิดจากการรักษาที่ไม่ทันท่วงทีเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการขาดการวางแผนการปฐมพยาบาลที่เป็นระบบด้วย ผมมีความสามารถในด้านนั้น ผมจะเปลี่ยนแปลงจุดนี้ได้อย่างแน่นอน แล้วผมก็จะช่วยชีวิตผู้คนได้มากขึ้น ทำไมผมจะไม่ไปล่ะครับ เพราะฉะนั้นยังไงผมก็ต้องไป!”
คำพูดของไป๋เยี่ยทรงพลังอย่างยิ่ง ทำเอาทั้งหลิวป๋อหลี่และหูเฟิงอวิ๋นตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าไป๋เยี่ยจะคิดละเอียดและมองการณ์ไกลเช่นนี้ เดิมทีพวกเขาคิดว่ามันเป็นเพียงความอยากยื่นมือไปช่วยเหลืออย่างหุนหันพลันแล่น ปรากฎว่าไป๋เยี่ยกลับมีแผนของตนเองอยู่แล้ว เพียงแต่…เรื่องราวคงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แต่บางทีอาจจะเพียงไป๋เยี่ยเท่านั้นที่พูดเรื่องแบบนี้ได้ และบางครั้งอาจจะมีแค่ไป๋เยี่ยเท่านั้นที่พูดและทำให้หลิวป๋อหลี่เชื่อได้
ในที่สุดไป๋เยี่ยก็ได้ออกมาจากห้องผู้อำนวยการ หลิวป๋อหลี่และหูเฟิงอวิ๋นต่างไม่รู้ว่าเหตุใดไป๋เยี่ยจึงโน้มน้าวพวกเขาไว้ได้
เมื่อหลิวป๋อหลี่มองดูร่างของไป๋เยี่ยที่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางหิมะขาวโพลนผ่านหน้าต่างนั้น ภายในใจของหลิวป๋อหลี่ก็พลันรู้สึกเหงาขึ้นมา
ไป๋เยี่ยจะเหงาบางไหมนะ
ก็อาจจะแหละมั้ง…
บนเส้นทางของเขาไม่มีใครร่วมทาง เพราะไม่มีใครเดินไหวและไม่มีใครเดินในเส้นทางนั้นได้ บางทีเขาก็อาจจะเหงาจริงๆ
หลิวป๋อหลี่ถอนหายใจ เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาใครบางคน
ไป๋เยี่ยเดินอยู่บนพื้นที่มีหิมะปกคลุมพลางกังวลเล็กน้อยว่าจะอธิบายเรื่องนี้ให้ครอบครัวของเขาฟังอย่างไร
กว่าจะได้กลับมาฉลองตรุษจีนไม่ง่ายเลย แต่ตนกลับต้องออกเดินทางไปช่วยชีวิตผู้คน ไป๋เยี่ยคิดแล้วก็ยิ่งรู้สึกผิด
ทว่าเขาก็ยังคงรู้สึกว่าเขาต้องไปที่นั่น
โอกาสแบบนี้มีเพียงครั้งเดียวในชีวิต ในที่สุดเขาก็ได้รับโอกาสเช่นนี้สักที หากไม่คว้าไว้ เขาก็คงจะเสียดายไปตลอดกาล
การแพทย์ฉุกเฉินเป็นศาสตร์ที่ใช้ในการช่วยชีวิต
นี่เป็นครั้งแรกที่ไป๋เยี่ยรู้สึกว่าโรงพยาบาลอยู่ใกล้บ้านของเขามาก เขาเดินมาถึงหน้าประตูก่อนจะคิดหาเหตุผลได้เสียอีก
ขณะกำลังยืนอยู่ที่ชั้นล่าง ไป๋เยี่ยก็ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทดังมาจากประตูข้างๆ
“ถ้าคิดจะไปเมียนมา พ่อก็จะถือว่าไม่มีลูกสาวแบบนี้แล้วกัน!”
“หนูจะไป!”
“ไม่ได้! พ่อไม่อนุญาตให้ไป!”
“หนูอยากไป ตอนนั้นก็ไม่ใช่พ่อเหรอที่ไปช่วยคนที่ซินเจียงจนไม่ได้สนใจแม่ ทำให้แม่คลอดยาก พ่อมีสิทธิ์อะไรมาห้ามหนู! ยังไงหนูก็จะไป!”