ซูสือจิ่นกระพริบตาปริบๆ หลังจากที่ได้สติกลับมา การแสดงออกก็ดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย : “คุณจงใจเย้าแหย่ฉันเล่นใช่ไหม?”
ลั่วฝานหวาได้ยินเธอถามออกมาตรงๆแบบนี้ รอยยิ้มที่มุมปากก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น : “ความประทับใจที่สองคือคุณเป็นผู้หญิงที่ตรงไปตรงมา ถึงแม้ว่าตอนนี้คุณจะสวมกระโปรงแต่งตัวเป็นกุลสตรี ก็ยังเผยให้เห็นลักษณะพิเศษของคุณ”
ซูสือจิ่นหรี่ตามอง : “คุณอยากบอกว่าฉันไม่เป็นกุลสตรีก็พูดมาตรงๆ! วางใจเถอะ วันนี้เรานับว่ามาเป็นแขกบ้านคุณ คนเยอะแยะขนาดนี้ ฉันไม่ชกคุณหรอก!”
ลั่วฝานหวาหัวเราะออกมา : “คุณเป็นผู้หญิงตรงไปตรงมาแบบนี้หาได้ยากจริงๆ จู่ๆฉันก็รู้สึกว่านี่เป็นนัดดูตัวที่น่าสนใจที่สุดที่ฉันเคยเข้าร่วมมา! ครั้งนี้ถือว่าคุณปู่ตัดสินใจได้เฉียบขาดที่สุดเลย!”
ซูสือจิ่นจงใจเพิกเฉยต่อความหมายแฝงในคำพูดของเขา และกล่าวว่า : “ฉะนั้นคุณก็เคยนัดดูตัวมาหลายครั้งแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังโสดอยู่เหรอ?”
ลั่วฝานหวาพยักหน้า แล้วมองเธอ : “ตอนนี้ฉันรู้สึกว่า โชคดีที่ฉันยังโสดอยู่”
เวลานี้หยานชิงเจ๋อกับเจียงซีหยู่หยิบเครื่องดื่มแล้วเดินเข้ามานั่ง เขามองไปที่ซูสือจิ่น ยิ้มและกล่าวทักทาย : “เสี่ยวจิ่น”
พูดจบก็หันไปพยักหน้าให้ลั่วฝานหวาอย่างสุภาพ
ลั่วฝานหวากล่าวว่า : “ซื่อจิ่น ท่านนี้คือใครเหรอ?”
ซูสือจิ่นคาดไม่ถึงว่า ลั่วฝานหวาจะจงใจเปลี่ยนชื่อของเธอเล็กน้อย เธออยากจะถลึงตาใส่เขา แต่เมื่อเธอเห็นเจียงซีหยู่ควงแขนหยานชิงเจ๋ออยู่
ชั่วขณะเธอก็พูดกับลั่วฝานหวาว่า : “นี่คือเพื่อนของฉันที่โตมาด้วยกัน ชื่อหยานชิงเจ๋อ อีกท่านคือแฟนของเขาชื่อเจียงซีหยู่ พี่ชิงเจ๋อนี่คือลั่วฝานหวา คาดว่าอีกสักครู่คุณปู่ลั่วน่าจะแนะนำให้คุณรู้จัก!”
“ที่แท้ก็คือคุณลั่วนี่เอง!” หยานชิงเจ๋อยิ้มเล็กน้อย : “ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้คุณอยู่อเมริกามาตลอด พอดีว่าทางด้านนั้นฉันก็มีธุรกิจอยู่ไม่น้อยเลย บางทีในอนาคตอาจจะได้ร่วมมือกันมากขึ้นก็ได้นะ!”
ลั่วฝานหวาพยักหน้า : “อืม พอดีเลย ก่อนหน้านี้สือจิ่นก็เรียนอยู่ทางด้านนั้น ต่อไปเราจะได้ไปแลกเปลี่ยนความรู้กันได้มากขึ้น!”
ซูสือจิ่นได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกว่าทำไมถึงเอาเธอเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยได้ อดไม่ได้ที่จะหันไปมองลั่วฝานหวา
และพอดีกับว่าลั่วฝานหวาก็หันมามองเธอ แล้วพูดว่า : “ก่อนหน้านี้ฉันอยู่ที่ชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ได้ยินมาว่าคุณอยู่ทางด้านชายฝั่งตะวันออก มีโอกาสก็พาฉันไปทำความรู้จักทางด้านนั้นหน่อยได้ไหม?”
