บทที่ 265 ความรักของแม่ แม้จะฟังดูเห็นแก่ตัวแต่ก็ยิ่งใหญ่ที่สุด

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

บทที่ 265 ความรักของแม่ แม้จะฟังดูเห็นแก่ตัวแต่ก็ยิ่งใหญ่ที่สุด

โดยปกติแล้วคนที่อาศัยอยู่ในเขตชุมชนล้วนเป็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล พวกเขาจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับเรื่องต่างๆ ในโรงพยาบาล

อย่างเรื่องภายในครอบครัวของรองผู้อำนวยการหลี่ ทุกคนก็รู้ดีว่าเป็นอย่างไร

เมื่อได้ยินว่าหลี่หมิงและลูกสาวของเขาทะเลาะกัน คนอื่นๆ ก็ได้แต่ถอนหายใจส่ายหัวแล้วเดินจากไป

ไป๋เยี่ยไม่มีความกล้าพอจะไปแอบฟังผู้อื่นทะเลาะวิวาท แม้ว่าบุคคลนี้จะเป็นคนที่เขาสนใจมากก็ตาม

เมื่อนึกถึงหลีจื่อเหยียน ไป๋เยี่ยก็คิดว่าถ้าเขากลับไปที่บ้านก็คงมีสภาพไม่ต่างกัน

พ่อแม่ของเขาเดินทางมาจากสหรัฐอเมริกาเพื่อมาฉลองตรุษจีน ในที่สุดครอบครัวก็ได้มารวมตัวกัน แต่เขากลับต้องไปช่วยบรรเทาภัยพิบัติเสียแล้ว

พูดตามตรง ไป๋เยี่ยเองก็ลำบากใจกับเรื่องนี้มาก

ไป๋เยี่ยเปิดประตูเดินเข้ามา พ่อแม่ลูกสามคนก็กำลังเตรียมอาหารอยู่ เมื่อเห็นไป๋เยี่ยเดินเข้ามา ไป๋หลิงก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ชาย เที่ยงนี้เราจะกินหม้อไฟกัน ช่วยปอกกระเทียมด้วย”

ไป๋เยี่ยขานรับเบาๆ ก่อนจะยิ้มตอบไป “เดี๋ยวพี่ไปล้างมือก่อน”

หลังจากล้างมือแล้วเดินออกมาไป๋เยี่ยก็เห็นโต๊ะอาหารที่มีอาหารเตรียมไว้เต็มไปหมด มีทั้งเก๊กฮวย ผักกาดหอม เต้าหู้ เส้นใหญ่…

ไป๋เยี่ยยิ้มร่า “ฮ่า! นี่สิน้าความสุข กลับบ้านมาก็มีกับข้าวร้อนๆ รออยู่แล้ว รู้สึกดีจริงๆ”

ไป๋ตงหลินเหลือบมองเล็กน้อย “ไว้พ่อจะแนะนำสาวให้รู้จักดีไหม ลูกชาย รับประกันว่าต่อไปกลับบ้านมาจะได้กินข้าวร้อนๆ ทุกวันเลย”

หูไฉ่อวิ๋นจ้องตาเขม็ง “ลูกชายอายุแค่เท่าไหร่เอง อย่าเอานิสัยพวกทุนนิยมของคุณกลับมาใช้ที่บ้านนะ ลูกจ๋า อย่าเพิ่งรีบแต่งงานเลย รอจนกว่าจะเจอคนที่ชอบจริงๆ ดีกว่า ต่อไปแม่ก็ยังจะทำอาหารให้ลูกเอง!”

หม้อไฟร้อนๆ ในบ้านที่อบอุ่น บางครั้งฤดูหนาวนี้คงเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดแล้ว

ไป๋เยี่ยยัดลูกชิ้นเนื้อเข้าปากแล้วพูดเสียงอู้อี้ “แต่ว่า พ่อ แม่ ปีนี้ผมคงไปงานกาล่าด้วยไม่ได้นะ”

หูไฉ่อวิ๋นมอง “ตอนกินข้าวอย่าเพิ่งพูดสิ เกิดอาหารติดคอขึ้นมาทำไง”

“ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนเราตกลงว่าจะไปด้วยกันเหรอ เกิดอะไรขึ้น”

ไป๋ตงหลินยังคงยิ้ม “ก็ลูกชายของเราต้องขึ้นไปรับรางวัลบนเวทีไง ก็เลยมานั่งกับเราไม่ได้ ใช่ไหม ลูกชาย!”

