ตอนที่ 204 ความยากจนเป็นตัวกระตุ้น

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 204 ความยากจนเป็นตัวกระตุ้น

หลินจื่อเหยียนรับตำรามาถือไว้พร้อมรอยยิ้ม…ตำราที่ศิษย์พี่เจียงเลือกให้ต้องมีประโยชน์แน่นอน ช่วงหลายวันนี้ได้อ่านตำรากับศิษย์พี่เจียงก็รู้สึกว่าตนพัฒนาขึ้นมากโดยเฉพาะด้านการเขียนบทความ เขายังได้รับคำชมจากอาจารย์ด้วย ! การลาหยุดเพื่ออ่านตำรากับศิษย์พี่เจียงเป็นทางเลือกที่ฉลาดมาก !

ในบรรดาตำราของบ้านเจียงโม่หานล้วนมีการเขียนสรุปอย่างละเอียดเอาไว้ ยังมีพวกบทกวีหรือบทความที่เขียนในเวลาปกติ พอหลินจื่อเหยียนอ่านแล้วก็จะมีความรู้สึกว่าได้เปิดมุมมองและเข้าใจขึ้นมาทันที ขณะที่ตระหนักได้ถึงพัฒนาการของตน เขาก็ทราบถึงช่องว่างระหว่างตนเองกับเจียงโม่หานว่ามีมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากสติปัญญาของตนยังไม่เพียงพอ ดังนั้นต้องขยันศึกษาตำรามากกว่าเดิม หากไม่ได้เป็นเพราะพี่รองทำของอร่อยให้กินทุกวัน เขาก็คงเหนื่อยจนซูบผอมไปแล้ว…

หลินเว่ยเว่ยแย่งตำราที่พวกเขาสองคนเลือกมาถือไว้แล้วเอื้อมมือไปตบที่โต๊ะคิดเงิน “คำนวณว่าเป็นเงินเท่าไหร่ อย่าชักช้า พวกเรารีบไปกินข้าว ! ”

พนักงานร้านหนังสือมุ่ยปากอีกครั้ง…ไปกินข้าวที่หยวนเค่อหลาย ? พวกเจ้าเนี่ยน่ะหรือ ? คุยโวไปเถิด การโอ้อวดไม่ต้องเสียเงินอยู่แล้วนี่ ! สภาพเช่นพวกเจ้ายังไม่ทันเบียดถึงประตูของหยวนเค่อหลายก็โดนไล่เยี่ยงขอทานแล้ว !

“ทั้งหมดสิบสองตำลึงสามอีแปะ ! ” พนักงานมองไปยังเจียงโม่หานซึ่งดูมีเงินมากที่สุดในบรรดาสามคนนี้แล้วพูดเสียงดังลั่น

เสียงเพิ่งเงียบลง หลินเว่ยเว่ยก็ตบตั๋วเงิน 20 ตำลึงลงบนโต๊ะ…โอ๊ย ! ทันใดนั้นหลังมือของนางก็โดนพัดตี นางจึงถลึงตาใส่บัณฑิตหนุ่มด้วยความโมโห เหตุใดต้องตีนางแรงเพียงนี้ มันเจ็บมาก รู้หรือไม่ ?

เจียงโม่หานดึงตั๋วเงินของนางกลับมาแล้วยัดใส่มือนางอีกครั้ง จากนั้นก็หยิบเงินสดจำนวน 10 ตำลึงกับ 3 อีแปะออกมาจากกระเป๋า

พนักงานเห็นมูลค่าของตั๋วเงินแล้วสีหน้าหมดความอดทนและการดูแคลนก็จางหายราวกับภาพมายา ดูไม่ออกเลย แท้จริงคนมีเงินสมัยนี้ชอบทำตัวเป็นยาจก

ใครจะคิดว่าเท้าเปื้อนโคลนกับบัณฑิตยากจนคนหนึ่งจะสามารถคว้าตั๋วเงิน 20 ตำลึงหรือเงินสิบกว่าตำลึงออกมาในชั่วพริบตาเดียว ?

หยวนเค่อหลายตั้งอยู่ในพื้นที่คึกคักที่สุดของอำเภอเป่าชิง เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ทำเลทอง หากทำการค้าบนถนนสายนี้ถ้าจะกล่าวว่าเงินทองไหลมาเทมาไม่ขาดสายย่อมไม่เกินจริงแต่อย่างใด แน่นอนว่าทางเท้าของถนนสายนี้ก็เป็นทำเลทองที่หาได้ยากเช่นกัน !

