บทที่ 244 อย่าทำให้มือสกปรก
บทที่ 244 อย่าทำให้มือสกปรก
เมื่อเห็นว่าดาราดังทั้ง 3 คนอย่างฮันเจ๋อหยาง ซูโย่วอี๋ และซูหยินปรากฏตัว ผู้คนรอบ ๆ เริ่มกระสับกระส่าย
ลู่เฉินเอียงศีรษะ “เสี่ยวเหล่าซาน จัดการที”
เสี่ยวเหล่าซานรีบจัดการทุกอย่างอย่างรีบร้อน เขายกมือโบกขึ้นไปมา จากนั้นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายสิบนายก็หลั่งไหลมาจากทุกทิศทุกทาง
ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีดำทั้งตัวและถือกระบองมาด้วย
“จัดการกันทุกคนออกไปภายใน 3 นาที”
เสียงเพลงที่ดังลั่นในห้องโถงหยุดลงในทันที
คนที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรตะโกนต่อว่าอย่างไม่พอใจ “ทำบ้าอะไรกันเนี่ย?”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ให้ตายเถอะ ฉันกำลังเต้นสนุก ๆ เลย เครื่องเสียงห่วยแตกจริง ๆ”
เสี่ยวเหล่าซานกระโดดขึ้นไปบนแท่นเวทีสูงพร้อมทั้งหยิบไมโครโฟนไปด้วย “คลับแห่งนี้ปิดชั่วคราว เชิญทุกท่านรีบออกไป ค่าอาหารทั้งหมดของคืนนี้ทางคลับจะจ่ายให้เอง หากมีผู้ใดไม่ให้ความร่วมมือก็สามารถลองดูบุคคลข้าง ๆ ตัวพวกคุณได้เลย และลองคิดดูว่าคุณสามารถสู้กับพวกเขาได้หรือเปล่า”
นี่คือการข่มขู่
สิ้นเสียงลงทุกคนก็มองหน้ากันด้วยความตกใจ และรีบผลักกันให้ออกไปจากห้องโถงนี้
แม้มีคนบ่นต่อนิดหน่อย ก็ถูกคนข้าง ๆ หยุดเอาไว้ “คุณไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง คนบนเวทีนั่นคือเสี่ยวเหล่าซานเลยนะ นอกจากฆ่าคนก็ไม่มีเรื่องไหนที่เขาไม่กล้าทำอีกแล้ว ทางที่ดีคุณอย่ายุ่งกับเขาเลย”
นายน่ะแกล้งทำเป็นโหดเหี้ยม แต่อีกฝ่ายนั้นโหดเหี้ยมของจริง
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ทั่วทั้งโถงขนาดใหญ่ก็ว่างเปล่า เหลือไว้เพียงลูกค้าจากโต๊ะเบอร์ 13 และกลุ่มของซูโย่วอี๋
ลู่เฉินดึงซูโย่วอี๋ให้นั่งลงบนเบาะตรงกลาง เขานั่งไขว่ห้างและจับจ้องด้วยดวงตาอันเหยียดหยามราวกับราชา
เขาจับมือของซูโย่วอี๋และลูบมันเบา ๆ พร้อมถามเธอขึ้น “พวกเขาทำตัวไม่สุภาพกับคุณหรือเปล่า?”
ด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบ ทำให้ทุก ๆ คนได้ยินกันอย่างชัดเจน
ราวกับประธานจางและพรรคพวกกำลังเผชิญอยู่กับศัตรูผู้น่าเกรงขาม พวกเขาต่างมองไปที่ซูโย่วอี๋อย่างอ้อนวอน
ซูโย่วอี๋เงียบไปครู่หนึ่ง ถึงพวกเขาจะพูดหยอกล้อ แต่มันไม่ได้มีเรื่องอะไรที่มากเกินไป
“ไม่มี”
น้ำเสียงของลู่เฉินสงบนิ่งมาก “ในเมื่อโย่วอี๋บอกว่าไม่มีอะไร งั้นก็ช่างเถอะ”
คนตรงหน้าหลายคนถอนหายใจออกมา แต่ยังไม่ทันได้ถอนหายใจออกมาจนสุดก็ได้ยินเสียงของลู่เฉินพูดต่อ “ทุกท่านที่มาที่คลับแห่งนี้ต่างก็มีโชคชะตาต่อกัน เสี่ยวเหล่าซานไปนำไวน์ชั้นดีของคุณออกมาและรับรองแขกหน่อยสิ”
สีหน้าของเสี่ยวเหล่าซานดูตื่นเต้นมาก “เข้าใจแล้ว”
เขาชี้นิ้วไป “ไปหยิบเหล้าขาวชั้นดีมา 1 ลัง”
1 ลัง!