หูไฉ่อวิ๋นเองก็กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “นี่สิเรื่องดี ไม่ต้องกลัวลูก แค่ได้เห็นลูกขึ้นไปรับรางวัลแม่ก็มีความสุขมากแล้ว นี่ เหล่าไป๋ อย่าลืมถ่ายรูปลูกชายไว้ด้วยล่ะ ฉันจำได้ว่าคุณเพิ่งซื้อเลนส์ใหม่มาเมื่อไม่กี่วันก่อน ลูกชายเราเก่งจริงๆ แล้วดูทรงจะเก่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วย”

ไป๋เยี่ยวางตะเกียบลงอย่างประหม่า เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่ใช่ครับ ผมจะไม่ไปงานกาล่า แล้วก็ไม่ได้ขึ้นไปรับรางวัล ผมจะไปเมียนมา!”

ทันทีที่ไป๋เยี่ยพูดจบ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ

หูไฉ่อวิ๋นทิ้งตะเกียบลงกับโต๊ะ ก่อนจะเบิกตากว้างและเอ่ยถามไป๋เยี่ยด้วยความร้อนรน “ลูกจะไปทำอะไรที่เมียนมา ไม่รู้เหรอว่าตรงไหนมีแผ่นดินไหวบ้าง ใครเป็นคนบอกให้ลูกไป ผอ.หรือใคร แม่จะไปคุยกับเขา!”

ส่วนไป๋ตงหลินก็ได้แต่นั่งขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร

ชั่วขณะนี้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน

จู่ๆ โทรศัพท์ของไป๋เยี่ยก็ดังขึ้น ทันทีที่เขาเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามา เขาก็รีบรับสายทันที

“ฮัลโหล”

เสียงของอีกฝ่ายฟังดูมีอายุเล็กน้อย “เสี่ยวเยี่ย ผมเอง”

ไป๋เยี่ยชะงักเล็กน้อย ก่อนจะรีบคว้าโทรศัพท์ออกไป “โอ๊ะ สวัสดีครับ”

อีกฝ่ายพึมพำ “ผมได้ยินเหล่าหลิวบอกมาว่าคุณจะไปที่เมียนมา”

ไป๋เยี่ยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ใช่ครับ”

อีกฝ่ายก็เงียบไปเช่นกัน “เหล่าหลิวเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ ผมก็จะให้รางวัลเขาอยู่หรอกนะ แต่ว่า…คุณ…เฮ้อ! เอาแบบนี้แล้วกัน พรุ่งนี้ผมจะส่งคนไปดูแลความปลอดภัยให้คุณนะ”

จากนั้นอีกฝ่ายก็หัวเราะเบาๆ “เฮ้อ คุณเป็นเด็กดี คุณต้องกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอน คุณจะต้องไม่เป็นอะไร ไม่งั้นผมคงหาคำอธิบายไปบอกทุกคนไม่ได้แน่ๆ”

ไป๋เยี่ยตอบกลับอย่างยิ้มแย้ม “ผมสัญญาว่าจะทำภารกิจให้สำเร็จครับ!”

“คุณถึงบ้านแล้วใช่ไหม ยื่นโทรศัพท์ให้พ่อแม่คุณหน่อยสิ ผมจะคุยกับพวกเขา”

ไป๋เยี่ยชะงักไปครู่หนึ่งแล้วส่งโทรศัพท์ให้พ่อของเขา!

ไป๋ตงหลินสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบบ้วนอาหารในปากทิ้งก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

“…สวัสดีครับ”

“อืมๆ ว่าไงครับ แน่นอนว่าผมจะ…”

“ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ อืม…เข้าใจแล้วครับ ผมจะเข้าร่วมแน่นอน”

“อืมๆ…”

หลังจากวางสายลง ไป๋ตงหลินก็หันไปมองไป๋เยี่ยด้วยสายตาจริงจังพร้อมทั้งส่งยิ้มให้ “ลูกจะไปช่วยคนที่เมียนมาจริงเหรอ”

ไป๋เยี่ยพยักหน้าและเล่าสิ่งที่เขาคุยกับอาจารย์หลิวให้ฟัง

ยังไม่ทันได้พูดอะไร จู่ๆ หูไฉ่อวิ๋นก็กระแทกตะเกียบลงกับโต๊ะอย่างแรงและเอ่ยเสียงดัง “แม่ไม่เห็นด้วย!”

