พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 264 เงื่อนหูกระต่าย
ก็ได้ ใบหน้าของนางทำให้เขาสิ้นหวังไปเลย
ในตอนที่เฟิ่งชิงหัวไม่พอใจอยู่นั้น ก็พบว่ามือของตนเองหายไปแล้ว แต่สิ่งที่มาแทนที่กลับเป็นขาหมูห่อไว้ด้วยผ้าพันแผลหลายชั้นไว้แน่นอยู่ก้อนหนึ่ง
เฟิ่งชิงหัวลองดูแล้วก็พบว่าการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวในนั้นไม่ไหวเลย เหมือนดั่งแมวกวักก็ไม่ปานกวัดแกว่งมาทางจ้านเป่ยเซียว: “นี่มันหมายความว่ายังไงกัน? ดูเหมือนว่าข้าจำได้ว่าข้าแค่ถูกลวกบาดเจ็บเองนะ?”
“พันให้หนาไว้หน่อย เพื่อเลี่ยงให้เจ้ามือไม้สะเพร่าไปทำหลุด” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาอย่างจริงจัง
“ทำหลุด? เจ้าพันให้ข้าเป็นสภาพนี้ อย่างกับกระสอบทรายก็ว่าได้ งั้นมื้อเย็นข้าจะกินอาหารยังไง? ใช้มือซ้ายงั้นเหรอ?” เฟิ่งชิงหัวกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
จ้านเป่ยเซียวเอนศีรษะไปเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยนัยอื่นอยู่: “เจ้าคิดแต่เรื่องกิน มื้อเย็น ข้าจะฝืนทนป้อนเจ้าเสียสองวัน”
“ป้อนข้า? ไม่ได้ๆๆ” มือข้างหนึ่งและอุ้งเท้าอีกข้างหนึ่งของเฟิ่งชิงหัวโบกสะบัดขึ้นอย่างรวดเร็ว: “ข้าก็ไม่ใช่เด็กน้อยเสียหน่อย ท่ไหนจะต้องการคนมาป้อนข้าว”
จ้านเป่ยเซียวได้ยิน ดวงตาทั้งสองข้างก็จ้องมายังเฟิ่งชิงหัวอย่างแน่นิ่ง ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความคับแค้นใจ: “งั้นเมื่อครู่เหตุใดเจ้าป้อนอาหารให้ข้า? หรือว่าข้าก็เป็นเด็กน้อย?”
“นั่น นั่นไม่ใช่ว่าแค่ครู่เดียวเหรอ แต่ว่าข้าไม่เหมือนกัน ข้ากินเยอะมาก”
“อืม ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ”
“แต่ว่า……”
“ไม่มีอะไรแต่ว่า ตกลงตามนี้แหละ!” จ้านเป่ยเซียวกล่าวออกมาด้วยเสียงเข้ม
เฟิ่งชิงหัวก้มศีรษะลงแล้วกล่าวเสียงเบาๆ : “แต่ว่าหน้าร้อนอากาศร้อนขนาดนั้น พันผ้าพันแผลหลายชั้นขนาดนั้น บาดแผลไม่มีอากาศหายใจจะเน่าเอาได้ ถึงตอนนั้นอาจจะหลงเหลือรอยแผลเป็นไว้ เป็นไปได้ว่าจะเกิดรอบบวมบูดขึ้นมา”
สีหน้าของจ้านเป่ยเซียวนิ่งงันไปครู่หนึ่ง หันหลังไป กระแอมออกมาเบาๆ คำหนึ่ง กล่าวออกมาอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย: “ทำไมเจ้าถึงไม่พูดให้ไวกว่านี้”
เฟิ่งชิงหัวทำหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง: “ก็นี่ข้ายังไม่ทันได้สติกลับมาเลย จู่ๆ เจ้าก็พันเป็นแบบนี้ให้ข้าแล้ว ข้าก็คิดว่าข้ามีอาการสาหัสจนถึงขั้นต้องเข้าเฝือกเสียอีก”
