ผู้ฝึกยุทธที่อยู่บนฐานเจดีย์ลอยฟ้าต่างก็มีพลังวรยุทธที่น้อยจนเกินไป สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดรู้นั่นก็คือผู้ที่มาเยือนนั้นเป็นยอดฝีมือ แต่พวกเขาไม่อาจที่จะรู้ได้เลยว่าผู้มาเยือนคนนี้มีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นไหนกันแน่
โดยปกติแล้วจะมีผู้ฝึกวรยุทธที่ฉลาดและแข็งแกร่งเท่านั้นที่ปกปิดเก็บซ่อนพลังของตัวเองเอาไว้ ไม่เปิดเผยให้กับคนทั่วไปได้รับรู้
ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตาม แต่เพียงแค่การปรากฏตัวของผู้ฝึกยุทธคนนี้เท่านั้นก็ทำให้คนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกหวาดกลัวได้
หยวนเอ๋อได้ถือกล่องที่ได้รับมาไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างของนางกำลังใช้สายสะพายนิพพานอยู่นั่นเอง เมื่อหยวนเอ๋อเห็นผู้มาเยือนคนใหม่ นางก็ได้แต่จ้องมองไปยังคนคนนั้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
หมิงซี่หยินได้พูดออกมา “ท่านอาจารย์…ข้าจะไปรับช่วยศิษย์น้องเล็กเอง”
“ไม่จำเป็นจะต้องทำแบบนั้นหรอก” ลู่โจวได้พูดออกมา จากสัญชาตญาณที่ตัวเขามี เยี่ยนซานจะต้องปรากฏตัวในเร็วๆ นี้แน่ ชายคนนี้มักจะเก็บซ่อนตัวเองอยู่ฝนเงามืดเพื่อเฝ้ามองเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น บางทีเขาอาจจะปลอมตัวปะปนอยู่กับเหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งหลายก็เป็นได้
เยี่ยนซานเป็นเพียงแค่นามแฝงของเขาเท่านั้น แท้จริงแล้วไม่มีใครรู้จักชื่อจริงของเขารวมไปถึงไม่มีใครรู้อีกด้วยว่าเขาคนนี้มีพลังวรยุทธมากน้อยขนาดไหนอีกด้วย บางทีเขาอาจจะเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธระดับมหาราชครู หรือบางทีเขาก็อาจจะเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์
ผู้ฝึกยุทธลึกลับได้หยุดเคลื่อนไหว ในตอนนี้ตัวเขาอยู่ห่างจากเจดีย์ลอยฟ้าไม่กี่สิบเมตรเท่านั้น ผู้ฝึกยุทธลึกลับได้โค้งคำนับเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ได้ยืดหลังตรงก่อนที่จะโบกมือออกมาเบาๆ “ขอแสดงความยินดีในวันเกิดด้วยศิษย์คนที่เก้า ท่านเจ้าสำนักของข้าได้สั่งให้ข้ามอบของขวัญพิเศษให้กับท่าน! “
ในตอนที่หยิบกล่องใบหนึ่งออกมา ในตอนนั้นเองคลื่นพลังอันมหาศาลก็ได้ถาโถมเข้าใส่เจดีย์ลอยฟ้า
ผู้ฝึกยุทธที่อยู่เบื้องล่างต่างก็สังเกตภาพนี้ด้วยความตื่นตกใจ
‘สาวน้อยคนนี้เป็นใครกัน? เหตุใดผู้ฝึกยุทธลึกลับคนนั้นถึงจะต้องเคารพนางมากขนาดนี้ด้วย? ‘
เจียงอาเฉียนได้ยิ้มออกมาจางๆ “สีวู่หยาแห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าสินะ สมแล้วที่เป็นเขาคนนั้น…สมบัติที่มีอยู่ในกล่องใบนั้นจะต้องเป็นถุงมือผ้าไหมยักษ์แน่”
ทุกๆ คนต่างก็เฝ้ามองดูกล่องใบนั้นที่กำลังลอยเข้าหาหยวนเอ๋ออย่างช้าๆ
หยวนเอ๋อได้เฝ้ามองกล่องใบนั้นที่กำลังลอยเข้ามาหาอย่างคาดหวัง วันเกิดปีนี้หยวนเอ๋อได้รองเท้าเหยียบเมฆาจากศิษย์พี่คนโต ได้ชุดขนเมฆาจากศิษย์พี่คนรอง และในตอนนี้ศิษย์พี่คนที่เจ็ดก็กำลังจะมอบของขวัญให้กับนาง ศิษย์พี่คนนี้จะมอบอะไรให้กัน?