“ใครจะเป็นฮีโร่ก็เป็นไปเถอะ แต่แม่จะไม่ให้ลูกไปเด็ดขาด!”

ไป๋เยี่ยถอนหายใจ เขารู้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้ “แม่…ผมไม่ได้จะไปทำอะไรเลย ก็แค่ไปเป็นหมอ”

หูไฉ่อวิ๋นเอ่ยเสียงนิ่งเรียบ “ลูกคิดว่าแม่โง่เหรอ จะมีอาฟเตอร์ช็อกอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันอันตรายมากเลยนะ ลูกจะไปทำอะไร คู่มือปฐมพยาบาลฉบับล่าสุดมันเกี่ยวอะไรกับพวกเราเหรอ ไม่มีลูกแล้วแม่จะไปสนใจเกียรติยศอะไรกันล่ะ!”

“มีคนมากมายที่พยายามทำตัวเป็นฮีโร่ แต่ลูกจะทำแบบนั้นไม่ได้! แม่ไม่ได้ขอให้ลูกประสบความสำเร็จ แม่แค่อยากให้ลูกมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย ยังไงแม่ก็ไม่เห็นด้วย”

สักพักหนึ่ง ภายในห้องก็มีเพียงเสียงน้ำซุปที่กำลังเดือดปุดๆ

ไป๋เยี่ยถอนหายใจ “แม่ ไม่ต้องห่วงผม ผมสัญญาว่าผมจะดูแลตัวเองแน่นอน ตอนนี้แม่ก็เห็นสถานการณ์ที่นั่นทั้งหมดแล้ว อีกอย่าง ผมมีความสามารถในด้านนี้ ทำไมผมถึงไม่ควรทำในสิ่งที่ทำได้ล่ะ”

“ผมไม่ได้อยากเป็นฮีโร่ ผมแค่อยากทำสิ่งที่ชีวิตนี้ไม่เคยทำแค่นั้นเอง ไม่ต้องห่วงนะแม่ ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น”

หูไฉ่อวิ๋นขัด “ไม่! จะครั้งเดียวก็ไม่เด็ดขาด”

หูไฉ่อวิ๋นไม่ใช่ฮีโร่และเธอก็ไม่ได้อยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เธอแค่ต้องการให้ลูกชายใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เธอก็เป็นคนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง เทียบกับการได้เป็นฮีโร่แล้วเธอก็แค่อยากเป็น ‘แม่’ คนหนึ่งเท่านั้นเอง

ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไร เธอก็ไม่มีทางเห็นด้วยกับความคิดของไป๋เยี่ย

แม้ว่าเธอจะถูกตีตราด่าว่าอย่างไร แต่เธอก็ไม่อยากให้ลูกชายไปเผชิญสถานที่เสี่ยงภัยเช่นนั้น

ตอนนี้ไป๋เยี่ยถึงกับพูดไม่ออก ทั้งอาจารย์หลิวและหูเฟิงอวิ๋นต่างเป็นคนนอก ทว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเขาคือแม่แท้ๆ ไม่มีเหตุผลใดอยู่เหนือกว่าความรักที่แม่มีต่อลูกชายทั้งนั้น

หูไฉ่อวิ๋นไม่ได้คุยกับไป๋เยี่ยตลอดทั้งคืน จนกระทั่งถึงเช้าวันรุ่งขึ้นที่ไป๋เยี่ยต้องออกเดินทาง

ขอบตาของหูไฉ่อวิ๋นบวมเป่ง เธอถอดสร้อยหยกบนคอออกมาสวมให้ไป๋เยี่ย เธอหลั่งน้ำตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “ดูแลตัวเองด้วยนะลูก! ลูกต้องกลับมาอย่างปลอดภัยนะ!”

ไป๋เยี่ยยิ้มพลางยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้ผู้เป็นแม่ก่อนจะสวมกอดร่างนั้นไว้ในอ้อมแขน เขาลูบหลังแม่เบาๆ ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส “แม่ ไว้ผมกลับมา ผมจะพาลูกสะใภ้มาหาแม่นะ!”