ตอนที่ 407 กลับตาลปัตร (2) ตอนที่ 408 กลับตาลปัตร (3)

ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร

ตอนที่ 407 กลับตาลปัตร (2) / ตอนที่ 408 กลับตาลปัตร (3)
ตอนที่ 407 กลับตาลปัตร (2)

ป้ายหยกของแต่ละสาขาในสำนักศึกษานั้นจะแตกต่างออกไป สาขาผู้ใช้สัตว์วิญญาณใช้หยกเขียว สาขาผู้ใช้อาวุธวิญญาณใช้หยกดำ ในขณะที่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณใช้หยกขาว

ในมือของจวินอู๋เสียคือหยกสีเขียวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสาขาผู้ใช้สัตว์วิญญาณ

วันนี้เป็นวันที่ศิษย์ใหม่ทุกคนจะต้องไปรายงานตัวที่สาขาผู้ใช้สัตว์วิญญาณ แต่เนื่องจากจวินอู๋เสียถูกยัดเข้ามาในสาขานี้กลางคัน นางจึงไม่ได้รีบร้อนไปที่นั่นนัก

ภูติวิญญาณของนางคือภูติวิญญาณประเภทพฤกษา เนื้อหาของการเรียนการสอนเกี่ยวกับสัตว์วิญญาณและอาวุธวิญญาณจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับนาง สิ่งเดียวที่นางสนใจคือวิธีการเรียกใช้พลังวิญญาณที่อยู่ในร่างต่างหาก

เนื่องจากตระหนักถึงความคิดและความต้องการของตัวเองได้เป็นอย่างดี จวินอู๋เสียจึงไม่มีโอกาสได้เดินไปรอบๆ สำนักศึกษาเฟิงหัว จึงไม่รู้เลยว่า ‘ข่าวอื้อฉาว’ ของนางในตอนนี้นั้น มันร้อนแรงและดุเดือดมากถึงขนาดไหนแล้ว

เมื่อมาถึงช่วงพักเที่ยง ขณะที่ศิษย์ทุกคนกำลังทยอยเดินไปยังโรงอาหาร ภาพของจวินอู๋เสียที่กำลังก้าวเข้ามาในโรงอาหารเพียงลำพังด้วยสีหน้าเฉยชา ก็เรียกสายตาจากผู้คนได้ชะงัด พวกเขาจับจ้องไปที่นางด้วยสายตาที่มากมายเหลือเกิน ไม่ว่าจะเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย ดูถูกเหยียดหยาม สมเพชเวทนา หรือแม้กระทั่งสายตาสงสารเห็นใจก็ยังมี จวินอู๋เสียอุ้มเจ้าแมวดำตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนของนาง ดูเหมือนจะไม่ได้ตระหนักถึงสายตาพวกนั้นเลยสักนิด นางเพียงเดินไปรับอาหารและเลือกมุมเงียบๆ มุมหนึ่งเพื่อนั่งลง ก้มหน้าก้มตากินข้าวของตัวเอง ไม่ได้สนใจฟังและมองสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเลย

“นั่นน่ะหรือเด็กที่ชื่อจวินเสีย! คนที่ถูกเตะออกจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณตั้งแต่วันแรก” ศิษย์พี่บางคนที่ไม่เคยเห็นหน้าจวินอู๋เสียมาก่อน ชะเง้อคอมองร่างเล็กๆ นั้น พวกเขาไม่สนใจอัจฉริยะ แต่กับเรื่องไล่ตีสุนัขจนตรอกเช่นนี้ พวกเขาสนใจเป็นอย่างมาก

“คนนั้นแหละ เพิ่งจะไปรายงานตัววันแรกก็ถูกผู้อื่นไล่ออกมาเสียแล้ว ช่างน่าขำจริงๆ” ชายหนุ่มผู้หนึ่งหัวเราะเสียงดัง