จ้านเป่ยเซียวกล่าว: “งั้น อีกประเดี๋ยวรอฤทธิ์ยาหมดแล้วก็ค่อยพันบางๆ ใหม่อีกรอบหนึ่งละกัน”
เฟิ่งชิงหัวกล่าว: “แต่ว่านี่มันก็น่าเกลียดเกินไปเปล่า เดี๋ยวนางในมาส่งสำรับอาหารเห็นเข้า รับรองว่าต้องหัวเราะข้าเป็นแน่”
จ้านเป่ยเซียวสีหน้าไม่พอใจขึ้นมา จ้องไปยังมือข้างนั้นครู่หนึ่ง แล้วก็แกะผ้าพันแผลออกโดยที่ไม่กล่าวคำใดๆ ออกมา อีกทั้งยังใส่ยาเข้าไปใหม่อีกรอบหนึ่ง ภายใต้การชี้แนะของเฟิ่งชิงหัวจึงพันแค่ชั้นเดียวแล้ว อีกทั้งยังผูกเงื่อนหูกระต่ายไว้ยนนั้นด้วย
เฟิ่งชิงหัวยกหลังมือของตนเองขึ้นมาพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดครู่หนึ่ง ได้เพียงมองไปยังจ้านเป่ยเซียวที่กล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า: “มีปัญหาอะไรอีกงั้นหรือ?”
เฟิ่งชิงหัวส่ายไปมาแล้วกล่าวออกมาอย่างประหลาดใจว่า: “ท่านอ๋อง คิดไม่ถึงว่าท่านจะผูกเงื่อนหูกระต่ายเป็นด้วย ช่างร้ายกาจจริงเชียว”
“นี่ถือว่าเป็นเรื่องน่าแปลกอะไร! ของที่ข้าเป็นมีตั้งเยอะแยะมากมาย!” ในตอนนี้จ้านเป่ยเซียวไม่ได้อยากจะสนทนากับเฟิ่งชิงหัวแม้แต่นิดเลยจริงๆ
เฟิ่งชิงหัวเม้มปากอย่างมีชั้นเชิง ไม่พูดอีกแล้ว แล้วก็นั่งอยู่ตรงขอบเตียงแบบนี้ จับดึงหูกระต่ายทั้งสองข้างที่อยู่บนหลังมือไปมา
จ้านเป่ยเซียวเอนศีรษะมองไปยังท่าทางการเคลื่อนไหวของนาง รู้สึกว่าหูของตนเองก็คันตามขึ้นมาด้วย ค่อนข้างไม่เป็นอิสระเท่าไร
ดีที่เหลียนซินเคาะประตูขึ้นอีกครั้งที่นอกตำหนัก เฟิ่งชิงหัวลุกขึ้นรับเอากล่องสำรับอาหารเข้ามา แล้วเก็บจานที่อยู่บนโต๊ะใส่ไปในกล่องสำรับอีกฟากหนึ่ง เอาอาหารใหม่ขึ้นมาจัดวางให้เรียบร้อย
“ท่านอ๋อง กินข้างได้แล้ว” เฟิ่งชิงหัวกล่าว
จ้านเป่ยเซียวก้าวออกไปอย่างเยื้องย่าง นั่งลงด้านหน้าโต๊ะ เฟิ่งชิงหัวหาวออกมาแล้วกล่าวว่า: “เจ้าค่อยๆ กินนะ ข้าขอไปนอนก่อน”
ในขณะที่พูดอยู่ก็เข้าไปในห้องด้านในเลยทันที ดึงม่านลงมา ล้มศีรษะลงไปบนหมอนแล้วก็หลับตาลงไปเลย
จ้านเป่ยเซียวก็กินอาหารไปไม่กี่คำอย่างเรียบง่ายแล้วก็เข้าไปยังห้องด้านใน ภายในม่านบางๆ สีอ่อนๆ หญิงสาวที่หลับไปแล้วได้เบิกตาสีดำขึ้นมาหนึ่งคู่ จ้องมายังคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างงัวเงีย เสียงแหบแห้งเล็กน้อยค่อนข้างเลี่ยนทุ้มเป็นพิเศษ: “ข้านอนครู่เดียว เจ้าอย่ากวนข้า”
ในดวงตาดำของจ้านเป่ยเซียวเปล่งประกายแสงแห่งความอ่อนโยนขึ้นมา ค่อยๆ ก้มศีรษะลง แล้วจูบไปยังหว่างคิ้วของเฟิ่งชิงหัวอย่างนุ่มนวล น้ำเสียงน่าฟังราวกับเทปเพลง: “นอนเถอะ”