กล่องผ้าใบนั้นอยู่ใกล้ๆ กับมือของหยวนเอ๋อมากขึ้น
พรึ๊บ!
ตะขอชิ้นหนึ่งในพุ่งมาจากเรือลำเล็กที่อยู่บนแม่น้ำ
สายที่ผูกรัดตะขออันนั้นไว้ดูคล้ายกับสายของที่ตกปลา ตะขออันนั้นเองได้พุ่งตรงไปที่กล่องผ้าใบนั้น
เจียงอาเฉียนที่เห็นแบบนั้นก็ได้พูดออกมา “ปลากินเบ็ดแล้ว! ” ตัวเขารีบพุ่งไปที่แม่น้ำด้วยความเร็วสูงสุด
ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงต่างก็มุ่งหน้าไปด้วยเช่นกัน
ศิษย์ทั้งสองได้ใช้เท้าของตัวเองเหยียบย่ำไปบนอากาศก่อนที่จะวิ่งลงบนผืนน้ำ พวกเขาทั้งหมดพุ่งตรงไปยังเรือลำเล็กที่อยู่ไม่ไกลจากเจดีย์ลอยฟ้าเท่าไหร่นัก
ทุกคนที่เห็นแบบนั้นต่างก็อุทานออกมาด้วยความตกใจ
“นั่นมันยอดฝีมือผู้ที่มีพลังวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติ 3 คนนิ! “
ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไรกล่องใบนั้น ตัวเขาได้มองไปที่เจียงอาเฉียนอย่างอยากรู้อยากเห็นมากกว่า นับตั้งแต่ที่ได้พบกัน ตัวเขาไม่เคยเห็นเจียงอาเฉียนแสดงฝีมืออะไรเลย เมื่อเห็นความเร็วของเจียงอาเฉียนแล้วมันไม่ได้ด้อยไปกว่าของหมิงซี่หยินเลย
เจียงอาเฉียนเป็นคนที่ไปถึงเรือลำนั้นเป็นคนแรก
ตะขอที่ตรงไปที่กล่องผ้าได้ถูกดึงกลับมาก่อนแล้ว
พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ!
มีตะขอมากมายหลายอันที่ลอยออกมาจากศาลาทั้งหลาย, แม่น้ำ รวมไปถึงเจดีย์ลอยฟ้า ตะขอทั้งหมดได้พุ่งไปที่กล่องผ้าในเวลาเดียวกัน
ตะขอทั้งหมดได้เคลื่อนไหวเร็วจนเกินไปจนไม่มีใครที่จะตามการเคลื่อนไหวได้ทัน
“บนเรือไม่มีใคร! ” เจียงอาเฉียนพูดขึ้น
หมิงซี่หยินที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้หันกลับไปในทันที…
พลังอวตารแห่งร้อยวิถี
หมิงซี่หยินได้ใช้พลังร่างอวตารของเขาโดยไร้ซึ่งความลังเล ในเวลาเดียวกันตัวเขาก็ได้สุดยอดเคล็ดวิชาที่พอจะมีก่อนที่จะไปหาศิษย์น้องเล็กในทันที หมิงซี่หยินรู้ดีว่าเยี่ยนซานอยากที่จะได้ถุงมือไหมยักษ์ เพราะแบบนั้นเยี่ยนซานคงจะไม่ได้ใช้ตะขอธรรมดาๆ อย่างแน่นอน เป็นไปได้ว่าเยี่ยนซานอาจจะเล็งไปที่ศิษย์น้องเล็กของเขาตั้งแต่แรกแล้ว
ในตอนนั้นเองเจียงอาเฉียนก็ได้บินตรงไปที่ศาลา
ต้วนมู่เฉิงได้ใช้หอกราชันย์ที่มีอยู่ในมือก่อนที่จะพุ่งไปหาตัวคนร้ายที่แม่น้ำ
มีตะขออันหนึ่งได้เกี่ยวกับกล่องที่หยวนเอ๋อถือเอาไว้
หยวนเอ๋อที่เห็นแบบนั้นก็ได้หันไปรอบๆ ตัวนางเห็นศิษย์พี่คนที่สี่อย่างหมิงซี่หยินบินตรงมา และเพราะแบบนั้นนางจึงรีบพูดขึ้น “เยี่ยนซานไม่ได้อยู่ที่นี่! “
