บทที่ 232 วจนะแห่งพระเจ้า (I)

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 232 : วจนะแห่งพระเจ้า (I)

ร่างใหญ่ยักษ์ของผู้ชอนไชบาดาลยกอยู่เหนือสองแม่ลูก ฉายเงากดดันทาบทับพวกเขา

กรดที่ร้อนฉ่ายังคงหยาดหยดจากช่องปากของมัน หยดติ๋ง ๆ ลงกัดพื้นกร่อนเป็นรูใหญ่

ทว่ามันไม่ได้ขยับมาใกล้อีก แต่กลับหดตัวลงจากที่นั่นราวกับเจออะไรที่น่ากลัว น่าขยะแขยงหรือรับมือยากเข้า!

และทันทีที่มันลังเล โดริสก็ฉวยโอกาสใช้หลาวดินยักษ์จำนวนมากแทงเข้าที่สีข้างของผู้ชอนไชบาดาล

หลังจากส่งเสียงคำรามเสียดหูออกมาเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าหนอนก็บิดตัวไปมาสุดชีวิต มันยกหัวของมันขึ้น ก่อนที่สุดท้ายจะร่วงลงไปกองกับพื้นดังโครมใหญ่

หลังจากลมหายใจที่เหลือสลายไป แมกมาที่เหลืออยู่ในกระเพาะที่เสียหายของมันก็รั่วไหลออกมา ของเหลวสีทองปนแดงที่เรืองแสงในความมืดดูจะทำปฏิกิริยากับสารคัดหลั่งกรด แล้วนั่นก็ยิ่งทำให้ไฟลุกโชน

แต่โดริสไม่มีเวลามาเป็นห่วงไฟแล้ว เธอวิ่งกลับไปที่เกราะพลังเวทพร้อมธนูในมือ แล้วยิงศรเข้าใส่ผู้ชอนไชบาดาลอีกตนที่เหลือ

ลูกศรที่ถูกปล่อยนั้นดูราวกับสายฟ้าที่ฟาดผ่านอากาศเป็นเส้นตรงเข้าปะทะร่างเจ้าหนอนยักษ์ ระเบิดตัวมันออกแล้วเจาะเปลือกของมันเป็นรู

“โอ้…!”

ผู้ชอนไชบาดาลถูกดึงความสนใจทันที แล้วมันก็คำรามใส่โดริสอย่างเกรี้ยวกราด หลังจากหันกลับมา มันก็มุดกลับลงไปในดิน

เอลฟ์หญิงที่กำลังปกป้องลูกของเธอมองผู้ชอนไชบาดาลหายลงไปในหลุมใหญ่ตรงหน้าเธอ เธอตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนที่ในที่สุดเธอจะทรุดลงไปที่พื้นพร้อมน้ำตาคลอ

น้ำตาของเธอทะลักไหล กอดลูกที่ตกใจกลัวของเธอไว้แน่นแล้วปลอบเขา

โดริสลดคทาของตัวเองลงแล้วเดินมาหาพวกเขา

เอลฟ์รอบ ๆ ต่างทั้งตกตะลึงและตกใจ

แต่เมื่อมีผู้ได้สติคนแรก เขาก็ตะโกนอย่างตื่นเต้น “ตรานั่น! ‘สัญลักษณ์ความเป็นผู้นำ’ ปกป้องเราไว้!”

เขาชี้ตราดาวห้าแฉกที่แปลกและลึกลับที่วาดอยู่บนเสื้อผ้าของเอลฟ์หญิง

แล้วจากนั้น เอลฟ์ตนอื่น ๆ ต่างก็นึกออกแล้วเริ่มกอดกันอย่างปลื้มปีติราวกับเพิ่งรอดจากมหันตภัยมา

บางตนปิดหน้าสะอื้น หลั่งน้ำตาอย่างยินดี ในขณะที่บางตนทรุดลงไปนั่งกับพื้นแล้วภาวนาต่อแท่นพิธีเบื้องหลังพวกเขาอย่างร้อนแรง

“ท่านหญิงซิลเวอร์จงเจริญ! เกียรติภูมิแห่งดอกไอริสเบ่งบานในอดีตมาจนทุกวันนี้ และจะเบ่งบานตลอดไป!” พวกเขาตะโกนดังลั่นพร้อมชูมือขึ้นฟ้า

เป็นภาพที่ค่อนข้างโกลาหล

“เฮ้อ…”

โดริสถอนหายใจบังคับตนเองให้โล่งใจขึ้นในขณะที่เธอฟังเสียงพูดคุยโหวกเหวกอย่างดีใจของผู้คนของเธอพร้อม ๆ กับตรวจสอบร่องรอยบนพื้นใต้เท้าของเธอที่พวกผู้ชอนไชบาดาลทิ้งไว้เบื้องล่าง

สัญลักษณ์ความเป็นผู้นำได้ผล!

