บทที่ 265 เจ้านายเห่าดุกว่าสุนัข

พลิกชะตาหมอยา

พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 265 เจ้านายเห่าดุกว่าสุนัข

จวบจนเปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ขององค์หญิงเป่ยเว่ย ภายในหัวสมองของเฟิ่งชิงหัวก็ยังยกย่องชมเชยตัวเองไม่หยุด แม้แต่เหลียนซินที่พูดอยู่ด้านข้างก็ไม่ได้สนใจไปฟังเลย

“องค์หญิง องค์หญิง” เหลียนซินไม่มีทางเลือก จึงทำได้เพียงส่งเสียงดังออกมา

“อืม? เป็นอะไรไป?” เฟิ่งชิงหัวได้สติมองมาที่นาง

“องค์หญิง พวกเราเดินอ้อมดีกว่าเถอะเพคะ” เหลียนซินกล่าวเตือนอย่างระแวดระวัง

“ทำไม?” เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจเล็กน้อย

เหลียนซินพูดอยู่ข้างหูนางเสียงเบาๆ ว่า: “ซูเฟยเหนียงเหนียงท่านนั้นที่อยู่เบื้องหน้า เป็นท่านป้าของคุณหนูเจียงเพคะ”

เฟิ่งชิงหัวหรี่ตาลงมองไปครู่หนึ่ง เบื้องหน้านั้นสตรีที่สวมชุดอันงดงามถูกรายล้อมไปด้วยนางในห้าหกคน ในตอนนี้กำลังหยุดอยู่ที่หมู่ดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ยื่นมือออกไปหักกิ่งไม้ เป็นภาพที่งดงามมาก

“ข้าเคยล่วงเกินนาง?” เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วแล้วกล่าวออกมา

“นั้นก็ไม่เคยเพคะ”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นกลัวอะไร พวกเราไปกัน” ในขณะที่เฟิ่งชิงหัวพูดอยู่ก็นำพาเหลียนซินก้าวไปข้างหน้าด้วยก้าวใหญ่ๆ ทันที

นางก็ไม่ได้คิดว่าจะทักทายกับซูเฟยเหนียงเหนียงอยู่แล้ว ก็เพียงแค่เดินผ่านนางไปแล้วก็จากไปเท่านั้น แต่ว่ายังไม่ทันไปเดินไปด้านหน้า นางในที่อยู่ข้างกายของซูเฟยก็กล่าวเอะอะออกมาว่า: “บังอาจ เห็นซูเฟยเหนียงเหนียงแล้วคิดไม่ถึงว่ายังกล้าที่จะไม่คุกเข่าอีก”

เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็มองไปยังด้านหลังของตนครู่หนึ่ง แล้วก็ชี้มาที่ตัวเองแล้วกล่าวว่า: “นี่เจ้ากำลังพูดกับข้างั้นหรือ?”

“องค์ข้าอะไรกัน ภายในวังหลวงแห่งนี้ มีเพียงโอรสธิดาของฝ่าบาทและเหนียงเหนียงที่อยู่ในวังเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติเรียกตนเองว่าองค์ข้าได้ เจ้าก็แค่เป็นองค์หญิงต่างแคว้น เห็นเหนียงเหนียงของแคว้นข้าแล้วไม่ทำความเคารพ ช่างเป็นโทษที่หนักหนายิ่งนัก!” ท่าทางของคนในวังผู้นั้นดูวางอำนาจข่มคน ภายในดวงตาที่มองมายังเฟิ่งชิงหัวเปี่ยมไปด้วยความดูถูก

เฟิ่งชิงหัวมองไปยังซูเฟยเหนียงเหนียง แต่กลับเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามยังคงหันหลังชมดอกไม้อยู่ ราวกับว่าไม่ได้ยินที่คนวังของตนเองอบรมตนเองก็ไม่ปาน

นี่นางก็ได้สังเกตไว้ดีแล้วว่ารอบด้านไม่มีใคร หลังจากที่ตนเองถูกนางในของนางอบรมไปก็ได้เพียงเป็นใบ้อย่างเสียเปรียบไปเลย?

อีกทั้งยังอาศัยที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานนางด้วย รู้สึกว่าตนเองแม้ว่าจะร้องทุกข์ไปถึงสวรรค์ยังไงก็ไม่ถูกทำโทษอยู่แล้ว?

พระสนมทรงโปรดในตอนนี้อวดดีขนาดนี้เลย อีกทั้งยังไม่มีสมองด้วยงั้นหรือ?

เฟิ่งชิงหัวขมวดคิ้วขึ้นมองมาทางเหลียนซินที่อยู่ด้านข้าง: “คนผู้นี้เป็นใคร? พวกเรารู้จักไหม?”

