ตอนที่ 277 เฉินเจียเหอขี้หึง

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 277 เฉินเจียเหอขี้หึง

ตอนที่ 277 เฉินเจียเหอขี้หึง

หลินเซี่ยลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับมาที่ร้านตัดผม หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนก็เข้ามา

หลิวกุ้ยอิงนอนไม่หลับเกือบทั้งคืน ขอบตามีแต่รอยคล้ำ ตาบวมเป่งจากการนอนร้องไห้ ดูน่าสงสารมาก

หลินเซี่ยพูดว่า “แม่คะ อย่ากังวลไปเลย ฉันมั่นใจมากว่าเรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือการจัดฉากของใครสักคนแน่ เร็ว ๆ นี้เราจะได้รู้กัน มารอฟังข่าวกันดีกว่า”

หลิวกุ้ยอิงไม่อยากกดดันลูกสาวมากเกินไป จึงไม่ถามอะไรอีก ทำเพียงพูดพลางฝืนยิ้มบูดเบี้ยว “แม่กับเสี่ยวเยี่ยนชินกับการทำงานยุ่ง ๆ ตลอดทั้งวัน แต่ตอนนี้มีเวลาว่างเหลือเฟือ แม่เลยรู้สึกว่างจนไม่รู้จะทำอะไร”

หลินเซี่ยจับมือและปลอบโยนหล่อน “แม่คะ แม่เพิ่งจะได้พักแค่สองวันเอง ถือซะว่าเป็นวันหยุด ตั้งแต่มาถึงไห่เฉิงแม่เองก็ไม่ได้หยุดพักแบบนี้มาก่อนเลยนี่”

หลินเยี่ยนพูดกับหลินเซี่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “แม่นั่งอยู่เฉย ๆ ก็ร้องไห้แล้ว น่าจะเป็นเพราะเสียดายเงินที่เคยหามาได้ และกลัวว่าต่อไปจะตั้งแผงขายอาหารไม่ได้อีก แถมเงินที่แม่เก็บเอาไว้เผื่องานแต่งของพี่ใหญ่ก็มีแนวโน้มว่าจะสูญเปล่า แม่เลยเป็นกังวลมากจนนอนไม่หลับ”

“พี่อิงจื่อ ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินของจินซานหรอกครับ ถ้าเขาจะแต่งงานกับใครสักคนก็ให้เขาหาเงินด้วยตัวเอง ตราบใดที่เขายังทำงานได้ดี ผมจะเพิ่มเงินเดือนให้”

ขณะที่เซี่ยไห่พูด สีหน้าของหลิวกุ้ยอิงก็ไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย

พ่อของหลินจินซานตายไปหลายปีแล้ว ในฐานะแม่ หล่อนควรมอบของขวัญสักอย่างให้เขา ซึ่งต้องเพียงพอที่จะให้เขาได้สร้างครอบครัวโดยเร็วที่สุด นี่ถือเป็นความรับผิดชอบในฐานะผู้ปกครอง

ถ้าหล่อนไม่สามารถมอบของพวกนั้นให้หลินจินซานได้ คงจะรู้สึกละอายใจต่อหลินต้าฝูไม่น้อย

ดวงตาของเซี่ยไห่กระตุกเล็กน้อย จากนั้นพูดกับหลิวกุ้ยอิงว่า “พี่อิงจื่อ ในเมื่อคุณอยู่เฉยไม่ได้จริง ๆ งั้นมาช่วยผมสักหน่อย พอดีว่าผมมีงานบางอย่างที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่พอดี”

“ผมเช่าบ้านไว้ให้แม่กับพี่ใหญ่ระหว่างที่พวกเขาอยู่ในไห่เฉิง สองวันมานี้ผมงานยุ่งมากจนไม่มีเวลาแวะเข้าไปทำความสะอาดเลย พี่อิงจื่อกับเสี่ยวเยี่ยนไปช่วยทำความสะอาดให้หน่อยได้ไหมครับ? แม่กับพี่ใหญ่ของผมเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ แต่พี่สาวผมที่เป็นดาราดังนี่สินิสัยเสียนิดหน่อย หล่อนค่อนข้างเข้มงวดเรื่องสภาพที่พักมาก รบกวนช่วยทำความสะอาดให้ที ไม่อย่างนั้นพี่สาวได้ไล่ตีผมแน่ ๆ”