ผู้ได้รับพรผู้ยิ่งใหญ่หยั่งเห็นวิกฤติความเป็นความตายที่จะตกสู่ตระกูลไอริสนี้มาเนิ่นนานแล้ว

นี่คือเหตุผลที่เขาขายหนังสือเหล่านั้นให้ข้า และสั่งให้ข้านำกลับมาให้ตระกูลข้าศึกษามัน

ท่านหญิงซิลเวอร์คอยคุ้มกันภัยให้ผู้ที่ได้รับการเจิมจากนางมาตลอด!

แต่ก็อีกนั่นแหละ ผู้ได้รับพรผู้ยิ่งใหญ่แข็งแกร่งจริง ๆ ทุกอย่างที่นักล่าสาวผู้นั้นพูดล้วนเป็นความจริง เขาควรค่าอย่างแท้จริงต่อคำสรรเสริญว่า ‘รอบรู้และเชี่ยวชาญทุกด้าน’

โดริสรู้สึกอิจฉาหน่อย ๆ

ท่านหญิงซิลเวอร์ต้องประเมินเขาไว้สูงแน่นอน บางทีเขาอาจจะใกล้ชิดกับนางและเป็นผู้ได้รับพรที่นางเชื่อใจ…แต่ตัวตนที่แท้จริงของเขานั้นยังเป็นปริศนา

โดริสส่ายหน้าหลาย ๆ ครั้งเพื่อดึงสติ เธอเคาะคทาของตัวเองลงกับพื้นแล้วบอกสมาชิกตระกูลของเธอให้รวมตัวกันแล้วถอยหนีไปให้ไกลที่สุด

ในเมื่อคนในตระกูลส่วนใหญ่ยังไม่ได้ลงตราสัญลักษณ์ความเป็นผู้นำ โดริสจึงให้คนที่มีตราและไม่มีปะปนอยู่ด้วยกันแล้วให้ผู้มีตราคอยดูแลคนที่ยังไม่ได้รับสัญลักษณ์ความเป็นผู้นำ

หลังจากนั้นโดริสก็พักหายใจ แล้วเดินกลับออกไปนอกเขตเกราะคุ้มกัน

ความเหนื่อยอ่อนเล็กน้อยของเธอถูกแทนที่ด้วยการเพ่งสมาธิอย่างเข้มข้นอีกครั้ง

แม้ว่าเธอจะยังต่อสู้ต่อได้ แต่สัตว์มายาระดับภัยพิบัตินั้นรับมือไม่ง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่การต่อสู้ไม่ใช่ความถนัดของเธอ และเธอก็พึ่งเพียงการหยั่งรู้ของเธอเท่านั้นในการรับมือศัตรู

ทว่าเธอก็ไม่สามารถปล่อยให้คนในตระกูลเบื้องหลังที่เชื่อใจเธอต้องเสียใจได้ แม้จะต้องใช้พลังทั้งหมดและพบกับความตาย แต่นี่ก็คือหน้าที่ของเธอในฐานะธิดาเทพ

ก็มาสิ…ข้าหวังว่าเมื่อข้าตาย วิญญาณของข้าจะสามารถเข้าไปในแดนนิมิตของท่านหญิงซิลเวอร์ได้นะ

ด้วยรอยยิ้มเด็ดเดี่ยวบนใบหน้างดงามของเธอ โดริสจึงปักคทาของเธอลงกับพื้น เหล่าเมล็ดพันธุ์ที่กระจายอยู่ทั่วผืนดินรอบ ๆ ตัวเธองอกเงยแล้วเติบโตอย่างรวดเร็ว ล้อมผู้ชอนไชบาดาลที่เหลือเอาไว้

พื้นดินสั่นสะเทือน ร่างยักษ์ของเจ้าหนอนที่ดิ้นรนก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางพื้นดินที่ยกสูงขึ้น พื้นป่าทั้งป่าก็ดูเหมือนจะถูกยกขึ้น เป็นภาพการทำลายล้างวงกว้างที่เต็มไปด้วยเศษซาก