เฟิ่งชิงหัวหระพริบตาแล้วจ้องมองไปยังจ้านเป่ยเซียวครู่หนึ่ง คราวนี้ก็เลยค่อยๆ หลับตาลงได้
จ้านเป่ยเซียวหันหลังไปแล้วนั่งอยู่ข้างเตียง ฝ่ามือที่เรียวยาวกุมไปยังมือเล็กๆ ที่อ่อนนุ่มของเฟิ่งชิงหัว ดวงตาทั้งสองข้างมองไปที่นางอย่างแน่นิ่ง
เฟิ่งชิงหัวสะบัดมือของเขาทิ้ง พลิกหันตัวไปแล้วกล่าวพึมพำออกมา: “รีบนอนเถอะ ตอนกลางคืนยังต้องไปกินงานเลี้ยงในวังอีกนะ”
มุมปากของจ้านเป่ยเซียวยกกระดกขึ้น ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าคำไหนที่ทำให้เขาดูสุขใจขึ้นมาได้
ลืมตาขึ้นอีกครั้ง รอบด้านยังคงเป็นสีดำมืดไปหมด นางยื่นมือออกไปจะไปแหวกม่านออก แต่เมื่อไปได้ครึ่งทางกลับถูกคนที่อยู่ด้านข้างดึงรั้งเอาไว้แน่น: “ยังพอมีเวลาอยู่ นอนอีกหน่อยเถอะ”
เสียงที่ดังขึ้นนี้ทำให้เฟิ่งชิงหัวตกใจตื่นเลยในบัดดล พลิกตลบร่างขึ้นมานั่งในทันที ยกมือไปดึงม่านออก
ทันใดนั้นก็สว่างขึ้นในทันที ที่แท้ม่านดำนี้เพียงแค่บดบังแสงได้ดีเกินไปเท่านั้นเอง
ด้านใน จ้านเป่ยเซียวยื่นมือไปบังดวงตาไว้ แล้วตวัดสายตามองมาที่นางอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“เจ้าขึ้นมาเมื่อไหร่กัน?”
“ต้องประหลาดใจขนาดนี้ไปทำไมกัน เมื่อวานไม่ใช่ตกลงกันไปดีแล้วว่าเตียงนี้เป็นของข้าเหรอ?” ในขณะที่จ้านเป่ยเซียวพูดอยู่ก็ดึงเฟิ่งชิงหัวมาอยู่ข้างกายเขา บังดวงตาของนางไว้: “หลับตา นอน”
นอนหลับได้ก็คงจะมีผีเท่านั้นแหละ
เฟิ่งชิงหัวยื่นมือออกไปแกะฝ่ามือของเขาออก: “เจ้าติดนิสัยนอนกลางวันเมื่อไหร่กัน?”
“ก่อนหน้านี้ก็ไม่มี”
“งั้นตอนนี้มีได้ยังไงกัน?”
“ก็เป็นเจ้าที่เชื้อเชิญข้าเอง” ศีรษะของจ้านเป่ยเซียวซุกอยู่ในไหล่ของฝ่ายหญิง น้ำเสียงอู้อี้
“อะไรนะ? ข้าเปิดการปิดกั้นออกเช่นนี้เมื่อไหร่กัน” เฟิ่งชิงหัวไม่อยากจะเชื่อ
นางไม่ได้มีนิสัยละเมอเลย ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีนิสัยพูดจาตอนละเมอด้วย
“เจ้าให้ข้านอนเป็นเพื่อนด้วยกันกับเจ้า บอกว่าตอนกลางคืนจะไปกินงานเลี้ยงในวังด้วยกัน” จ้านเป่ยเซียวพูดเหมือนจริงมาก แม้แต่ตัวเองก็เชื่อไปแล้ว
เฟิ่งชิงหัวลูบคลำไปยังท้ายทอยของตนแล้วกล่าวพึมพำว่า: “ข้าต้องหลับจนเลอะเลือนไปแล้วแน่ๆ”
จ้านเป่ยเซียวเอียงศีรษะ ในดวงตานั้นแฝงไว้ด้วยความรักเอ็นดูไว้ มือที่โอบเอวของนางไว้ก็กระชับขึ้น แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า: “หลับตื่นขึ้นมาแล้วจะไม่รับผิดชอบเหรอ?”