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ขมวดคิ้ว ‘ถ้าหากเจ้านั่นไม่ได้อยู่ที่เจดีย์ลอยฟ้า แล้วเจ้านั่นจะไปอยู่ที่ไหนได้กัน? ‘
สายสะพายนิพพานได้บินตรงไปที่กล่องใบนั้น หยวนเอ๋อจะไม่ยอมปล่อยให้ของขวัญที่ได้รับมาจากผู้เป็นศิษย์หลุดรอดไปได้แน่
สายสะพายแห่งนิพพานเป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์ มันที่ไปถึงกล่องก็ได้พันรอบกล่องเอาไว้ในพริบตา
หยวนเอ๋อรีบกระโดดขึ้นไปบนฟ้า ในตอนนั้นเองทุกๆ คนต่างก็เห็นว่าวขนาดใหญ่พอๆ กับหยวนเอ๋อบินเข้ามาใกล้
“เยี่ยนซาน เจ้าคิดว่าจะหนีไปไหนได้กัน! ” เจียงอาเฉียนได้ชักดาบที่ตัวเขามีออกมา
ชิ้ง!
เมื่อดาบได้ถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง เสียงพลังมังกรคำรามก็ได้ดังขึ้นมาในอากาศ
ดาบคีตะมังกรได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเฉือนไปที่ว่าวคันนั้น
ลู่โจวยังคงจ้องมองว่าวไม่ขยับไปไหน
ฉั๊วะ!
ดาบคีตะมังกรได้เฉือนผ่านว่าวคันนั้นไป
ว่าวที่สูญเสียการทรงตัวได้ร่วงหล่นลงสู่พื้น
“ไม่มีใครเลยอย่างงั้นหรอ? ” ดาบคีตะมังกรได้กลับไปที่มือของเจียงอาเฉียน ดูเหมือนว่าตัวเขาจะประเมินเยี่ยนซานต่ำจนเกินไป
กล่องผ้าใบเดิมได้ถูกดึงกลับไปยังอ้อมอกของหยวนเอ๋อ
ผู้ฝึกยุทธที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็อ้าปากค้าง
ผู้ฝึกยุทธที่อยู่บนรถม้าต่างก็ยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่ได้เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้เลย ในพริบตาเดียวเท่านั้นเหล่าผู้ฝึกยุทธที่เพิ่งจะมาเยือนก็ได้หายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน
เมื่อหยวนเอ๋อเห็นรถม้าลอยฟ้าบินออกไป นางก็ได้กระทืบเท้าลงบนพื้นเพราะความรู้สึกดีใจ นางที่เห็นรถม้าจากไปก็ได้รีบพูดขึ้น “ฮึ่ม! ศิษย์พี่ แม้ว่าวันนี้ท่านจะหนีไปได้ แต่สักวันหนึ่งข้าจะเป็นคนจับท่านในนามของท่านอาจารย์เอง! “
หอกราชันย์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยพลังลมปราณได้พุ่งทะลวงออกมาจากผิวน้ำ ในตอนนั้นเองต้วนมู่เฉิงก็ได้ตะโกนกลับมา “เจ้านั่นไม่ได้อยู่ในน้ำเช่นกัน! “
หมิงซี่หยินในตอนนี้มาถึงเจดีย์ลอยฟ้าได้แล้ว
ถ้าหากจะนับรวมหยวนเอ๋อในตอนนี้เท่ากับว่ามียอดฝีมือถึง 4 คนด้วยกัน
ภาพรอบๆ ของเจดีย์ลอยฟ้ายังคงเงียบสงบ
ว่าวคันใหญ่ที่ตกลงสู่พื้นได้หายไปราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