“ได้สิ!” ซูสือจิ่นรู้สึกได้ว่าหยานชิงเจ๋อยังคงจ้องมองพวกเขาอยู่ตลอด เพราะเหตุนี้เธอยังพูดเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า : “ถึงเวลานั้นพี่สาวคนนี้จะคุ้มครองคุณเอง!”
“คุณอายุน้อยกว่าฉัน 5 ปี เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ต้องการคนดูแล!” ลั่วฝานหวากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ชิ อายุไม่ได้เป็นตัวแทนทุกสิ่งทุกอย่างนะ!” ซูสือจิ่นไม่พอใจ
ที่ฝั่งตรงข้ามของโซฟา หยานชิงเจ๋อเฝ้าดูการสนทนาระหว่างคนทั้งสองที่เหมือนกับว่าไม่ได้มีคนอื่นอยู่ด้วย จู่ๆในใจก็สับสนวุ่นวายขึ้นมา
ความรู้สึกที่ลึกซึ้งนี้ ไม่ใช่ไม่สบายใจ แล้วก็แน่นอนว่าไม่ได้มีความสุข แต่เป็นความรู้สึกอ้างว้างเดียวดายอย่างนั้นเหรอ? รู้สึกเหมือนกับตนเองถูกปฏิบัติอย่างเย็นชาใช่ไหม?”
มันราวกับว่าตนเองพยายามเลี้ยงดูฟูมฟักแมวน้อยตัวหนึ่งมา แต่เพราะตนเองไม่สะดวกที่จะเลี้ยงดูต่อ ฉะนั้นจึงถูกคนรับไปเลี้ยงแทน
จากนั้นไม่กี่วัน ก็ไปหาเจ้าของที่รับเลี้ยงคนนั้นเพื่อเยี่ยมดูมัน และพบว่ามันกับเจ้าของคนปัจจุบันสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้นไปแล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้มันค่อนข้างเหมือนกับเด็ก แต่ความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากจากความสูญเสียมันชัดเจนขนาดนั้น ดูเหมือนว่าจะหลอกใครไม่ได้เลย
ดูท่าทางแล้วระหว่างพวกเขาเหมือนจะเข้ากันได้ดี เขาก็น่าจะรู้สึกดีใจ แต่หยานชิงเจ๋อไม่ได้รู้สึกดีใจเลยจริงๆ
และเวลานี้เขาก็เห็นว่าเจียงซีหยู่ดื่มเครื่องดื่มในแก้วหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงพูดขึ้นว่า : “ซีหยู่ เราไปเจอเพื่อนกันหน่อยเถอะ! พอดีว่าเข้ามาสักพักแล้ว ยังไม่ได้กล่าวทักทายพวกเขาเลย”
“โอเค” เจียงซีหยู่ยิ้มพยักหน้า แล้วลุกขึ้นยืน
หยานชิงเจ๋อลุกขึ้นและเห็นว่าซูสือจิ่นยังคงคุยกับลั่วฝานหวาอยู่ รอยยิ้มที่มุมปากก็อดไม่ได้ที่จะบึ้งตึงขึ้น
เมื่อเขากำลังจะเอ่ยปากพูดออกมา ลั่วฝานหวาก็เงยหน้าขึ้นพอดี แล้วพูดว่า : “คุณหยาน พวกคุณ……”
ชั่วขณะหยานชิงเจ๋อก็รู้สึกว่าความอึดอัดใจได้คลี่คลายลง จึงยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า : “เราเพิ่งมาถึง กำลังจะไปหาเพื่อนสักหน่อย!”
ลั่วฝานหวาพยักหน้า ซูสือจิ่นก็โบกมือให้พวกเขา : “อีกสักครู่เจอกันนะ!”
หยานชิงเจ๋อชำเลืองไปมองซูสือจิ่น หลังจากนั้นก็จูงมือเจียงซีหยู่ออกไป
หลังจากที่ทั้งสองคนออกไปไม่นาน หลานเสี่ยวถางก็เข้ามานั่ง
ซูสือจิ่นไม่เห็นสือมูเฉิน จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม : “พี่สะใภ้ พี่เฉินล่ะคะ?”