ตอนนั้นหนิงตงเซิ่งอยากใช้เส้นทางระดับสูงของอำเภอเพื่อเปิดร้านสาขาสอง แต่หลังจากค้นหายาวนานกว่าหนึ่งเดือน เขาก็ยังหาร้านที่เปิดให้เช่าไม่เจอจึงได้แต่ถอยไปเลือกถนนด้านข้างแทน

วันนี้เขาเป็นเจ้าภาพซึ่งหลินกู่เหนียงไม่เคยให้โอกาสเขาเช่นนี้มาก่อน หนิงตงเซิ่งมารออยู่ที่หน้าประตูร้านหยวนเค่อหลายนานแล้ว ก่อนที่พวกหลินเว่ยเว่ยจะโดนพนักงานไล่ออกไปเพราะเห็นว่าเป็นขอทาน เขาก็รีบเข้าไปต้อนรับ ไม่อย่างนั้นอาจเกิดสถานการณ์ที่เข้าใจผิดหรือกระอักกระอ่วนได้ !

“คุณชายทั้งหลายเชิญด้านใน เชิญที่หอชุนหลานขอรับ ! ” พนักงานมองการรวมตัวของกลุ่มคนประหลาดนี้ด้วยความสงสัย…คุณชายในชุดสง่างาม เด็กบ้านนอกในชุดเก่าโทรม บัณฑิตยากจนอีกสองคน นี่คือการรวมตัวของเทพเซียนอันใดกัน ?

ด้วยการต้อนรับอย่างอบอุ่นตามแบบฉบับที่สืบสานกันมา พนักงานได้พาทั้งสี่คนมายังหอชุนหลาน เมื่อรินชาเรียบร้อยแล้วก็ถามด้วยรอยยิ้ม “คุณชายทั้งหลายต้องการสั่งอาหารอะไรบ้างขอรับ ? ”

หนิงตงเซิ่งเคยมาที่นี่สองสามครั้งเวลาคุยธุรกิจ ขณะมองหลินเว่ยเว่ยแล้วเขาก็กล่าวว่า “ซี่โครงน้ำแดงของที่นี่รสชาติไม่เลว ยังมีหมูทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน ผัดหมูกรอบ ซี่โครงตุ๋นกะหล่ำปลีล้วนทำออกมาได้มีรสชาติดั้งเดิมทั้งสิ้น ! ”

หลินเว่ยเว่ยพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เรามากันแค่สี่คน ไม่ต้องสั่งเยอะมาก ประเดี๋ยวจะสิ้นเปลืองเปล่า ๆ…เอาเนื้อขาวและไส้กรอกเลือดตุ๋นกะหล่ำปลี หมูทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน ผัดสามเซียน ซี่โครงตุ๋นถั่วฝักยาว ส่วนซุป…แค่ซุปไข่ก็ได้แล้ว อ้อ เอาเกี๊ยวไส้เนื้อมาอีกหนึ่งชุด ! ”

นี่ยังถือว่าไม่เยอะอีกหรือ ? ต้องทราบว่าจุดเด่นของชาวเหนืออย่างหนึ่งคือการแบ่งกันกิน แค่เนื้อขาวและไส้กรอกเลือดตุ๋นกะหล่ำปลี เมื่อตักใส่ชามก็สามารถทำให้สองสามคนกินจนอิ่มท้องได้แล้ว ทั้งสี่คนนี้มีรูปร่างผอมแห้ง สั่งอาหารเยอะเช่นนี้แล้วยังกล้าบอกว่าไม่สิ้นเปลืองอีกหรือ ?

หนิงตงเซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ซี่โครงน้ำแดงและกระเพาะแพะลวกมาอีกอย่างละหนึ่ง…หลินกู่เหนียง กระเพาะแพะของร้านนี้เรียนสูตรมาจากเมืองหลวง สั่งมาสักจานเถิด พวกเราจะได้ชิมของใหม่ ๆ กันหน่อย”

อาหารที่ยกมาเป็นอย่างแรกคือเนื้อขาวและไส้กรอกเลือดตุ๋นกะหล่ำปลี หลินเว่ยเว่ยอยากชิมอาหารตะวันออกเฉียงเหนือแบบต้นตำรับมานานแล้ว ในชาติก่อน กว่านางจะแย่งที่ฝึกงานในพื้นที่ภูเขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย รถเพิ่งขับออกไปแค่ครึ่งทางนางก็ทะลุมิติมาอยู่ที่นี่แล้ว ตอนที่นางย้อนเวลามาก็เป็นช่วงต้นฤดูร้อน ภัยแล้งรุนแรงแล้วจะมีใครในหมู่บ้านเชือดหมูเพื่อทำไส้กรอกเลือดบ้างล่ะ ? ในที่สุดนางก็มีโอกาสได้ชิมเสียที !