“คนที่มาคลับแห่งนี้มีน้อยมากที่จะดื่มเหล้าไม่เป็น วันนี้พวกคุณดื่มกันให้สนุกนะ”
เขาใช้มือหยิบเหล้าขาวขึ้นมาและเปิดออก เหล้าทั้ง 6 ขวดถูกวางไว้บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ
เสี่ยวเหล่าซานหยิบขึ้นมา 1 ขวด “ถ้าไม่ใช่เพื่อการต้อนรับลูกค้าของประธานลู่ เหล้าดีขนาดนี้ผมคงทนเอาออกมาให้ไม่ได้แน่ ๆ”
“ประธานลู่ คุณว่าเหล้านี้ควรดื่มยังไงดี?”
ลู่เฉินยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “1คนต่อ 1 ขวด ดื่มหมดค่อยกลับ”
ในใจของประธานจางเริ่มตื่นตระหนก “ประธานลู่ ผมสาบานต่อหน้าฟ้า ผมไม่ได้คิดล่วงเกินต่อคุณซูเลยแม้แต่น้อย ปล่อยผมไปเถอะ”
ลู่เฉินไม่ได้พูดอะไร
เสี่ยวเหล่าซานยัดเหล้า 1 ขวดเข้าไปในแขนของเขา “แค่ดื่มไม่ตายหรอกน่า”
“พวกคุณมาหยิบกันเอาเองนะ หรือจะให้ประธานลู่ส่งให้คุณถึงมือ?”
คนที่เหลืออยู่รีบไปหยิบเหล้าขึ้นมา พร้อมมองดูตัวเลข 63 ดีกรี 500 มิลลิลิตร ซึ่งก็คือครึ่งกิโลกรัมเลยนะ!
ทุก ๆ คนเป็นเหมือนประธานจาง คนที่ปกติดื่มแค่ไวน์แดงก็ขาอ่อนแรงแล้ว
แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ พวกเขาเปิดฝาขวดด้วยใจสั่น ๆ และเทเข้าปากไปอย่างยอมแพ้
ประธานจางดื่มไปหนึ่งอึกก็หยุดนิ่งไป แม้ยังดื่มไปไม่ถึงหนึ่งในสาม ใบหน้าก็ดูขมขื่นซะแล้ว “ผมดื่มไม่ไหวแล้ว”
เสี่ยวเหล่าซานยิ้มอย่างมีเลศนัย “ดื่มไม่ไหวก็ต้องหาคนอื่นให้มาช่วยแล้วแหละ”
“อย่า ผมดื่มเอง”
เขาหยิบขวดขึ้นมาและดื่มเข้าไปอีกกว่าครึ่งขวด หลังจากนั้นก็วิ่งไปอีกทางด้วยความผะอืดผะอม
ซูโย่วอี๋ทนต่อไปไม่ไหว เรื่องจริงก็คือประธานจางคนนี้ไม่ได้แสดงท่าทางหรือพูดจาไม่ดีอะไรกับเธอเลย
แต่เธอสามารถรับรู้ได้ว่าตอนนี้ลู่เฉินกำลังทำเกินไป
เธอไม่รู้ว่าอารมณ์นี้ของเขามันออกมาจากไหน
“ลู่เฉิน พอเถอะ”
เสี่ยวเหล่าซานตะโกนเรียกให้ประธานจางดื่มเหล้าที่เหลือให้หมด ลู่เฉินจึงพูดขึ้น “ให้พวกเขาไปได้ พวกคุณสองคนอยู่ก่อน”
ประธานจางและคนอื่น ๆ นิ่งไป ก่อนจะตอบกลับราวกับได้รับการลบล้างความผิดและรีบจากไป
ส่วนคนสองคนที่เหลืออยู่ก็คือเฉินเฉินและเหอมี่มี่
“พวกเขาเป็นลูกค้า แต่พวกคุณไม่ใช่ ดังนั้นพวกคุณไม่ต้องดื่มเหล้า”
น้ำเสียงของลู่เฉินนิ่งสงบ แต่กลับทำให้เฉินเฉินและเหอมี่มี่รู้สึกตกใจ
เหอมี่มี่คว้ามือลู่เฉินไว้แน่น “ประธานลู่ ซูโย่วอี๋แอบขอวีแชตของประธานจางลับหลังคุณ คุณรู้หรือเปล่า คุณอย่าถูกเธอหลอกอีกเลย”
“เธอไม่ใช่คนอย่างที่คุณคิด คุณเต็มใจที่ถูกเธอหลอกงั้นเหรอ”
ลู่เฉินยกมุมริมฝีปากขึ้น “คุณนี่เป็นผู้หญิงที่โง่จริง ๆ เลยนะ คุณควรจะดีใจนะที่ผมไม่ตีผู้หญิง”
เสี่ยวเหล่าซานหัวเราะหึ ๆ ออกมา “ประธานลู่ ผมไม่มีกฎแบบนั้นนะ”
ไป๋เสิ่นเฉียวใช้สองมือกอดอก “ฉันก็ไม่มี”
ปานจ่างพูดขึ้น “นับฉันไปด้วยคน”
เหอมี่มี่หดหัวลงอย่างหวาดกลัว “พวกคุณจะทำอะไร? ไม่กลัวกฎหมายกันบ้างเหรอ?”