สีหน้าของโดริสค่อย ๆ ซีดลงเมื่อเธอหายใจหอบ มือของเธอสั่นเทา

ตราบใดที่พวกผู้ชอนไชบาดาลพวกนี้ไม่โจมตีคนของเธอ เธอก็จะยังมีที่ให้ใช้ความสามารถของเธอมากขึ้น

ในการต่อสู้ระหว่างผู้มีระดับภัยพิบัติ การเกิดลูกหลงและทำร้ายผู้บริสุทธิ์โดยไม่ตั้งใจนั้นเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงสูงสุด

ยกตัวอย่างศึกอันโด่งดังระหว่างไวลด์และโจเซฟ ความต้องการพื้นฐานในตอนนั้นก็คือต้องดึงไวลด์ไปยังพื้นที่หุบเขาโล่ง ๆ ก่อน เพื่อที่ทั้งคู่ โดยเฉพาะโจเซฟจะได้ใช้พลังได้เต็มที่

แต่ตอนนี้ สถานการณ์ในตอนนี้ก็ยังไม่สู้ดีนัก

เมล็ดพันธุ์พวกนี้ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็น

พวกมันคือเมล็ดพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรเอลฟ์ในตำนานที่ถูกฝังอยู่หลายต่อหลายพันปี ทนทานและอึด การเติบโตของพวกมันถูกเสริมด้วยพลังชีวิตของโดริสโดยตรง และการดูดพลังชีวิตของเธอก็ทำให้เธออ่อนแอลง

ในตอนนี้…ภาพนิมิตภาพใหม่ก็ปรากฏขึ้นในใจโดริส

เกินคาด รอยแตกแดนนิมิตที่ใต้ดินเปิดกว้างขึ้นอีกครั้งแล้ว

ลางสังหรณ์ของโดริสตรงเผง เจ้าพวกผู้ชอนไชบาดาลพวกนี้คือสัตว์มายาที่อยู่รวมตัวกันเป็นฝูง!

ในแต่นิมิตของเธอในครั้งนี้ พวกมันออกมาพร้อม ๆ กันสองตนในสภาพม้วนรัดกันราวกับมังกรคู่ ตรงสู่พื้นผิวดินแล้วทะลวงขึ้นจากเปลือกโลก

ผู้ชอนไชบาดาลสองตนนี้จะมาร่วมวงไพบูลย์บนพื้นดินในอีกไม่ถึงนาทีข้างหน้า

และจนตอนนั้น…

“มันก็คงจบลงจริง ๆ แล้ว…” โดริสพึมพำอย่างอ่อนแรง มือของเธอที่กำคทาคลายออกเล็กน้อย

การรั่วไหลอย่างต่อเนื่องของพลังชีวิตนั้นเกินกว่าที่เธอจะรับไหว ตอนนี้มันมาถึงจุดที่เหล่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต่างพากันเขมือบพลังชีวิตของเธออย่างดุเดือดแล้ว และเธอก็ไม่มีทางหยุดมันได้เลย

โชคดีที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้โตเต็มที่กันแล้ว

ผู้ชอนไชบาดาลที่ถูกพวกมันจับได้ต่างถูกรัดจนตาย เหลือไว้เพียงหนังแห้ง ๆ ที่เกือบถูกดูดของเหลวไปหมด

ข้ายื้อได้นานพอแล้ว คนของข้าทั้งหมดน่าจะถูกย้ายไปยังที่อื่นกันหมดแล้วกระมัง…

โดริสหน้ามืดทันทีที่เธอเห็นผู้มาใหม่สองตนที่ทะลวงออกมาจากผืนโลก การมองเห็นของเธอดับลง แล้วร่างของเธอก็ทรุดลงเช่นเดียวกัน

ในตอนที่เธอกำลังทรุดลงนี้เอง เธอก็รู้สึกเหมือนมีใครคว้าเอวของเธอไว้จากข้างหลัง

ธิดาเทพเอลฟ์เบิกตากว้างอย่างตกใจ แล้วเสียงอันอ่อนเยาว์ที่คุ้นหูอย่างน่าประหลาดก็ดังมาจากข้าง ๆ เธอ

“เฮ้อ… ฝันร้ายนี่แย่จริง ๆ ให้ผมช่วยคุณเปลี่ยนมันเถอะนะครับ”