“เอ่อ…” หลิวกุ้ยอิงเหลือบมองหลินเซี่ยด้วยความลังเล

หลินเซี่ยพูดขึ้นว่า “แม่ ไปช่วยเถ้าแก่สักหน่อยเถอะค่ะ เห็นไหมว่าเขาใส่ใจเรื่องครอบครัวของเรามากแค่ไหน ถ้าเขาไม่มัวเสียเวลากับปัญหาของเรา เขาคงทำความสะอาดเองไปนานแล้ว”

หลิวกุ้ยอิงทำได้เพียงเห็นด้วย “งั้นก็ได้”

“มาเถอะ เดี๋ยวผมจะพาพวกคุณไปส่งเอง”

เฉินเจียเหอช่วยเซี่ยไห่หาบ้านพักตากอากาศในสวนที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับชุมชนบ้านพักทหาร

ลานหน้าบ้านเป็นรูปสี่เหลี่ยมสะอาดสะอ้านปูด้วยซีเมนต์เนียนกริบ แตกต่างจากลักษณะของลานหน้าบ้านในตรอกโดยสิ้นเชิง

บ้านหลังนี้เป็นบ้านของสหายเก่าผู้เฒ่าเฉิน เนื่องจากชายชราเจ้าของบ้านย้ายไปอยู่กับลูกชายที่เมืองหลวง ผู้เฒ่าเฉินจึงติดต่อเขาเพื่อขอเช่าอยู่สักระยะ พออีกฝ่ายได้ยินว่าวีรบุรุษที่รอดชีวิตจากสงครามกำลังจะเดินทางมาพักที่นั่น จึงตอบตกลงทางโทรศัพท์อย่างไม่เห็นแก่ตัว

ส่วนค่าเช่าไว้ค่อยจ่ายหลังจากที่เขากลับมา

หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนเดินตามเซี่ยไห่เข้าไปข้างใน เดินไปข้างหน้าด้วยความกริ่งเกรงและประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่าเซี่ยไห่จะร่ำรวยถึงขั้นเช่าบ้านหลังใหญ่โตที่หรูหราขนาดนี้ได้

สถานที่แห่งนี้เหมือนเป็นบ้านของครอบครัวผู้มีฐานะในสมัยโบราณที่พวกหล่อนเคยเห็นในละครโทรทัศน์ไม่มีผิด

“พี่อิงจื่อ บางส่วนในบ้านเรียบร้อยดีอยู่แล้ว เหลือแค่ปัดกวาดเช็ดถูเท่านั้น ผมซื้อเครื่องนอนเตรียมไว้หมดแล้ว เป็นของใหม่ทั้งหมด คุณแค่เอามันไปตากแดดก่อนใช้งาน ส่วนจุดอื่น ๆ ที่ละเอียดกว่านี้ผมไม่มีความสามารถจริง ๆ”

“ไม่ต้องห่วง เสี่ยวเยี่ยนกับฉันจะทำความสะอาดให้เอง”

เซี่ยไห่พาพวกเธอเดินไปรอบ ๆ เพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม จากนั้นก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ “พี่อิงจื่อ ค่อย ๆ ทำความสะอาดไปนะ เดี๋ยวผมจะออกไปก่อน แล้วจะกลับมารับช่วงบ่าย”

“ได้เลย”

เฉินเจียเหอมาหาหลินเซี่ยในช่วงพักเที่ยงหลังจากเสร็จงานในช่วงเช้า แล้วถามเกี่ยวกับความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเขาเห็นภาพที่หลินเซี่ยยื่นให้ดูก็จำคนในรูปได้ทันที เขาขมวดเล็กน้อยแล้วถามว่า “หลิวจื้อหมิง?”