เหลียนซินเห็นสีหน้าท่าทางของเฟิ่งชิงหัวดูงุนงง ทันใดนั้นก็เข้าใจในความหมายของนางทันทีแล้วรีบกล่าวขึ้นว่า: “เรียนองค์หญิง บ่าวไม่ทราบเพคะ”

เฟิ่งชิงหัวกล่าว: “วังหลังของเทียนหลิงดูมั่วซั่วไปหมด หมาบ้าตัวหนึ่งยังสามารถเที่ยวไล่กัดคนได้ตามอำเภอใจ ไว้เดี๋ยวจะต้องทูลฝ่าบาทของเทียนหลิงให้ทรงทราบให้ได้ จะต้องล่ามสุนัขเอาไว้ให้ดี หากกัดถูกคนแล้วจะทำอย่างไรเล่า”

เหลียนซินพยักหน้า: “เพคะองค์หญิง ที่เป่ยเว่ยของพวกเรา สุนัขเช่นนี้ถูกฆ่าทิ้งไปนานแล้ว มิอาจให้มารบกวนแขกได้เป็นอันขาดเพคะ”

เฟิ่งชิงหัวมั่นใจว่าเป็นเช่นนั้น ก็เลยนำพาเหลียนซินเดินไปข้างหน้าต่อ นางในผู้นั้นเดินเข้ามาจะขวางกั้นถูกหนึ่งฝ่ามือของเฟิ่งชิงหัวตบเข้าไปหนึ่งฉาด จากนั้นเซไปหลายก้าวแล้วล้มลงกับพื้นไปเลย

ในตอนนี้ซูเฟลยแน่นอนว่าย่อมไม่แสร้งทำเป็นไม่ได้สนใจแล้ว หันศีรษะมา มองไปยังเฟิ่งชิงหัว: “องค์หญิงซีหลัน อารมณ์โมโหที่รุนแรง ไม่ทราบว่าหญิงรับใช้ของข้าไปล่วงเกินท่านอย่างไร ท่านถึงได้ลงมือรุนแรงเช่นนี้?”

เฟิ่งชิงหัวเขย่ามือของตนไปมาแล้วเอ่ยปากกล่าวว่า: “บ่าวสุนัข ไม่เห็นว่าข้าได้รับบาดเจ็บ? คิดไม่ถึงว่ายังกล้าขวางทางของข้าได้ ไม่ให้ตีหรือจะให้โอ๋งั้นเหรอ?”

“องค์หญิงซีหลัน ท่านเป็นแขกมาจากแดนไกล พวกเราต่างก็ปฏิบัติต่อท่านไม่ได้ด้อยไปเลย ท่านเอาแต่ใจเช่นนี้ เป็นไปได้ไหมว่าสูญสิ้นกิริยามารยาทขององค์หญิงไป ไม่กลัวจะทำให้เป่ยเว่ยอับอายขายขี้หน้าหรือ?” แต่ละคำของซูเฟยเหนียงเหนียงเดี๋ยวก็เอาแต่ใจ ไร้ซึ่งมารยาท อับอาย มันช่างกับเป็นการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างของเฟิ่งชิงหัวจะเป็นตัวกำหนดจุดสูงต่ำของแคว้น

วิธีการโยนความคิดให้คนอื่นเช่นนี้ ดูเหมือนกับฮูหยินเฒ่าเก๋อท่านนั้นมาก มิน่าถึงได้เป็นแม่ลูกแท้ๆ กันได้

ต่อกรกับคนเช่นนี้ เฟิ่งชิงหัวก็ขี้เกียจจะสิ้นเปลืองน้ำลายกับนางเยอะ ก็เลยกล่าวออกมาตรงๆ ว่า: “งั้นท่านจะเอายังไง?”

“ข้าให้เจ้าขอโทษนางในของข้า มิเช่นนั้น ข้าจะร้องเรียนเรื่องในวันนี้ไปถึงฮ่องเต้แน่นอน” ท่าทางของซูเฟยเหนียงเหนียงโมโหอย่างไม่ยอมจำนน ท่าทาง ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจ น่าเสียดาย ที่นี่ไม่มีผู้ชม ไม่มีคนปรบมือให้นาง

เฟิ่งชิงหัวยังคิดว่านางมีกลอุบายอะไรอีก ได้ฟังก็เพียงแค่ไปร้องเรียน สะบัดมืออย่างไม่สบอารมณ์: “ข้าเดินไม่เปลี่ยนชื่อนั่งไม่เปลี่ยนแซ่ ท่านจะร้องเรียนก็ไปร้องเลย ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าตีสุนัขแล้ว เจ้านายส่งเสียงร้องดุกว่าสุนัขเองเสียอีก เหลียนซิน พวกเราไปกัน ออกไปจากสถานที่บ้าบอแห่งนี้”

ในขณะที่พูดอยู่ก็พาเหลียนซินจากไปอย่างเร่งรีบ

นางในที่ถูกเฟิ่งชิงหัวตบจนหน้าบวดแดงเลือดออกปากก็ปีนขึ้นมาจากบนพื้น แล้วกล่าวโหยหวนอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมว่า: “เหนียงเหนียง ท่านจะต้องให้ความเป็นธรรมแก่บ่าวนะเพคะ”

น้ำเสียงก็ฟังดูอู้อี้ไม่ชัดเจนแล้ว

ซูเฟยเหลือบตาไปมองนางครู่หนึ่งอย่างไม่พอใจ แล้วกล่าวตำหนิว่า: “ไม่ได้เรื่อง! ไม่ได้เรื่องทั้งหมดเลย แค่คนคนหนึ่งยังต่อกรไม่ได้เลย!”