นางคีบเนื้อหมูขึ้นมากิน ไม่ต้องกล่าวเลย เนื้อหมูขาว ๆ แทรกมันราวหิมะ เมื่ออยู่ในปากรสสัมผัสกลมกล่อม มันแต่ไม่เลี่ยน ไส้กรอกเลือดรสชาติเข้มข้น สดใหม่ละเอียดนุ่มลิ้น เมื่อรวมกับต้นหอม น้ำมันพริก กระเทียมเจียว…ก็ยิ่งกลมกล่อมและมีรสชาติสดชื่นกว่าเดิม

“อือ ! อาหารจานนี้ทำได้มีรสดั้งเดิมมาก ! ” หลินเว่ยเว่ยคีบไส้กรอกเลือดและเนื้อหมูอย่างละชิ้น แม้กินจนปากมันเยิ้มแล้วนางก็หยุดมือไม่ได้

หนิงตงเซิ่งแนะนำซี่โครงน้ำแดง มันทำจากกระดูกสันหลังหมูที่ตุ๋นเป็นเวลานาน กระดูกสันหลังหมูที่เคี่ยวแล้วจะมีรสนุ่มละมุน เคี้ยวได้อย่างเพลิดเพลิน ทำให้รสชาติคั่งค้างอยู่ในปากไม่มีที่สิ้นสุด ซี่โครงน้ำแดงจานใหญ่ถูกหลินเว่ยเว่ยกินไปคนเดียวกว่าครึ่งจาน !

ของอร่อยพร้อมรสชาติดั้งเดิมทำให้หลินเว่ยเว่ยมีความอยากอาหารมากกว่าปกติและผลลัพธ์ที่ได้คือ…อาหารที่แปดคนกินแล้วก็ยังเหลือได้หายไปจนเกลี้ยงเพราะคนทั้งสี่ แน่นอนว่าผลงานส่วนใหญ่ต้องยกให้หลินเว่ยเว่ย

ตอนเริ่มแรกหนิงตงเซิ่งก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ทว่าต่อมาก็เริ่มชิน…อย่าว่าแต่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเลย แม้แต่ชายฉกรรจ์ที่กินได้แบบหลินกู่เหนียงก็มีไม่มาก !

เขายังกังวลว่าหลินเว่ยเว่ยจะกินจนแน่นท้อง แต่พอเห็นท่าทางเฉยชาของเจียงโม่หานและหลินจื่อเหยียนแล้วเขาก็วางใจได้ในที่สุด ตรงกันข้ามคือเขากินจนแน่นท้องเสียเอง ก็…เวลาเห็นหลินกู่เหนียงกินอะไร แม้จะเป็นคนที่ไม่อยากอาหารก็ยังกินเพิ่มได้อีกหลายคำ

หลินเว่ยเว่ยเช็ดมุมปาก ยกชาบนโต๊ะขึ้นจิบ จากนั้นก็เรียกพนักงานเข้ามา “เสี่ยวเอ้อร์ มีขนมกินหลังอาหารหรือไม่ ? ช่วยแนะนำหน่อย”

“ขนม ? อยากกินขนมท่านต้องไปที่ร้านขนม ร้านของเราไม่มีขอรับ ! ” พนักงานมองความเลอะเทอะบนโต๊ะแล้วดวงตาก็แทบถลนออกมา…คนพวกนี้กินเก่งเหลือเกิน !

หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้า “เพราะพวกเจ้าคิดรอบคอบไม่พอ ! ลูกค้ากินข้าวเสร็จแล้วก็อยากกินขนมแก้เบื่อ แม้แต่บริการขั้นพื้นฐานที่สุดพวกเจ้ายังทำไม่ได้ จะทำให้ลูกค้าพอใจได้อย่างไร ? เจ้ามองถนนฝั่งตรงข้ามสิ เริ่มปรับปรุงแล้ว น่าจะเป็นร้านอาหารเหมือนกัน แถมขนาดไม่เล็กด้วย ! หากไม่เปลี่ยนแปลงความคิด พวกเจ้าจะรักษาลูกค้าได้นานเท่าไรกันเชียว ? ”

เมื่อพนักงานได้ยินถ้อยคำเช่นนี้ก็ไม่กล้ามองด้วยความดูถูกอีกต่อไป เขาเกาศีรษะแล้วฉีกยิ้มอย่างขอโทษ “ท่านกล่าวได้มีเหตุผลมากขอรับ ทว่า…เรื่องนี้ข้าตัดสินใจไม่ได้ ประเดี๋ยวข้าจะไปเรียกหลงจู๊มาที่นี่ พวกท่านรอสักครู่…”

ต่อจากนั้นพนักงานก็วิ่งลงไปชั้นล่างเพื่อตามหาหลงจู๊ ช่วงนี้หลงจู๊ก็กำลังปวดศีรษะและหัวร้อนอยู่เหมือนกัน ฝั่งตรงข้ามกำลังจะมีร้านอาหารเปิดใหม่และยังเชิญพ่อครัวมาจากเมืองหลวง สามารถทำอาหารได้ตั้งหลายชนิด หยวนเค่อหลายอยู่ในฐานะผู้นำด้านอาหารของถนนสายนี้มาโดยตลอด คงไม่จบเห่ในมือของเขากระมัง ?

ช่วงหลายวันมานี้หลงจู๊เปรียบเสมือนมดที่เดินบนกระทะร้อน เขารีบคิดหากลยุทธ์จนศีรษะแทบจะล้านอยู่แล้ว