“คุณจำเขาได้ด้วยเหรอ?” หลินเซี่ยมองเขาด้วยความประหลาดใจ

“รูปออกจะชัดขนาดนั้น ผมไม่ได้ตาบอดสักหน่อย”

สีหน้าของเฉินเจียเหอเคร่งขรึมขึ้น น้ำเสียงกดต่ำลง “เขาทำไปเพื่ออะไรกันแน่? เพราะง้อคุณกลับไปไม่สำเร็จ ก็เลยใช้วิธีสกปรกเพื่อแก้แค้นงั้นเหรอ?”

หลินเซี่ยมองสามีผู้ที่อารมณ์มั่นคงมาโดยตลอด และไม่แยแสกับเรื่องเล็กน้อยหรือแม้แต่โกรธเคืองใคร ขณะที่มองเขาจากด้านข้างก็ใช้ตะเกียบคีบผักกาดขาวขึ้นมา แล้วพูดหยอกล้อว่า “นี่ ข้าววันนี้เปรี้ยวมากหรือไง”

จากนั้นโน้มตัวไปถามด้วยรอยยิ้ม “กินน้ำส้ม*เข้าไปเหรอ?”

(* 吃醋 เป็นสำนวน แปลว่าหึงหวง)

“คุณคิดว่าไงล่ะ?” เฉินเจียเหอที่เป็นหนุ่มใหญ่ แต่กลับทำหน้าเศร้าโศก เหมือนเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งเริ่มตกหลุมรัก รู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่เธอพูด “เมื่อไหร่คุณจะเอาจดหมายในบ้านพวกนั้นไปทิ้งซะที? ทำไมยังเก็บมันไว้อีก?”

หลินเซี่ยงง “จดหมายอะไร?”

เฉินเจียเหอหันหน้าหนี “อย่ามาแกล้งโง่เลย”

หลินเซี่ยนิ่งอึ้งอยู่สักพัก ก่อนจะรู้ว่าจดหมายที่เฉินเจียเหอกำลังพูดถึงคือจดหมายอะไร

เธอตอบกลับอย่างเมินเฉย “คุณหมายถึงจดหมายรักน่าขยะแขยงที่หลิวจื้อหมิงเขียนถึงฉันน่ะเหรอ?”

“จดหมายรักน่าขยะแขยงเหรอ? น่าขยะแขยงแค่ไหน?” ใบหน้าหล่อเหลาของเฉินเจียเหอเข้มคล้ำลงไปอีก รู้สึกเหมือนจะอาเจียนน้ำกรดออกมาในวินาทีถัดไป

หลินเซี่ยยิ้มแล้วพูดว่า “คุณเห็นด้วยเหรอ?”

“ผมไม่ได้มีนิสัยชอบอ่านจดหมายคนอื่น แต่พอดีเหลือบไปเห็นลายเซ็นบนซองจดหมายเข้า”

เฉินเจียเหอกังวลกับเรื่องนี้มาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว เธอจึงรู้สึกผิดนิดหน่อย รีบจับแขนเขาแล้วอธิบายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ฉันเองก็เกือบลืมไปแล้วว่าเก็บมันไว้ แต่ฉันยังเอามันไปทำลายทิ้งไม่ได้จริง ๆ ที่ต้องเก็บไว้เพราะยังมีประโยชน์อยู่”

ดวงตาอันเฉียบคมของเฉินเจียเหอจ้องไปที่เธอ “ประโยชน์อะไร?”

หลินเซี่ยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “รอให้หลิวจื้อหมิงและเสิ่นอวี้อิ๋งอยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ ฉันจะใช้จดหมายรักน่าขยะแขยงพวกนี้ไปปั่นหัวให้เสิ่นอวี้อิ๋งโกรธ แถมยังเป็นการหว่านความขัดแย้งระหว่างพวกเขาด้วย คุณอย่าหึงกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแค่นี้เลย ส่วนประเด็นที่ว่าเขาทำไปทำไม ลองมาคิด ๆ ดูแล้ว เซี่ยไห่กับฉันเห็นตรงกันว่าหลิวจื้อหมิงกับเสิ่นเถี่ยจวินน่าจะสมรู้ร่วมคิดกันทำอะไรบางอย่าง”