เฟิ่งชิงหัวจุกกับคำพูดไป ผ่านไปนานกว่าจะพูดออกมาว่า: “คำพูดตอนละเมอจะเอามาเป็นเรื่องจริงได้ยังไงกัน”
“งั้นเมื่อครู่ข้ารับปากว่าจะมอบไข่มุกเย่หมิงให้เจ้าก็ไม่ต้องถือมาเป็นเรื่องจริงหรอกเนอะ” ในขณะที่จ้านเป่ยเซียวพูดอยู่ก็เตรียมที่จะดึงมือกลับมาอย่างช้าๆ ท่าทางก็จะลุกขึ้นนั่ง
เฟิ่งชิงหัวรีบยื่นมือมากดเขาเอาไว้ เอียงศีรษะแววตาเป็นประกาย: “ชายชาตรีเมื่อคำพูดออกจากปากแล้วก็ยากจะที่จะกลับคืนได้ คำพูดที่พูดออกมาจะเปลี่ยนใจได้ยังไงกัน หลับเถอะหลับซะ หลับตา”
ดวงตาที่ดำมืดของจ้านเป่ยเซียวตวัดขึ้นเล็กน้อย มุมปากก็ค่อยๆ ยกขึ้น แล้วก็หลับตาลง
ผ่านไปอีกสักพัก คนที่อยู่ด้านข้างก็ขยับไปมา ไม่สงบเลย เขากลั้นฝืนทนไว้: “เจ้าเป็นอะไรไปอีก?”
ด้านข้างมีเสียงเล็กๆ ของเฟิ่งชิงหัวดังออกมาว่า: “อันนั้น ท่านอ๋อง เมื่อครู่ไข่มุกเย่หมิงที่พวกเราหารือกันมีกี่เม็ดนะ?”
จ้านเป่ยเซียวลืมตาขึ้นแล้วมองไปยังเฟิ่งชิงหัว ท่าทางที่ไม่ได้ส่งเสียงนั้นทำให้ในใจของเฟิ่งชิงหัวเกิดความหวั่นเกรงอยู่เล็กน้อย แล้วรีบกล่าวว่า: “ไม่เป็นไร ข้าจำไม่ได้แต่ท่านอ๋องน่าจะจำได้ ข้าทราบดีว่าเจ้าก็คงจะไปโกหกหญิงอ่อนแอเช่นนี้อย่างข้าเป็นแน่”
“หน้าเงิน” ในปากของจ้านเป่ยเซียวพ่นออกมาสองพยางค์ ไม่ลืมตาเลยด้วยซ้ำ หรี่ตามองมาที่นางอยู่
ในตอนนี้เฟิ่งชิงหัวกลับกระสับกระส่ายจนนอนไม่หลับไปเลย มือทั้งสองข้างวางไว้บนหน้าท้อง ในสมองเริ่มหวนคิดอย่างสุดชีวิต ตอนที่หลับฝันเมื่อคครู่ ที่แท้แล้วตกลงอะไรยังไงกันแน่
ทำไมนางจึงได้เป็นคนเช่นนี้ไปได้ ยอมเสียเตียงครึ่งหนึ่งออกไป เพื่อแลกมาด้วยไข่มุกเย่หมิง อย่างน้อยก็ต้องหนึ่งเม็ด ทำไมนางถึงได้มีหัวสมองการค้าที่ชาญฉลาดเช่นนี้ได้