เจียงอาเฉียนได้ถือดาบคีตะมังกรก่อนที่จะกลับมาหาลู่โจว “ข้าขอโทษด้วยท่านผู้อาวุโส ข้าจับตัวเขาไม่ได้”
หมิงซี่หยินเองก็กลับมาเช่นกัน ตัวเขาได้แต่ส่ายหัวอย่างหมดหวัง
ต้วนมู่เฉิงในตอนนี้เปียกไปทั้งตัว แม้ว่าผมของเขาจะต้องเปียกไปทั้งหัวแต่พลังกล้ามเนื้อที่มีรวมไปถึงหอกราชันย์ที่น่าเกรงขามได้ทำให้ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็ล่าถอยกลับไป เพียงแค่การตะโกนของต้วนมู่เฉิง คลื่นพลังลมปราณที่ได้ไหลเวียนออกจากตัวของเขาก็ร้อนพอที่จะทำให้ตัวที่เปียกโชกแห้งเหือดลง
“เจ้าเล่ห์จริงๆ ” ลู่โจวได้แต่ส่ายหัว
หยวนเอ๋อได้กลับไปที่ยอดเจดีย์ลอยฟ้าก่อนที่จะเปิดกล่องผ้าที่ได้รับมาอย่างกระตือรือร้น ภายในนั้นมีถุงมือที่ดูงดงามและดูละเอียดอ่อนอยู่คู่หนึ่ง
ลูกศรสีดำได้พุ่งออกมาจากแม่น้ำ ปลายลูกศรของมันถูกหุ้มไปด้วยพลังสีทอง…
“ระวัง! “
นี้ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
ลู่โจวได้ลูบเคราก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้านั่นมีทักษะในการสร้างสิ่งประดิษฐ์สินะ? “
เยี่ยนซานไม่ได้คิดจะวิธีอื่นนอกซะจากการใช้สิ่งประดิษฐ์ทั้งหมดนี้ในการขโมยของ
ด้วยพลังวรยุทธของหมิงซี่หยิน, ต้วนมู่เฉิง และเจียงอาเฉียน เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาทั้งสามจะหาสัญญาณของสิ่งมีชีวิตไม่เจอ ต้วนมู่เฉิงเองเป็นคนที่ตรวจสอบแม่น้ำ เพราะงั้นเยี่ยนซานคงไม่อยู่ที่นั่นแน่ะ
หยวนเอ๋อได้หันมาก่อนที่จะพันตัวเองด้วยสายสะพายนิพพานเอาไว้ เมื่อสายสะพายพันรอบตัวเองเสร็จในตอนนี้มันก็ได้กลายเป็นเกราะป้องกันพลังสีแดงไปเป็นที่เรียบร้อย
ลู่โจวในตอนนี้ไม่ได้กังวลเลยว่าหยวนเอ๋อจะได้รับบาดเจ็บไหม
ตัวหยวนเอ๋อในตอนนี้มีทั้งสายสะพายนิพพาน, ชุดขนเมฆา และพลังวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ลำพังเพียงแค่หยวนเอ๋อนางจะต้องป้องกันพลังของลูกศรสีดำนั้นได้แน่
แต่ภาพที่ทุกคนเห็นมันไม่ใช่แบบนั้น ทุกคนที่อยู่ตรงฐานเจดีย์ลอยฟ้าต่างก็คิดว่าลูกศรสีดำลูกนั้นกำลังที่จะเล็งเอาชีวิตสาวน้อยที่อยู่ด้านบน
แต่ถึงแบบนั้นทุกคนก็ได้แต่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ในป่าที่อยู่ห่างออกไป 100 เมตร ในตอนนั้นเองก็มีลูกศรสีแดงลอยพุ่งมาหาหยวนเอ๋ออย่างรวดเร็ว
ลูกศรทั้งหมดยังคงถูกหุ้มเอาไว้ด้วยพลังงาน
เมื่อลูกศรสีดำถูกตัวหยวนเอ๋อ ในตอนนั้นเองมันก็เกิดเสียงดังบนอากาศ
ตู๊ม!