“กฎหมายเหรอ?”
เสี่ยวเหล่าซานพูดขึ้นมาอย่างดูถูก “อยู่ที่นี่ ผมนี่แหละคือกฎหมาย”
ปานจ่างตีเขาไปหนึ่งที “ประธานลู่สิกฎหมาย”
เสี่ยวเหล่าซานไม่ได้ปฏิเสธ “ใช่ ประธานลู่ของผมก็คือกฎหมาย”
พูดจบเขาก็พูดเสริมต่อ “ถ้าประธานลู่ไม่อยู่ ผมก็คือกฎหมาย”
หลังจากนั้นก็มองไปยังไป๋เสิ่นเฉียวและคนอื่น ๆ “ใช่ไหม”
เขาไม่ได้พูดอะไรผิดเลยอยากจะหาคนที่เห็นด้วยกับเขา แต่กลับพบว่าไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่มองเขาอยู่เลย
นั่นทำให้เขาทำตัวไม่ถูก
ลู่เฉินปล่อยมือของซูโย่วอี๋ออกและลุกขึ้นยืน เขาปลดกระดุมคอเสื้อออก 2 เม็ด และค่อย ๆ พับแขนเสื้อขึ้น
ปานจ่างพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น “ประธานลู่อยากจะลงมือด้วยตัวเองเลยเหรอ โอ้”
“ประธานลู่สู้ ๆ” เสี่ยวเหล่าซานปรบมือเชียร์
ไป๋เสิ่นเฉียวกรอกตาไปมา “พวกนายนี่เด็กกันจริง ๆ นะ อย่าดึงให้ศีลธรรมของลู่เฉินต้องตกต่ำได้ไหม?”
ใบหน้าของเฉินเฉินบูดบึ้ง ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรและตอบสนองอย่างไร เพราะผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าสมบูรณ์แบบตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า
และเขาไม่สามารถเทียบได้เลย
แต่ผู้ชายตรงหน้านี้เป็นคนที่แย่งผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดไป
ในใจของเฉินเฉินนั้นเกรงกลัวแต่ก็ต้องปิดบังไฟความโกรธนั้นเอาไว้
ลู่เฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยสายตาเย็นชา ไร้ซึ่งอารมณ์และความรู้สึก
“มาสิ”
เฉินเฉินกำมือแน่นและพุ่งเข้าไปหาลู่เฉิน
ลู่เฉินหลบไปได้อย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่จะปล่อยหมัดไปยังเฉินเฉินที่เซไปจากแรงเหวี่ยง กำปั้นพุ่งเข้าใส่แก้มของเฉินเฉินจนบวมช้ำ
“เยี่ยม!” เสียงปรบมืออย่างบ้าคลั่งจากกลุ่มคนที่ดูอยู่
“ประธานลู่ผู้ยิ่งใหญ่”
และอีกหมัดหนึ่ง เลือดกำเดาของอีกฝ่ายไหลลงมาถึงคาง
“ประธานลู่สุดยอดมาก”
จากนั้นตาซ้าย หน้าอก ช่องท้อง ต้นขา…
ลู่เฉินลงมืออย่างโหดเหี้ยม เหมือนกับว่าทุก ๆ หมัดที่ปล่อยออกไปนั้นทำให้เฉินเฉินคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด
และนอกจากหมัดหนึ่งในตอนแรก เฉินเฉินก็ไม่มีโอกาสได้ลงมืออีกเลย
จนกระทั่งตอนสุดท้ายที่เขาลุกขึ้นมาไม่ไหวแล้ว
ไม่รู้ว่าซูหยินนั่งลงตรงข้าง ๆ ซูโย่วอี๋ตอนไหน และกุมมือเธอเอาไว้ “โย่วอี๋ เธอผ่อนคลายได้แล้ว”
ความแค้นและความเกลียดของเธอ มีคนเอาคืนให้แล้ว
เดิมทีซูโย่วอี๋แค่นั่งดูด้วยสายตาเย็นชา เมื่อได้ยินคำพูดของซูหยินกลับทำให้เธอรู้สึกอยากร้องไห้ออกมา
เธอและเฉินเฉินลงเอยด้วยการหย่าร้าง แต่ในใจของซูโย่วอี๋ยังมีรอยแผลอยู่เสมอ
แต่ตอนนี้อดีตทั้งหมดได้หายไปราวกับก้อนเมฆที่ลอยผ่านสายตาไป
ในใจของเธอมีเพียงผู้ชายที่กำลังกำหมัดแน่นคนนั้น เขาเป็นคนที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี แต่กลับยอมลงมือทำอะไรแบบนี้เพื่อเธอ
โดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของตัวเอง
ซูโย่วอี๋ลุกขึ้น “ลู่เฉิน อย่าทำให้มือของคุณสกปรกเลยนะ ฉันไม่ได้โกรธใครแล้ว”