“แต่ก็นะ ในเมื่อเขาถูกไล่ออกจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณแล้ว ทำไมยังอยู่ที่นี่อีกเล่า ไม่ใช่ว่าต้องออกไปจากสำนักศึกษาเฟิงหัวด้วยหรอกหรือ”

“ใครจะไปรู้”

ขณะที่ทั้งโรงอาหารเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องของศิษย์ใหม่ผู้แสนโชคดีที่เพิ่งถูกเตะโด่งออกมาจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณด้วยเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งวัน

ที่ชั้นสองของโรงอาหาร ศิษย์พี่หนิงก็กำลังมองลงมาจากราวบันไดและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เมื่อจวินอู๋เสียนั่งอยู่คนเดียวตรงมุมห้องและถามออกไปว่า

“นั่นก็คือเด็กในการดูแลของฟ่านจิ่นใช่หรือไม่” ศิษย์พี่หนิงหรี่ตาและเหลือบมองอิ่นเหยียนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ นาง

หลังจากที่อิ่นเหยียนรู้ว่าจวินอู๋เสียถูกไล่ออกจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณแล้ว เขาก็รีบส่งข่าวไปให้กับศิษย์พี่หนิงทันที ขณะที่ทั้งคู่มองลงมาจากด้านบน เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นความอับอายและตกต่ำของจวินอู๋เสีย

“ใช่แล้วขอรับ”

“เขาถูกไล่ออกจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณจริงๆ น่ะรึ!” ศิษย์พี่หนิงถามย้ำอีกครั้งอย่างระมัดระวัง “นี่เป็นกรณีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย ถูกขับไล่ออกจากสาขาตั้งแต่วันแรกที่ไปรายงานตัว เรื่องแบบนี้ เมื่อพิจารณาจากอุปนิสัยของกู้หลีเซิงที่สุภาพอ่อนโยนและเป็นมิตรแล้ว เขาไม่น่าจะทำเรื่องสุดโต่งแบบนี้ออกมาได้”

อิ่นเหยียนรีบร้อนตอบ “จริงแท้แน่นอนขอรับ หลังจากที่จวินเสียเดินออกจากตึกสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณไป ข้าได้เข้าไปถามท่านอาจารย์ว่าเหตุใดศิษย์ใหม่จึงรีบร้อนจากไปเช่นนั้น ท่านอาจารย์เพียงตอบข้าว่านับแต่วันนี้ไปเขาไม่ใช่คนของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณอีก จึงไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่ต่อ”

หวนนึกไปถึงการแสดงออกของกู้หลีเซิงตอนที่เขากล่าวประโยคนี้ออกมา อิ่นเหยียนก็รู้สึกโล่งใจมาก

“โอ้ อย่างนั้นหรือ ข้าได้ยินมาว่าเด็กคนนี้ได้พบกับกู้หลีเซิงระหว่างการลงทะเบียนเข้าสำนัก ในเวลานั้นกู้หลีเซิงดูเหมือนจะสนใจเขามาก แถมยังถามเขาออกไปกลางที่สาธารณะด้วยว่าอยากจะเข้าร่วมกับสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณของเขาหรือไม่ นี่เพิ่งผ่านไปเพียงกี่วันเอง ความสนใจนั้นก็หายไปหมดแล้ว?” ศิษย์พี่หนิงหรี่ตาลงอย่างที่คุณคิด นางรู้สึกอยู่เสมอว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ ดูไม่สอดคล้องกับอุปนิสัยของกู้หลีเซิงเลย

อย่างไรก็ตาม อิ่นเหยียนกลับไม่เห็นด้วย เขากล่าวว่า “นั่นเป็นเพียงคำพูดที่พูดออกไปลอยๆ เท่านั้น จะนับเป็นจริงเป็นจังได้อย่างไร เจ้าจวินเสียนั่นมันหน้าไม่อาย คิดว่าตัวเองสามารถเข้าสู่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณได้และจะได้รับการสนับสนุนจากท่านอาจารย์ สุดท้ายเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่ากลายเป็นเพียงเรื่องตลกฉากหนึ่งเท่านั้นหรือขอรับ”