พลังจากทั้งสองฝ่ายได้เข้าปะทะกันก่อนที่จะปะทุขึ้น
ลูกศรสีดำได้หักครึ่งก่อนที่จะตกลงสู่พื้น
ทุกๆ คนต่างก็จ้องไปที่ลูกศรสีแดงที่เหลืออยู่ ในตอนนี้มันได้พุ่งออกมาจากป่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทุกๆ คนที่จ้องมองมันต่างก็กลั้นหายใจ ไม่กล้าที่จะส่งเสียงอะไรออกมา
หยวนเอ๋อที่หลบอยู่ในสายสะพายกำลังรู้สึกสับสนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรจากลูกศรสีดำ นางได้คลายสายสะพายออกมาก่อนที่จะกระโดดลงมาจากเจดีย์ลอยฟ้า หยวนเอ๋อในใช้โอกาสนั้นเปิดกล่องที่ได้รับขึ้นมาจากเจดีย์ลอยฟ้า
“ท่านอาจารย์! ศิษย์ดีใจมากที่ไม่ได้ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง! ศิษย์ได้รับเศษเสี้ยวฟากฟ้ามาแล้ว! ” หยวนเอ๋อได้พูดออกมาด้วยความดีใจ
“เยี่ยมมาก” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น
หยวนเอ๋อรู้สึกดีใจมากเมื่อได้ยินคำชมจากผู้ที่เป็นอาจารย์ของนาง
ในทางกลับกัน ลู่โจวไม่ได้ดูมีความสุขอะไรเป็นพิเศษ
“ติ้ง! ได้รับเศษเสี้ยวฟากฟ้า x2 ชิ้น ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 200 แต้มบุญ”
ลู่โจวที่มาที่นี่ได้เศษเสี้ยวฟากฟ้าคืนกลับมา แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ไม่สามารถที่จะจับเยี่ยนซานได้ แล้วเศษเสี้ยวฟากฟ้าที่เหลืออยู่อีก 4 ชิ้นอยู่ที่ไหนกัน?
พรึ๊บ! พรึ๊บ! …
มีเสียงลึกลับดึงขึ้นมาจากป่า มันเริ่มดังขึ้นดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงพวกนั้นเป็นเสียงฝีเท้าไม่ผิดแน่
ในตอนนั้นเองเสียงอันทุ้มกังวานและหนักแน่นก็ได้ดังขึ้น “ท่านหญิงเจดเสด็จ ผู้ใดก็ตามที่ไม่มีธุระอันใดไสหัวออกไปซะ! “
ที่ชายป่าที่อยู่ไม่ห่างมากนัก ในตอนนั้นเองมีเสลี่ยงที่ดูหรูหราได้ปรากฏขึ้น เสลี่ยงถูกประดับตกแต่งด้วยผ้าม่านหลากสี การประดับตกแต่งของมันเป็นสิ่งที่ดูแปลกใหม่มาก ที่ใกล้ๆ เสลี่ยงที่ดูหรูหรามีสาวสวยคนหนึ่งอยู่ในชุดขาว ที่มือของนางถือธนูที่ดูสวยงามเอาไว้เช่นกัน
มีทหารสองแถวเดินนำหน้าเสลี่ยงมา ขบวนทัพทั้งหมดกำลังเดินตรงไปที่เจดีย์ลอยฟ้าไป
“ใครไม่มีธุระรีบไสหัวออกไปซะ! “
ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายที่อยู่ที่ฐานเจดีย์ลอยฟ้าต่างก็ส่ายหัวก่อนที่จะเดินจากไปยังศาลาอันใกล้ ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายต่างก็รวมตัวกันก่อนที่จะสังเกตการณ์ทุกอย่างจากระยะไกล
ลู่โจวและคนอื่นๆ ไม่ได้ขยับไปไหน
ในตอนนี้หน้าเจดีย์ลอยฟ้าว่างเปล่า
เมื่อเสลี่ยงได้ถูกหามมาถึงเจดีย์ลอยฟ้า ลู่โจวก็ได้เหลือบมองไปที่หญิงสาวคนหนึ่งที่เดินนำเสลี่ยงสุดหรูหรามา
ชื่อ: ฮั๊วยู่จิง
เผ่า: มนุษย์
วรยุทธ: ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์
…
“หยุด…”
เสลี่ยงค่อยๆ ถูกลดระดับลง ในตอนนั้นเองผ้าม่านก็ถูกเปิดขึ้น หญิงสาวที่ดูสง่างามที่สวมมงกุฎทองคำเอาไว้ค่อยๆ เปิดเผยตัวตน ท่านหญิงเจดค่อยๆ ปรากฏขึ้นขึ้น นางได้แหวกผ้าม่านออกมาก่อนที่จะเดินลงจากเสลี่ยง นอกจากนางจะดูงดงามมากแล้ว นางยังดูสง่างามมากอีกด้วย ที่ขอบตาของนางมีอะไรบางอย่างประดับตกแต่งอยู่ มันดูคล้ายกับเครื่องสำอางเป็นอย่างมาก
สาวใช้ทั้งสองคนได้เดินมาพยุงตัวนางจากทางด้านหลัง ท่านหญิงเจดได้เดินมาหาลู่โจวช้าๆ นางได้พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มอันส่งเสน่ห์ก่อนที่จะพูดทักทายขึ้น “สวัสดีท่านผู้อาวุโส”