“เหนียงเหนียง ไม่ใช่บอกว่าจะสั่งสอนนางหรือ ให้ข้าเข้าไปสั่งสอนนางสักตั้งไหมเพคะ?”

“สั่งสอน? แค่ฝีมือเท่าฝ่าหอยของพวกเจ้าเนี่ยนะ? ที่โดนตบไปเมื่อครู่ยังไม่แรงพอหรือไง?” ซูเฟยกล่าวออกมาเสียงเย็นชา: “นางกล้าลงมือจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่ามาโทษว่าข้าถลกหนังนางอกมาหนึ่งชั้นละกัน!”

เหลียนซินเฝ้าสังเกตการณ์เคลื่อนไหวทางด้านหลังมาตลอดทาง ตอนที่เลี้ยวไปนั้นก็หันศีรษะไปมองอยู่ครู่หนึ่ง พอดีกับที่เห็นสายตาอันอำมหิตของซูเฟยที่มองมายังพวกนางเข้าให้

“องค์หญิง ได้ยินว่าซูเฟยเหนียงเหนียงผู้นี้ได้รับการถือหางอย่างมาก ฮูหยินเฒ่าตระกูลเจียงแล้วก็ยังมีคุณหนูเจียงที่เดิมก็ทำให้นางเกลียดท่านอยู่แล้ว เมื่อครู่ท่านก็ยังสั่งสอนคนในวังของนางอีก ถือได้ว่าตบหน้านางไปเลย ต่อไปนางจะต่อเอาคืนกลับมาเป็นแน่ ท่านอยู่ในวังจะต้องระวังถึงจะถูกนะเพคะ” เหลียนซินกล่าวอย่างเป็นกังวล

เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “ระวังมีประโยชน์อะไร หรือว่าระวังแล้วสามาถทำให้พวกนางไม่มาทำร้ายข้าหรือ? เจ้าคิดว่าแม้ว่าข้าไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อฮูหยินเจียงและคุณหนูเจียง ซูเฟยผู้นี้จะไม่ขัดหูขัดตาในตัวข้าหรือ?”

เหลียนซินกล่าวออกมาอย่างจริงใจ: “ไม่แน่นอน ยังไงท่านก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกขององค์ชายาเอก”

“งั้นก็ถูกต้องแล้วไง แม้ว่าข้าจะไม่ทำอะไรเลย พวกนางก็ย่อมต้องลอบกัดข้าอยู่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้ข้าได้ลงมือเพื่อแสดงความแข็งแกร่งก่อนไม่ดีกว่าหรือ ยังไงตระกูลเจียงก็ไม่มีโอกาสแล้ว ก็แค่ซูเฟยคนเดียวเท่านั้นเอง นางคิดว่านางมีมารยามากขนาดไหนหรือ? ตระกูลเจียงก็เท่ากับว่าตบหน้าฝ่าบาทต่อสาธารณชนได้ จะจัดการกับโอรสทั้งสองของเขายังไงก็ได้ เจ้าคิดว่าในใจของฝ่าบาทไม่มีความคิดที่แปลกแยกหรือไง? เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่ทันได้ปะทุออกมาก็เท่านั้นเอง นางอยากจะจัดการข้า? กลัวแต่เพียงว่าประเมินความสามารถของตนสูงเกินไป และก็ประเมินโทสะของฮ่องเต้ต่ำเกินไปด้วย”

โทสะของฮ่องเต้ มีมากกว่าศพนับล้าน ความอัปยศของฮ่องเต้มันก็คงไม่ใช่เพียงเท่านี้

ไม่แตะต้องตระกูลเจียงเป็นเพราะว่าราชเลขาเจียงและเจียงเก๋อเหล่า ซูเฟยอย่างเจ้าก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยที่อยู่ในมหาสมุทรท่ามกลางนางสนมสามพันคนเท่านั้น ยังคิดว่าตนเองเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้อีก?

ไร้เดียงสา น่าขำ

สีหน้าท่าทางของเหลียนซินเปี่ยมไปด้วยการได้รับการชี้แนะ

เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มว่า: “เหลียนซิน เจ้าฉลาดมากจริงๆ”

สีหน้าของเหลียนซินเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวออกมาอย่างกังวล: “องค์หญิง ข้า”

“คนในที่แจ้งย่อมไม่พูดเรื่องปิดบัง ข้าไม่ใช่องค์หญิงของพวกเจ้า เพียงแต่เจ้าวางใจได้ ข้ามาที่นี่เพียงแค่สืบเรื่องบางอย่างให้กระจ่างเท่านั้นเอง ตอนนี้ก็เกือบจะแก้ไขเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้ก็จะสับเปลี่ยนตัวองค์หญิงของพวกเจ้ากลับมา ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้น เจ้าก็แค่ทำเป็นไม่รู้ก็พอแล้ว ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจหรอก เจ้าก็ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะฆ่าคนปิดปากด้วย” เฟิ่งชิงหัวยื่นมือออกไปตบบ่าของนางอยู่ครู่หนึ่ง