“เขายังมีธุระที่จะต้องคุย วันนี้ฉันสวมส้นสูงมาก็เลยเมื่อยเล็กน้อย ดังนั้นจึงเดินมาพักสักแป๊บหนึ่ง!” เพราะเมื่อกี้หลานเสี่ยวถางเคยเจอลั่วฝานหวาแล้ว ฉะนั้นจึงพยักหน้าให้เขาอย่างธรรมดาๆเพื่อเป็นการทักทาย
เธอหยิบนมกล้วยหนึ่งแก้วขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก และกำลังอยากจะพูดคุยกับซูสือจิ่น แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยสบายท้องเลย
หลานเสี่ยวถางอดไม่ได้ที่จะวางแก้วลง แล้วมองเครื่องดื่มในแก้วอย่างงุนงงสงสัยเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เธอชอบดื่มนมกล้วยแบบนี้มาก ทำไมเมื่อกี้นี้จู่ๆถึงได้รู้สึกว่ากล้วยอันนี้มันมีกลิ่นที่น่าคลื่นไส้ได้ล่ะ?
ที่ด้านตรงข้าม ซูสือจิ่นเหมือนจะสังเกตเห็นความผิดปกติของหลานเสี่ยวถาง จึงถามว่า : “พี่สะใภ้ เป็นอะไรไปเหรอ?”
หลานเสี่ยวถางส่ายๆหัว ฝืนยิ้มพูดว่า : “หยิบนมกล้วยมา แต่จู่ๆรู้สึกว่ามันไม่อร่อยเลย!”
“พี่สะใภ้ไม่ต้องเกรงใจหรอก ชอบดื่มน้ำมะละกอไหมครับ?” ลั่วฝานหวาพูดจบก็ลุกขึ้น : “ฉันจะไปเปลี่ยนแก้วให้คุณเอง!”
หลานเสี่ยวถางยิ้ม : “โอเค ขอบคุณนะ”
เพียงแต่เธอลองชิมน้ำมะละกอแล้วก็ยิ่งรู้สึกแย่ อดไม่ได้ที่จะนวดๆที่ขมับ
“พี่สะใภ้ ไม่สบายหรือเปล่า?” ซูสือจิ่นกล่าว: “ไม่อย่างนั้น ฉันจะให้พี่เฉินเข้ามาพาคุณไปส่งกลับบ้านดีไหม?”
หลานเสี่ยวถางส่ายหน้า: “เปล่าหรอก กลางวันฉันอาจจะรีบทำโปรแกรมมากไปหน่อย เลยรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย”
เพราะก่อนหน้านี้เกิดเรื่อง งานทางด้านซอฟต์แวร์จึงถูกระงับไปไม่น้อย ดังนั้น ตั้งแต่กลับมาจากอเมริกา หลานเสี่ยวถางก็ยุ่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์มาโดยตลอด
“อืม พักผ่อนให้มากหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว” ลั่วฝานหวาพูดพลาง รินน้ำอุ่นให้หลานเสี่ยวถางหนึ่งแก้ว: “พี่สะใภ้ ดื่มให้อุ่นท้องสักหน่อยก็น่าจะดีขึ้นนะ”
หลานเสี่ยวถางขอบคุณแล้ว ก็ดื่มน้ำอุ่น อาการอยากอาเจียนเมื่อกี้นี้ก็หายไปจริงๆ
ที่เรียกว่างานเลี้ยงวันเกิด อันที่จริงก็คืออาศัยชื่อในนามการอวยพรวันเกิด เพื่อให้ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อดูว่าจะมีความเป็นไปได้ในการร่วมมือทางธุรกิจหรือไม่
ดังนั้น กลางห้องโถงใหญ่ ทุกคนใช้โอกาสที่ยากจะรวมตัวกันนี้ พูดคุยสนทนากัน
เวลานี้ พ่อของลั่วฝานหวาขึ้นกล่าวบนเวที: “วันนี้ ต้องขอขอบคุณทุกคนที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดครบเจ็ดสิบปีของพ่อฉัน พร้อมกันนี้ นี่ก็ยังเป็นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อความสนุกสนานของลูกหลานของพวกเราอีกด้วย……”
เขากล่าวต่อไปว่า: “ทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนทางธุรกิจกันมาหลายปี ฉันคงไม่ต้องพูดให้เป็นพิธีรีตองมากนัก ตอนนี้ ขอเชิญคู่เต้นรำ มาเต้นรำเพื่อเปิดงานให้ทุกคนกันเถอะ!”