ลู่โจวได้มองไปรอบๆ ตัว ในตอนนี้เจียงอาเฉียนได้หายตัวไปแล้ว
‘เจ้านั่นกลัวว่าจะถูกเปิดเผยตัวตนสินะ ไม่น่าแปลกใจเลยจริงๆ ‘
“เจ้าจำข้าได้ไหม? ” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างเยือกเย็น ตัวเขาไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอะไรพลังออร่ารอบๆ ตัวของนางเลย
เมื่อทักทายเสร็จ ท่านหญิงเจดก็สัมผัสได้ถึงเสียงพูดคุยจากศาลาที่อยู่ใกล้เคียงได้
‘ชายชรานี่มันใครกัน? แม้แต่ท่านหญิงเจดเองยังต้องให้เกียรติพูดคุยกับเขาอย่างสุภาพแบบนั้นได้! ‘
ท่านหญิงเจดได้ยิ้มก่อนที่จะตอบกลับไป “พวกเรามาคุยกันที่เจดีย์ดีกว่า”
เมื่อพูดเสร็จคนที่อยู่ในเจดีย์ลอยฟ้าก็ได้พูดขึ้น “ได้โปรดเชิญทางนี้”
ลู่โจวได้เหลือบมองฮั๊วยู่จิงก่อนที่จะเดินตามไปที่เจดีย์ลอยฟ้า
เนื่องจากอุปสรรคแบบทดสอบทั้งหมดถูกทำลายไปหมดแล้ว เพราะแบบนั้นจึงไม่มีใครคัดค้านไม่ให้เดินไปที่เจดีย์ลอยฟ้าได้อีกต่อไป ผู้คนทั้งหมดได้เดินไปที่ชั้นเก้าของเจดีย์ลอยฟ้าได้อย่างง่ายดาย สถานที่ที่อยู่บนจุดสูงสุดแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เหมาะที่สุดแล้วที่พวกเขาจะสนทนากัน
ทั้งสองต่างนั่งลง
หมิงซี่หยิน, ต้วนมู่เฉิง และหยวนเอ๋อต่างก็นั่งอยู่ข้างหลังของผู้เป็นอาจารย์
ทางด้านท่านหญิงหยกเองมีทหารเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ด้วย นอกเหนือจากนางแล้วยังมีสาวใช้อีกสองคน รวมไปถึงหญิงสาวมือธนู
“เจ้าเป็นหนึ่งในสามเทพมือธนูฮั๊วยู่จิงสินะ” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างเฉยเมย
เมื่อได้ยินแบบนั้นหมิงซี่หยินและคนอื่นๆ ต่างก็ตื่นตกใจในทันที
ก่อนหน้านี้ในตอนที่ลูกศรสีดำถูกยิงออกมา มันเป็นอะไรที่น่าทึ่งเป็นอย่างมาก
เมื่อฮั๊วยู่จิงได้ยินแบบนั้น นางก็ได้แต่ตกตะลึงในคำพูดของลู่โจว นางได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้ารู้สึกแปลกใจจริงๆ ที่ท่านรู้จักชื่อของข้าได้ ท่านผู้อาวุโส”
ลู่โจวพยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้น “ถ้าหากข้าจำไม่ผิด ดูเหมือนว่าเจ้าจะมาจากสำนักลั่วสินะ”
ใบหน้าของฮั๊วยู่จิงได้เปลี่ยนไปเป็นสีแดง นางได้ก้าวถอยหลังไป การที่หันหลังให้กับสำนักผู้ประสาทวิชาให้เป็นอะไรที่ไม่น่าโอ้อวดเลย
ท่านหญิงเจดได้ปิดหน้าเอาไว้ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ “ท่านปรมาจารย์ ไม่จำเป็นจะต้องหยอกล้อเด็กแบบนั้นเลย…ฮั๊วยู่จิงเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้ธนู แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นนางก็เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว นางคงจะไม่สามารถท่องเที่ยวไปทั่วยุทธภพด้วยตัวคนเดียวได้หรอก เพราะแบบนั้นการรับใช้พระราชสำนักจึงเป็นเหมือนกับโชคชะตาที่นางไม่อาจเลือกได้”
ลู่โจวไม่ได้ตอบกลับอะไรมา ตัวเขาได้แต่พยักหน้าให้เท่านั้น
เส้นทางของแต่ละคนช่างแตกต่างกัน ลำพังตัวเขาคงจะไม่สามารถบังคับใครให้เปลี่ยนทางเลือกได้
“พูดธุระของเจ้ามาซะ เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน? “
