บทที่ 231 เขารู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิด

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 231 : เขารู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิด

ในขณะที่เปลวไฟขยายวงไปทั่วป่า แล้วคนในตระกูลของเธอก็กำลังจะถูกไล่ฆ่า ในขณะเดียวกัน สัตว์มายาระดับภัยพิบัติอีกตนก็กำลังจะโผล่มาอยู่แล้ว…โดริสรู้สึกจนปัญญากับการถูกตีขนาบรอบด้าน

เธอกัดฟันแล้วก้าวเท้าอย่างรวดเร็วไปยังที่ที่คนในตระกูลของเธออยู่

ข้าต้องรักษาตระกูลไว้ก่อน!

เปลวเพลิงกลืนกินผืนป่าเข้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วแมกมาที่ออกมาจากก้นบึ้งของแผ่นดินก็ดูเหมือนจะกวาดทุกสิ่งไปด้วยอำนาจทำลายล้างของมัน

“ท่านธิดาเทพ!”

เอลฟ์หญิงตนหนึ่งเห็นโดริสแล้วร้องเรียกเธอ

เธอกำลังกระวนกระวาย และดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยความกลัว ทว่าเมื่อเห็นโดริส แววตาเหล่านั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความหวังและความไว้วางใจ

“ท่านแม่!”

เอลฟ์หญิงตนนี้มีลูกอายุสิบห้าปีของเธออยู่ด้วย แต่จากวัฏจักรการเติบโตของเอลฟ์แล้ว เขาเป็นแค่เด็กที่ดูราวหกถึงเจ็ดขวบเท่านั้น และเป็นไปตามอายุของเขา ลักษณะของเขาก็ดูเด็กมากด้วย

แม้ว่าจะมองด้วยมาตรฐานของมนุษย์ เขาก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี

ในตอนนี้เขากำลังกอดแม่ของตัวเองร้องไห้จ้า น้ำตาไหลบ่าลงอาบแก้มของเขา ที่ขาของเขาก็มีแผลหนึ่งที่ซึ่งคงจะได้มาตอนที่เขาหกล้มจากความตื่นตระหนกแน่ ๆ

เอลฟ์หญิงรีดรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาเพื่อปลอบลูกของเธอ

“ท่านธิดาเทพอยู่ที่นี่แล้ว!”

“ตอนนี้เราควรทำเช่นไรดีขอรับ ท่านธิดาเทพ?”

“อ๊าา! สัตว์มายานั่นกำลังมาแล้ว!”

“ให้ไวเลย วิ่ง!”

มีคนเห็นโดริสมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วมองเธออย่างมีความหวัง แล้วเสียงร้องขอความช่วยเหลือก็ก้องไปทั่วในขณะที่พวกเขาขอให้เธอช่วย

เอลฟ์ชายบางคนที่ยังอยู่เริ่มจัดเตรียมตัวเพื่อรักษาความเป็นระเบียบไว้ พวกเขาใช้คาถาง่าย ๆ เพื่อดับไฟ แต่ก็ถูกเปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นบีบให้ต้องถอย

พวกนักเวท นักรบ และนักธนูของตระกูลต่างถูกส่งไปประจำการในค่ายกลลอบโจมตีที่อีกฝั่งหนึ่งแล้ว ในขณะที่พวกผู้ที่อยู่ที่นี่มีแต่เอลฟ์ธรรมดาไร้ทางสู้ทั้งนั้น

แม้ว่าข่ายมนตร์คุ้มกันจะถูกตั้งไว้ที่นี่ แต่พวกมันก็ทนได้เพียงการโจมตีระดับภัยพิบัติสองสามครั้งเท่านั้น ข่ายมนตร์พวกนี้คงคุ้มกันได้อย่างสมบูรณ์แบบหากมีผู้ชอนไชบาดาลเพียงแค่ตนเดียว…

“ใจเย็นก่อน! อย่าแตกตื่น!” โดริสใช้คทาของเธอเคาะพื้นเป็นลำดับแรก ทำให้เสียงคทาของเธอดังถึงหูของเอลฟ์ในตระกูลทุกคน แล้วใช้เวทมนตร์ปลอบประโลมจิตใจที่แตกตื่นของพวกเขา

“ด้วยข่ายมนตร์คุ้มกันที่นี่ หนอนพวกนี้จะถูกกันเอาไว้ได้สักพัก ตอนนี้จงไปที่แท่นพิธี เหล่าผู้อาวุโสจะจัดเตรียมการที่นั่น”

มีข่ายมนตร์เคลื่อนย้ายอยู่ที่แท่นพิธีซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายคนไปยังนอร์ซินได้โดยตรง

แต่ในขณะเดียวกัน มันก็หมายความว่าพวกเธอกำลังจะทิ้งป่านี้ไปด้วย

นี่จะเป็นทางเลือกสุดท้าย แต่ข่ายมนตร์เคลื่อนย้ายจะสามารถส่งคนไปได้เพียงไม่ถึงหนึ่งในสามจากทั้งตระกูลเท่านั้น