เมื่อเขาพูดจบ ลั่วฝานหวาก็ขึ้นมาบนเวที โค้งคำนับกับทุกคน หลังจากกล่าวทักทายสองสามคำแล้ว ก็เดินลงจากเวทีแล้วมุ่งไปยังซูสือจิ่น
เขาเดินมายังตรงหน้าเธอ คำนับอย่างสง่างาม แล้วยื่นมือออกมา: คุณซู คุณจะให้เกียรติเต้นรำกับฉันสักเพลงได้ไหมครับ?”
ซูสือจิ่นมองไปยังมือข้างนั้นที่ยื่นมายังตนเอง ไม่ยอมรับไม่ได้ว่า มือที่เรียวยาวงดงามของลั่วฝานหวา เล็บนิ้วมือที่ถูกตัดแต่งอย่างสะอาดสะอ้าน ท่าทีของเขาในเวลานี้ ก็เหมาะสมแล้วที่จะเป็นสุภาพบุรุษ
สายตาของคนทุกคนต่างจับจ้องเข้ามา เมื่อซูสือจิ่นนำมือวางลงบนฝ่ามือของลั่วฝานหวา ก็ส่งสายตามองไปยังหยานชิงเจ๋อโดยไม่ได้ตั้งใจ
เวลานี้เขาไม่ได้มองเธอ แต่ยิ้มให้กับเจียงซีหยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่
เวลานั้น จู่ๆซูสือจิ่นก็รู้สึกเหน็บหนาวเข้าไปถึงกระดูก
ปลายนิ้วของเธอสั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามีสายตาที่อิจฉาริษยาของเด็กผู้หญิงจำนวนไม่น้อยมองมา แต่ตัวเธอเองกลับรู้สึกเศร้าใจ
เธอต้องการเห็นว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร คนทั้งหมดที่อยู่ในงานกำลังจับจ้องมองเธออยู่ แต่จะมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้มอง ในสายตาของเขา มีเพียงผู้หญิงคนนั้นคนเดียว
ซูสือจิ่น ตัดใจซะเถอะ!
เธอพูดกับตนเองในใจ แต่ความเจ็บปวดภายในใจไม่ได้บรรเทาไปเพราะคำตักเตือนของเธอโดยสิ้นเชิง
เวทีสูงกว่าพื้นเล็กน้อย เพราะซูสือจิ่นจิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจึงไม่ได้มอง เมื่อเดินเข้าไป จึงอดไม่ได้ที่จะสะดุดไปข้างหน้า
“ซื่อจิ่น ระวัง!” ลั่วฝานหวาพูดพลาง ยื่นมือไปดึง เพราะผลจากความเฉื่อย ซูสือจิ่นจึงชนเข้ากับร่างกายของเขา เขากลัวว่าเธอจะทรงตัวไม่อยู่อีก ด้วยเหตุนี้ จึงยื่นมือไปจับเอวของเธอเอาไว้
เวลานี้ เหลือบมองด้วยหางตา ชัดเจนว่าหยานชิงเจ๋อได้เห็นฉากนี้ รูม่านตาของเขาหดลงเล็กน้อย นิ่งอึ้งไปสองวินาที จากนั้นก็กล่าวกับเจียงซีหยู่ว่า: ซีหยู่ เมื่อกี้ฉันพูดถึงไหนแล้วนะ?”
“คุณบอกว่า ถ้าหากมาทัน อันที่จริงก็สามารถแต่งงานเป็นกลุ่มได้…..” เจียงซีหยู่กล่าว
เวลานี้ ซูสือจิ่นยืนได้มั่นคงแล้ว จึงเงยหน้าไปมองลั่วฝานหวา: “ขอโทษนะคะ พอดีเมื่อกี้ไม่เห็นว่ามีของอยู่บนพื้น”
ลั่วฝานหวายิ้มแล้วกล่าวว่า: “อันที่จริง น่าจะเป็นฉันที่ต้องขอโทษนะ ที่ใช้โอกาสนี้เพื่อเอาเปรียบคุณ!”