“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะอธิบายเรื่องที่เข้าใจผิดบางประการให้กับท่านฟัง ท่านปรมาจารย์…อย่างแรก มือสังหารที่ถูกส่งไปยังเมืองอันยางทั้งหมด พวกเขาเป็นคนของเฉินซู เขาคนนั้นเป็นพันธมิตรกับหวางฟูกุ่ย ตัวข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาแม้แต่น้อย เพราะแบบนั้นข้าก็ไม่ควรที่จะได้รับโทษทัณฑ์ในเรื่องนี้” นางได้หยุดพูดไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ “ส่วนเรื่องของพี่น้องข้าที่ได้ตายไปที่ภูมิภาคทางตะวันตก พี่น้องของข้าล้วนแต่ตายด้วยน้ำมือศิษย์คนที่สองของท่าน แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม…ข้าก็ไม่ได้ถือโทษโกรธศาลาปีศาจลอยฟ้า ท่านในตอนนี้ไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรกับศิษย์คนนั้นแล้ว ท่านผู้อาวุโส ข้าคนนี้ไม่กล้าที่จะล่วงเกินอะไรท่าน”
ในตอนที่ลู่โจวได้สังหารหวังฟูกุ่ยไป ในตอนนั้นเขาก็ได้กังวลมาตลอดว่าจะต้องมีคนโกรธเคือง แต่ถึงแบบนั้นลู่โจวก็ไม่มีทางที่จะพิสูจน์เรื่องในครั้งนั้นได้เลย คนที่ตายไปแล้วไม่อาจที่จะกลับย้อนมา
ท่านหญิงหยกได้พูดต่อไป “เรื่องที่ข้าจะพูดต่อไปเป็นเรื่องการตายของเฉินซู่ เพราะการตายของเขาทำให้ศาลาปีศาจลอยฟ้าขัดแย้งกับทางพระราชสำนักมาโดยตลอด แต่ถึงแบบนั้นเรื่องทั้งหมดนี้ก็ยังไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า…เรื่องนี้ฮั๊วยู่จิงรับรองให้กับข้าได้”
ลู่โจวได้ลูบเคราตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “ทำไมข้าถึงจะต้องเชื่อฮั๊วยู่จิงกันล่ะ? “
“อืม…” ท่านหญิงหยกหยุดคิดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดขึ้น “ข้าพูดความจริงท่านปรมาจารย์ ท่านน่ะเคยต่อสู้กับยอดฝีมือจากทางพระราชวังมาก่อน การจะจับคำโกหกของข้าคงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย”
ไม่มีสัญลักษณ์ของเวทมนตร์คาถาอะไรบนตัวของท่านหญิงหยก ถ้าหากนางกล้าที่จะยั่วยุศาลาปีศาจลอยฟ้าจริงๆ นางก็คงจะไม่มาที่นี่ ที่เจดีย์ลอยฟ้าด้วยตัวเองแน่
ลู่โจวไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดเรื่องนั้นต่อ ตัวเขาได้พูดเรื่องใหม่ออกมาแทน “แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงกันว่าข้าอยู่ที่นี่? ” มีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าลู่โจวมาที่นี่
ท่านหญิงเจดได้พูดตอบกลับไป “ข้าได้ยินเรื่องความไม่สงบจากเมืองอันยางมา นอกเหนือจากปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้ว ข้าก็นึกไม่ออกเลยว่าจะมีใครกันที่ขับไล่สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ของสำนักอเวจีไปได้”
ลู่โจวได้ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ก่อนที่จะจ้องมองไปยังทุกๆ คน ในตอนนี้ตัวเขาได้เดินไปที่ขอบเจดีย์ลอยฟ้า ลู่โจวยังคงเอามือไขว้หลังเช่นเดิม ตัวเขาได้เหลือบมองไปที่แม่น้ำที่อยู่ตรงหน้า
ที่ชั้นเก้าของเจดีย์ลอยฟ้า มันเป็นชั้นที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยบันไดเตี้ยๆ เพราะแบบนั้นการที่จะมองทิวทัศน์โดยรอบโดยที่ไม่มีอะไรมาปิดบังจึงเป็นเรื่องง่าย
ลู่โจวได้พูดออกมา “ถ้าหากเป็นแบบนั้นแล้วเจ้าก็คงจะรู้แล้วสินะว่าข้ามาที่นี่ทำไมกัน? “
ท่านหญิงเจดได้ส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดเท่านั้น…ข้าไม่ได้รู้เรื่องอื่นเลย”
“เยี่ยนซานได้ขโมยของจากข้าไป”
“เยี่ยนซาน? ชายผู้ที่เป็นทายาทคนเดียวของสำนักนักล้วงสินะ เยี่ยนซานผู้ใช้เคล็ดวิชาฝ่ามือล่องนภา?