โดริสย้อนนึกถึงคนอื่น ๆ ที่กำลังซุ่มรอลอบโจมตีอยู่ที่จุดเตรียมการ ในเมื่อผู้ชอนไชบาดาลตรวจเจอพวกเขาแล้ว กับดักก็ไร้ความหมาย

โดริสให้คนในตระกูลที่ยังต่อสู้ได้อยู่ต่อ เพื่อที่อย่างน้อยก็คงสามารถล้มเจ้าสัตว์ร้ายนี่ได้สักตนในเวลาสั้น ๆ …

แต่ปัญหาคือมันยังมีอีกตน

โดริสมีลางสังหรณ์ว่ามันไม่ได้มีแค่สองตนนี้ และยังมีมากกว่านี้อีก…นี่ไม่ใช่การบุกรุกระดับภัยพิบัติอีกต่อไปแล้ว

สัตว์มายาระดับภัยพิบัติฝูงหนึ่งจะต่างจากระดับเหนือนภาแค่หนึ่งตนเท่าไหร่กันเชียว?

ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เรื่องก็รังแต่จะแย่ลงเรื่อย ๆ…

“นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รอยแตกแดนนิมิตยังขยายตัวต่ออีก แล้วกองกำลังที่ยื้อการบุกโจมตีของแดนนิมิตมาตลอดก็ดูจะอ่อนแอลงพอตัวแล้วด้วย”

“ต้องมีบางอย่างที่เลวร้ายเกิดขึ้นในที่ ๆ ข้ามิอาจหยั่งทราบได้แน่…”

ตัวโดริสเองก็ตกใจ

เธออายุมากกว่าพันปีแล้ว และแม้ว่าจะเป็นในเผ่าพันธุ์อายุยืน เธอก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโสได้แล้ว

ในระหว่างนี้ นับแต่ตอนที่เธอบรรลุนิติภาวะ โดริสก็เป็นธิดาเทพของตระกูลที่คอยปกป้องตระกูลและอาณาเขตของพวกเขาซึ่งก็คือป่านี้มาโดยตลอด

ไกลแสนไกลจากเมืองมนุษย์ประดิษฐ์อย่างนอร์ซิน เผ่าพันธุ์เหนือธรรมชาติทั้งมวลที่เหลือรอดจากสมัยโบราณต่างหลบซ่อนในฐานที่มั่นของพวกตน มีเพียงเหล่านักธุรกิจและอาชญากรไร้หนทางเท่านั้นที่จะเข้าไปในนอร์ซินแล้วมีการติดต่อกับมนุษย์

แค่การรับมือพวกสัตว์มายาที่บุกรุกเข้ามาจากแดนนิมิตก็เกินกว่าที่พวกเขาจะรับไหวแล้ว

และตระกูลไอริสของโดริสเองก็เช่นกัน

เหล่าเอลฟ์ไม่ใช่นักรบหาญจากอาณาจักรโบราณที่เคยเฟื่องฟูในอดีตอีกต่อไปแล้ว ด้วยเวลาอันยาวนานที่ผ่านไป พวกเขาถูกแยกสันโดษและไม่ได้พบภัยคุกคามอะไรนักนอกจากพวกสัตว์มายา

ผู้ที่รอดชีวิตจากยุคมืดมาได้ก็ไม่ใช่หน่อเนื้อเชื้อไขของผู้แข็งแกร่งเช่นกัน และเพราะเช่นนั้น เหล่าเอลฟ์โดยมาตรฐานแล้วจึงธรรมดาและไร้พลัง

นั่นคือเหตุที่โดริสต้องขอความช่วยเหลือจากท่านหญิงซิลเวอร์ ผู้ว่ากันว่าเป็นผู้พิทักษ์ของพวกเธอ

“เดี๋ยวนะ…ท่านหญิงซิลเวอร์!”

โดริสพลันกระจ่างแก่ใจขึ้นมาว่าเธอได้ขอความช่วยเหลือจากตัวตนผู้ยิ่งใหญ่นั้นไปแล้ว!

ร้านหนังสือในนอร์ซินที่ซึ่งออร่าของแดนนิมิตที่ซิลเวอร์จุติลงนั้น โดริสได้พบกับผู้ได้รับพรของท่านหญิงซิลเวอร์แล้ว นั่นคือเจ้าของร้านหนังสือผู้เป็นมิตรคนนั้น

เมื่อเธอขอให้ช่วยฟื้นฟูเกียรติภูมิเก่าก่อนของตระกูลไอริสและขอรับการอำนวยพรของท่านหญิงซิลเวอร์ เจ้าของร้านหนังสือก็ได้ขายหนังสือชื่อสัญลักษณ์ความเป็นผู้นำให้กับเธอสามสิบเล่ม