“แต่กู้หลีเซิงไม่ใช่พูดไปแล้วหรือว่าปีนี้เขารับศิษย์เพียงคนเดียว แถมยังได้บอกให้ศิษย์คนนั้นไปรายงานตัวแล้วด้วย” ศิษย์พี่หนิงถามออกไป

ตอนที่ 408 กลับตาลปัตร (3)

อิ่นเหยียนชะงักไปครู่หนึ่ง จุดนี้เขาเองก็ยังคิดไม่ตกเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ ก็เกิดความโกลาหลขึ้นที่ชั้นหนึ่งของโรงอาหาร

เด็กหนุ่มในชุดอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ กำลังเดินเข้ามาในโรงอาหารโดยที่รอบตัวเขามีแต่กลุ่มคนล้อมรอบ ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว จะเห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งมีอายุเพียงสิบห้าหรือสิบหกปีเท่านั้น

“จื่อมู่ สุดท้ายก็กลายเป็นว่าเจ้าคือศิษย์ที่แท้จริงของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ! เมื่อเช้าเจ้ายังไปรายงานตัวกับพวกเราที่สาขาผู้ใช้สัตว์วิญญาณอยู่เลย ข้ายังนึกว่าอีกหน่อยพวกเราจะได้ร่วมฝึกฝนด้วยกันเสียอีก ที่ไหนได้เพียงพริบตาเดียวเจ้าก็ไร้น้ำใจทอดทิ้งพวกเราไปเข้าสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณเสียแล้ว” กลุ่มคนที่อยู่รอบๆ ตัวเด็กหนุ่มหัวเราะและแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงโอดครวญ

เด็กหนุ่มที่ถูกรายล้อมไปด้วยฝูงชนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขายกมุมปากขึ้น ใครๆ ก็มองออกว่าเขารู้สึกภาคภูมิใจมากแค่ไหน

“ข้าเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน วันนั้นท่านอาจารย์เดินผ่านข้าไป กลายเป็นว่านั่นคือสัญญาณที่ท่านอาจารย์บ่งบอกว่าจะเลือกข้า ทำเรื่องน่าตลกลงไปเสียแล้ว”หลี่จื่อมู่ส่ายหัวและถอนหายใจอย่างเสแสร้ง ทว่าดวงตาของเขานั้นกลับเต็มไปด้วยความยินดี

“คนที่ทำเรื่องตลกไม่ใช่เจ้าหรอก แต่เป็นเจ้าคนหลอกลวงนั่นต่างหากที่สร้างเรื่องขึ้นมา” ชายหนุ่มในกลุ่มคนหนึ่งพยักพเยิดหน้าไปทางจวินอู๋เสียที่นั่งอยู่คนเดียว เมื่อไม่เห็นสีหน้าบูดบึ้งจากจวินอู๋เสีย เขาก็จงใจเพิ่มเสียงขึ้นอีกเล็กน้อยต้องการให้คนทั่วทั้งโรงอาหารได้ยิน

“คนบางคนไม่มีความสามารถนั้น แต่คิดฝันเฟื่องเข้าข้างตัวเอง แถมยังวิ่งไปหาท่านผู้อาวุโสกู้ที่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณเพื่อรายงานตัวอีก หากไม่ใช่เพราะท่านผู้อาวุโสกู้ตัดสินใจแน่แล้วว่าจะเลือกจื่อมู่เป็นศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณเพียงแค่คนเดียวในปีนี้และขับไล่เขาออกมา เจ้าคนหน้าไม่อายนั่นคงจะแย่งชิงโอกาสของจื่อมู่ของพวกเราไปเป็นของตัวเองแล้ว ช่างน่าด้าน น่าหัวร่อจริงๆ!”