เวลานี้คนทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ฉากนี้ได้ตกอยู่ในสายตาของผู้คนโดยรอบ จู่ๆบรรยากาศก็เปลี่ยนไป มีคนกล่าววิพากษ์วิจารณ์ว่า: “ดูท่า การเกี่ยวดองของตระกูลลั่วกับตระกูลซู คงจะประสบความสำเร็จแล้วล่ะ!”
บางคนก็พูดคล้อยตามว่า: ใช่ๆ คุณดูพวกเขาสิชายก็หล่อหญิงก็สวย แล้วมาดูบ้านฉันสิ ทำไมถึงไม่มีลูกหลานคนไหนได้เรื่องเลยสักคน?”
“ใช่น่ะสิ คุณดูสิพวกเขายืนอยู่ด้วยกันแล้วดูดีมากเลยนะ! ไม่รู้ว่าจะจัดงานแต่งงานกันเมื่อไร!”
“คาดว่าคงเร็วๆนี้แหละ ตอนนี้วัยรุ่นต่างก็นิยมที่จะแต่งงานสายฟ้าแลบอะไรนั่น เพิ่งจะเจอกันไม่กี่วันก็แต่งงานกันแล้ว”
“จริงๆ! ยิ่งมองแล้วถูกใจแบบนี้ บวกกับผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูล คาดว่าพวกเราจะต้องได้รับบัตรเชิญงานแต่งในเร็ววันนี้แหละ!”
“ใช่ๆ ถึงเวลานั้นก็ต้องคิดดีๆ ว่าจะส่งอะไรให้เป็นของขวัญ!”
หยานชิงเจ๋อได้ฟังบทสนทนาของผู้คนโดยรอบ ก็เริ่มใจลอยขึ้นมา
เจียงซีหยู่ที่อยู่ข้างๆ พูดอะไรมาคาดไม่ถึงว่าเขาจะไม่ได้ยินเลยสักคำ จนกระทั่ง แสงไฟโดยรอบเปลี่ยนเป็นมืดลง มีแสงหนึ่งส่องลงบนเวที เสียงเพลงดังขึ้น…..
หยานชิงเจ๋อเห็นว่า ซูสือจิ่นและลั่วฝานหวาเดินมายังกลางเวที และพวกเขาก็เริ่มเต้นรำไปตามเสียงเพลง
เขาเคยเห็นเธอเต้นรำแล้ว ทุกครั้งที่เต้นล้วนเป็นจังหวะแซมบ้าที่ค่อนข้างเร็ว แต่เป็นจังหวะแจ๊ซเหมือนวันนี้ ก็เพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก
หยานชิงเจ๋อเห็นว่า คนโดยรอบจำนวนมากกำลังมองไปยังเวที บางคนบอกว่าคนทั้งสองเหมาะสมกัน บางคนก็ชมว่าซูสือจิ่นสวย
และเวลานี้ หลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินก็เดินมาข้างๆเขา สือมูเฉินเอ่ยปากกล่าวว่า: “ชิงเจ๋อ คุณคิดว่าคู่รักของสือจิ่นในครั้งนี้เป็นยังไง?”
หยานชิงเจ๋อไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะ: “ก็ไม่เลวนะ”
“ช่วงนี้ตระกูลลั่วเพิ่งจะรับเหมางานวิศวกรรมชลประทานงานหนึ่งมา ดูท่าทางแล้วเหมือนจะมีคนหนึ่งที่แทะกระดูกไม่เข้า ดังนั้น คาดว่าน่าจะเตรียมร่วมมือกับตระกูลซู” สือมูเฉินกล่าววิเคราะห์ว่า: “ถ้าฉันเดาไม่ผิดล่ะก็ ก่อนที่รัฐบาลจะเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคมปีหน้า ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลจะต้องมั่นคงแล้ว และการสมรสกัน คงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
ดังนั้น เป็นไปได้ที่พวกเขาจะแต่งงานกันเร็วๆนี้ใช่ไหม?