เขายังพูดด้วยว่านี่คือการเตรียมการสำหรับงานในอนาคตของเขา และหวังให้คนในตระกูลของโดริสนำไปอ่านก่อน

ครั้งหนึ่ง โดริสเคยสัมผัสได้ถึงข้อมูลอย่าง “การต่อต้าน” และ “ความฝัน” จากในหนังสือเล่มนั้น หลังจากศึกษาอย่างรอบคอบแล้ว เธอก็ตัดสินได้ว่าเรื่องเหล่านี้คือความรู้ที่เกี่ยวกับตราอักษรรูน

เธอรู้ว่าตรานี้บรรจุพลังเวทมนตร์มหาศาล ทว่าในเวลาเดียวกัน มันก็มีขอบเขตการเรียนรู้ของมันอยู่

ในช่วงเวลาสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ มีเพียงสมาชิกตระกูลไอริสกลุ่มหนึ่งที่มีความเข้ากันได้กับอีเธอร์เท่านั้นที่พอจะศึกษามันได้ และผู้ที่เรียนรู้วิธีวาดตราได้ก็มีน้อยกว่าร้อยตน

แต่ในสถานการณ์คับขันในครั้งนี้… มันจุดประกายความคิดใหม่ให้กับโดริส

ที่ผ่านมาเธอเข้าใจมันผิดมาตลอดเวลาเลยหรือ?

หรืออักษรรูนนี้ ที่จริงแล้วจะไม่ได้ให้ทุกคนเรียนเพื่อขอความช่วยเหลือของท่านหญิงซิลเวอร์ แต่เป็นวิธีเปลี่ยนสถานการณ์วิกฤติในตอนนี้?!

เขา…รู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิด!

โดริสนึกถึงรอยยิ้มลึกลับของเจ้าของร้านหนังสือขึ้นมาได้ แล้วพลันรู้สึกโล่งอกอย่างมาก

“เดี๋ยวก่อน!” โดริสเรียกคนในตระกูลที่ลนลานของเธอ เหล่าเอลฟ์มีความเชื่อใจธิดาเทพของพวกเขาอย่างมาก ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดลงทันทีแล้วมองมาที่เธอ

เธอมองไปรอบ ๆ แล้วพูดขึ้น “ครั้งหนึ่งข้าเคยนำของขวัญจากผู้ได้รับพรของท่านหญิงซิลเวอร์มาให้พวกเจ้านี่! นั่นคือเจตจำนงของท่านหญิงซิลเวอร์ และกุญแจที่จะทำให้เราออกจากวิกฤตินี้ไปได้! ผู้ใดที่เคยได้เรียนตราอักษรรูนจากหนังสือสัญลักษณ์ความเป็นผู้นำ จงวาดมันบนตัวเจ้าเองและคนอื่น ๆ เดี๋ยวนี้เลย!”

ครืน…

เกราะคุ้มกันกำลังพังทลาย และพื้นก็สั่นไหวอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าจะกลัว แต่เหล่าเอลฟ์ก็ทำตามคำสั่งของโดริส หลังจากเอลฟ์ที่ได้เรียนการเขียนตราวาด ‘สัญลักษณ์ความเป็นผู้นำ’ ลงบนตัวเอลฟ์ไปกว่าครึ่ง เกราะป้องกันก็แตกออก แล้วผู้ชอนไชบาดาลทั้งสองก็พุ่งเข้ามาพร้อมปากที่อ้ากว้าง

หนึ่งในนั้นถูกโดริสและเหล่านักรบสกัดไว้ แต่อีกตนหนึ่งฉวยโอกาสมุดลงไปใต้ดิน

เหล่าเอลฟ์เบียดเข้าหากัน จากการเบียดเสียดเยียดยัด เอลฟ์เด็กเมื่อตะกี้ร่วงลงไปกับพื้นแล้วร้องไห้โฮ

ตู้ม…!!! กว๊ากกกก!!!!

แม่ของเขามองมาแล้วเห็นเจ้าหนอนยักษ์ทะลวงออกมาจากพื้น แล้วอ้าปากที่เต็มไปด้วยวงซี่เขี้ยวคมกริบออกกว้าง พุ่งเข้าใส่ลูกชายของเธอ

“อย่านะ!!!”

เอลฟ์หญิงรีบเข้าไปกอดลูกของเธอเอาไว้ หลับตาปี๋รอความตาย

แต่หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก เธอก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บอย่างที่จินตนาการไว้

เอลฟ์หญิงลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างมึนงง แล้วเธอก็เห็นเจ้าหนอนยักษ์หยุดลงเหนือร่างของเธอ ปากของมันยังคงกระตุก และเธอก็เกือบจะสัมผัสถึงลมหายใจอุ่น ๆ เหม็นฉึ่งที่เป่าใส่หน้าเธอได้แล้ว ทว่าเจ้าหนอนไม่ได้เข้ามาใกล้กว่านี้ มันกระทั่งถอยหนีราวกับกำลังกลัวด้วยซ้ำ