เสียงของชายหนุ่มดังมาก ดังนั้นทุกคนที่อยู่ในโรงอาหารจึงได้ยินมันอย่างชัดเจน

คำพูดเหล่านี้ ทำให้กลุ่มคนรุ่นเยาว์ที่ยังสงสัยว่าเหตุใดจวินอู่เสียถึงถูกไล่ออกจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณตั้งแต่วันแรก กระจ่างถึงความจริงขึ้นมา

ที่แท้ศิษย์ที่กู้หลีเซิงเลือกให้เข้าสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณในวันนั้นไม่ใช่จวินอู๋เสียแต่เป็นคนอื่นต่างหาก ทว่าจวินอู๋เสียสำคัญตัวผิด คิดว่าเขาได้รับเลือกแล้วจึงวิ่งไปที่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณเพื่อรายงานตัวและพยายามจะขโมยตำแหน่งของหลี่จื่อมู่ผู้โชคร้าย แต่ผลที่ได้คือทันทีที่กู้หลีเซิงเห็นจวินอู๋เสีย เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดพลาด และจัดการโยนจวินอู๋เสียออกมาจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณของเขา

ในชั่วพริบตา ทุกคนก็จับจ้องไปที่จวินอู๋เสียผู้แสนไร้ยางอายด้วยสายตาดูหมิ่น ไม่คิดเลยว่าอายุยังน้อย แต่จะกล้าทำเรื่องน่าละอายจำพวกจับปลาน้ำขุ่นพยายามฉวยโอกาสจากผู้อื่นเช่นนี้

หลายคนลอบถ่มน้ำลายใส่จวินอู๋เสีย สบถด่าว่าคนแบบนี้ไม่สมควรที่จะอยู่ในสำนักศึกษาเฟิงหัวต่อไปและสมควรจะเก็บข้าวของออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด

หลี่จื่อมู่ภาคภูมิใจมากที่ได้รับคำชมจากสหายของเขา แต่หลังจากที่เขาได้เห็นสายตาอิจฉาริษยาของคนอื่นๆ เขาก็เลิกล้มความคิดที่จะหยุดพวกเขาไปทันที

อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่อย่างที่คนอื่นๆ คาดเดา เมื่อกู้หลีเซิงขอให้หลี่จื่อมู่ไปพบเขาที่ห้องทำงาน เขาก็ได้อธิบายเกี่ยวกับความเข้าใจผิดทั้งหมดนี้ให้กับเขาฟังแล้ว ว่าเพราะอาจารย์ที่ทำการลงชื่อคิดว่าศิษย์ที่เขาเลือกนั้นคือจวินอู๋เสียที่เขาได้พบในวันแรก เรื่องราวมันจึงยุ่งเหยิงสับสนไปหมดแบบนี้ จวินอู๋เสียไม่ได้รับรู้อะไรด้วยเลย

อย่างไรก็ตาม คำอธิบายนี้มีเพียงหลี่จื่อมู่คนเดียวเท่านั้นที่รับรู้ อันที่จริงในคืนนั้นหลังจากที่ประกาศว่าสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณปีนี้จะรับศิษย์เพียงคนเดียวและทุกคนคิดว่านั่นก็คือจวินอู๋เสีย ในตอนนั้นหลี่จื่อมู่รู้สึกอิจฉาจวินอู๋เสียเป็นอย่างมาก เวลานี้เมื่อทุกคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับเขา เขาไม่สนใจหรอกว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ เมื่อได้เห็นจวินอู๋เสียถูกเหยียบย่ำและดูถูกเพราะความเข้าใจผิดดังกล่าว หัวใจของหลี่จื่อมู่ก็รู้สึกปลอดโปร่ง สะใจยิ่งนัก

ก็ต้องโทษที่จวินอู๋เสียไม่รู้จักประมาณความสามารถของตัวเองล่ะนะ

และเพราะเหตุนี้เอง หลี่จื่อมู่จึงยิ่งเติมเชื้อเพลิงให้กับทุกคน เขาไม่ได้อธิบายความจริงออกมาแต่ยิ่งใส่สีตีเพิ่มไข่เข้าไปใหญ่