“ถูกต้อง”
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้านั่นเป็นคนที่เจ้าเล่ห์มาก แม้แต่สำนักลั่วที่ฮั๊วยู่จิงจากมาก็ยังจับตัวชายคนนั้นไม่ได้…ข้าเกรงว่าการจะจับเจ้านั่นได้คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านผู้อาวุโส” ท่านหญิงเจดได้พูดออกมา
“เจ้านั่นเป็นเพียงแค่หนูที่เอาแต่หลบๆ ซ่อนๆ เท่านั้น ยังไงเจ้านั่นก็หนีไม่จากข้าไม่ได้! ” คำพูดของลู่โจวคำสุดท้ายถูกย้ำเตือนอย่างเด่นชัด
แม้ว่าจะย้ำเตือนสักแค่ไหนสีหน้าของลู่โจวก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไป
ในตอนนี้ในมือของเขากำลังส่องแสงสว่างออกมา แสงสว่างนั้นได้ปรากฏขึ้นในระหว่างที่ตัวเขาจ้องมองไปที่ฐานของเจดีย์ลอยฟ้า…
พลังผันผวนได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง พลังทั้งหมดได้ก่อตัวขึ้นจนกายเป็นกรงแสงสีทอง กรงทรงสี่เหลี่ยมไปลอยไปที่ฐานเจดีย์ลอยฟ้า
หมิงซี่หยิน, ต้วนมู่เฉิง และหยวนเอ๋อต่างก็เดินไปที่ขอบของเจดีย์ลอยฟ้าเช่นกัน พวกเขาประหลาดใจมากที่เห็นผู้เป็นอาจารย์โจมตีออกไปอย่างกะทันหัน
ในเวลาเดียวกันนั้นเองเหล่าผู้คนทั้งหลายก็ได้แต่ตื่นตกใจ ฮั๊วยู่จิงและทหารจำนวนหนึ่งต่างก็รู้สึกตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น เมื่อกรงสี่เหลี่ยมตกลงมาจากท้องฟ้า คลื่นแห่งพลังลมปราณก็ได้กระเพื่อมไปรอบๆ
ที่ศาลาที่อยู่รอบๆ ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งที่ขึ้นไปถึงชั้นแปดของเจดีย์ลอยฟ้าแสดงท่าทีตกใจออกมา ในตอนนั้นเองเขาก็รีบเดินแยกตัวในทันที ‘ข้าถูกเปิดเผยตัวแล้วอย่างงั้นหรอ! ‘
พลังของลู่โจวได้ตรงไปที่ป่า
กรงผนึกกักขังของเขาได้ขยายขนาดใหญ่ขึ้น
คนที่กำลังหนีอยู่ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือสุดยอดหัวขโมยแห่งยุทธภพเยี่ยนซานนั่นเอง!
เยี่ยนซานได้หนีไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะตะโกนเสียงดังกลับมา “ข้าต้องขอโทษด้วยท่านผู้อาวุโสจี เคล็ดวิชาที่ท่านใช้ไม่สามารถที่จะทำอะไรกับข้าได้…ตั้งแต่วันนี้ไปทั่วทั้งยุทธภพจะต้องจดจำชื่อของข้าเอาไว้ ข้าเยี่ยนซานสามารถหนีจากการจับกุมของท่านได้! “
การที่จะหนีรอดจากปรมาจารย์มหาวายร้ายที่ชั่วร้ายที่สุดในโลกมาได้ว่าเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่