หลินเซี่ยอธิบายการวิเคราะห์ของพวกเขาให้เฉินเจียเหอฟัง ซึ่งเฉินเจียเหอก็เห็นด้วย

“เลวจริง ๆ น่ารังเกียจมาก”

เฉินเจียเหอลูบหัวเธอพลางพูดว่า “รีบกินเถอะ ไว้ผมจะไปปรึกษากับเหล่าเซี่ยว่าจะทำยังไงต่อ”

“ช่วงบ่ายคุณไม่ไปทำงานเหรอ?” หลินเซี่ยถาม

“ช่วงบ่ายได้พักน่ะ แถมมะรืนนี้ก็จะถึงวันเกิดของผู้เฒ่าเซี่ยแล้ว เซี่ยไห่กับผมจะออกไปซื้อของขวัญกัน เพราะอาจเตรียมของไม่ทันถ้าพรุ่งนี้มีเรื่องฉุกเฉินเกิดขึ้น”

ในไม่ช้าเฉินเจียเหอและเซี่ยไห่ก็ออกไป โดยพาหลินจินซาน เฉียนต้าเฉิง ลู่เจิ้งอวี่ และคนอื่น ๆ ไปด้วย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาค่อนข้างจริงจังมาก

เมื่อหลินเซี่ยเห็นพวกเขาพากันขึ้นรถ ใจจริงก็นึกอยากตามไปด้วย แต่เฉินเจียเหอโบกมือเป็นเชิงบอกให้เธอไปทำงานต่อ เพราะพวกเขาจัดการกันเองได้

เวลานี้ ที่โรงน้ำชาในไห่เฉิง

ถังหลิงและเสิ่นเสี่ยวเหมยนั่งอยู่ด้วยกัน

เสิ่นเสี่ยวเหมยดูอวบขึ้นกว่าเดิม แต่น้ำเสียงยังคมกริบและฉุนเฉียวเช่นเคย “พี่หลิง กว่าพี่จะยอมออกมาเจอฉันได้ ฉันอยู่แต่ในบ้านเบื่อจะตายอยู่แล้ว แถมลูกพี่ลูกน้องฉันก็ไม่ยอมให้ฉันกลับไปทำงานตามเดิมซะที”

“นังหลินเซี่ยนั่นทำให้ฉันต้องเสียทั้งสามี เสียทั้งงาน ไม่ช้าก็เร็วฉันจะฉีกเนื้อหล่อนเป็นชิ้น ๆ เลยคอยดู”

เมื่อพูดถึงหลินเซี่ย สีหน้าของหล่อนก็บิดเบี้ยวด้วยความโกรธ

ถังหลิงจิบชาพลางมองหล่อนแล้วถามอย่างไม่มั่นใจ

“แล้วเธอได้แก้แค้นฝั่งนั้นบ้างหรือยังล่ะ?”

เสิ่นเสี่ยวเหมยตอบกลับอย่างเย็นชา “หึ ฉันไม่ปล่อยไว้นานหรอก ในเมื่อหล่อนกล้าทำให้ฉันเดือดร้อน หล่อนก็ต้องเดือดร้อนเหมือนกัน หล่อนทำให้ฉันต้องหย่า มันก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ใช้ชีวิตแต่งงานอย่างสงบสุข“

เสิ่นเสี่ยวเหมยคับแค้นใจมากหลังได้ฟังคำพูดที่รุนแรงพวกนั้น ซึ่งถังหลิงไม่แน่ใจว่าหล่อนหมายถึงอะไรแน่ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มหามาตรการแก้แค้นหลินเซี่ยไปแล้ว หรือว่าเธอแค่พูดไปอย่างนั้นเอง

หล่อนจึงถามอย่างตรงประเด็นว่า “เรื่องร้านเหลียงเฝิ่นของหลิวกุ้ยอิง ใช่ฝีมือเธอหรือเปล่า?”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พี่เหออย่าเพิ่งหึงสิ เซี่ยเซี่ยมีเหตุผลอยู่หรอกที่เก็บจดหมายพวกนั้นไว้

บอกมาเลยยัยเหมยเน่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับแม่เซี่ยเซี่ยนี่ใช่ฝีมือเธอหรือเปล่า?

ไหหม่า(海馬)