ระหว่างที่หยานชิงเจ๋อกำลังใจสั่นหวั่นไหวอยู่ เจียงซีหยู่ที่อยู่ข้างๆก็พูดว่า : “ชิงเจ๋อ คุณเห็นไหมเมื่อกี้คุณยังกังวลว่าจะแต่งงานแบบกลุ่มได้หรือเปล่า ตอนนี้ไม่ต้องกังวลแล้วใช่ไหม!”
“อืม” หยานชิงเจ๋อหยักหน้า สายตามองไปทางด้านบนเวที
ตรงนั้นซูสือจิ่นดูเหมือนว่าจะเต้นรำไปด้วย และพูดคุยกับลั่วฝานหวาไปด้วย ดูท่าทางคนทั้งสองจะชอบกันแล้วจริงๆใช่ไหม?
“ซีหยู่ พวกคุณวางแผนจะแต่งงานแบบกลุ่มกันเหรอ?” หลานเสี่ยวถางเอ่ยถาม : “อยากให้พวกสือจิ่นเข้าร่วมด้วยใช่ไหม?”
เจียงซีหยู่พยักหน้า : “ใช่ ถ้าระยะเวลาสามารถรวบเข้ามาใกล้ๆได้ เช่นนี้จะต้องสนุกมากแน่ๆเลย!”
หลานเสี่ยวถางกับเจียงซีหยู่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของงานแต่งงาน และในขณะเดียวกันสือมูเฉินก็พูดคุยเกี่ยวกับโครงการกับหยานชิงเจ๋อ รู้ตัวอีกทีเพลงก็ใกล้จะจบแล้ว
บนเวทีลั่วฝานหวาพูดขึ้นว่า : “ซื่อจิ่น คุณดูสิ เราเข้ากันได้ดีมากเลยนะ!”
ซูสือจิ่นจึงกล่าวว่า : “คุณอย่าเปลี่ยนชื่อฉันโดยพลการได้ไหม?” มีฟู่สีเกอที่ตั้งฉายาให้เธอว่ายายผัดผักมันก็น่าปวดหัวมากอยู่แล้ว ตอนนี้คาดไม่ถึงว่าจะยังมีซื่อจิ่นชื่อที่น้ำเน่าอย่างนี้อีก……
“ฝานหวากับซื่อจิ่น ดูมีความหมายมากเลย!” ลั่วฝานหวาพูดจบ ก็พูดกับเธอต่อว่า : “คุณดูสิ ผู้ชายทุกคนมองฉันอย่างอิจฉาเลยนะ”
“นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของฉัน!” ซูสือจิ่นหรี่ตามองเขา
“โฉมหน้าที่แท้จริงก็คือคนที่แย่งบุหรี่ของฉันตรงระเบียงทางเดินใช่ไหม?” ลั่วฝานหวาหัวเราะ : “เหมือนผู้หญิงที่ดูร้ายกาจ แต่จริงๆน่าสนใจยิ่งกว่า
“ฉันเป็นเทควันโดสายดำนะ!” ซูสือจิ่นพูดขู่เขา
“งั้นเหรอ? อย่างนั้นถ้ามีโอกาสก็จะขอเรียนรู้สักหน่อย” เขาพูดแล้วก็หัวเราะออกมา
เมื่อเพลงจบลง ซูสือจิ่นหมุนตัวรอบสุดท้ายเสร็จ ลั่วฝานหวาเอามือที่โอบเอวเธอไว้กลับไป และกล่าวขอบคุณเธออย่างสุภาพ
โดยรอบมีเสียงปรบมือดังขึ้น
“เสี่ยวถาง เราไปเต้นรำกันสักเพลงเถอะ” สือมูเฉินพูดจบ ก็จูงมือของหลานเสี่ยวถางไป
ที่กลางเวที หลายๆคู่เริ่มเต้นรำกันแล้ว แต่หลานชิงเจ๋อลากเจียงซีหยู่ไปยังจุดพักผ่อน
เจียงซีหยู่อดพูดไม่ได้ว่า : “ชิงเจ๋อ คุณไม่ไปเต้นรำเหรอ?”
หยานชิงเจ๋อส่ายหัว : “ก่อนหน้านี้เคยเต้นรำมาน้อยมาก เลยไม่ค่อยถนัด”
เจียงซีหยู่อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ การเต้นรำสามารถพูดได้ว่าเป็นทักษะทางสังคมที่จำเป็น คาดไม่ถึงว่าหยานชิงเจ๋อจะไม่ถนัด?
“ชิงเจ๋อ คุณไม่เคยเต้นรำจริงๆเหรอ?” เจียงซีหยู่กล่าว : “นี่มันดูไม่เหมือนคุณเลยนะ!”
“อืม ไม่เคยเต้นรำจริงๆ” หยานชิงเจ๋อพูดจบ ก็อดนึกถึงอดีตไม่ได้
เวลานั้นซูสือจิ่นกับฟู่สีเกอกำลังหลงใหลไปกับการเต้นซัลซ่ามาก ทุกวันที่เลิกเรียนจะต้องไปที่สโมสร
แต่เขาในตอนนั้นก็แทบจะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เขาสนใจเกี่ยวกับเรื่องคอมพิวเตอร์ ตอนที่เรียนอยู่ยังแอบสร้างเว็บไซต์กับสือมูเฉินอย่างเงียบๆด้วย ปกติเวลาว่างก็แทบจะหมดไปกับทางด้านนั้น
แต่เนื่องจากบ้านของซูสือจิ่นอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขา เมื่อก่อนเขาและเธอจึงไปกลับโรงเรียนด้วยกัน
หลังจากที่เธอไปเต้นรำ เขาก็ยังย้ายเวลาทำงานของตนเองไปที่สโมสรด้วย
เธอได้สนุกสนาน เขาได้การเรียนรู้
เพราะเหตุนี้เธอจึงเต้นรำได้ดีมาก และเว็บไซต์ของเขากับสือมูเฉินก็มีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้นด้วย
แต่เพียงแค่คืนเดียวทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
วันนั้น คู่หูของซูสือจิ่นและฟู่สีเกอไม่ได้มา ฉะนั้นอาจารย์จึงจัดหาคนที่เพิ่งไปได้ไม่นานให้เป็นคู่เธอชั่วคราว
วันนั้น เขาก็ทำงานเสร็จเร็วพอดี จึงมาที่ห้องเรียนของเธอ
พอดีกับว่ามีโอกาสได้เห็นคู่หูชั่วคราวของเธอทำตัวใกล้ชิดสนิทสนม โดยการยื่นมือออกไปจับก้นของซูสือจิ่น
ในตอนนั้นเธอตกตะลึง และเขาก็โกรธอย่างมาก
เขาตรงเข้าไปต่อยคนคนนั้น จากนั้นก็ดึงซูสือจิ่นมา แล้วพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “ต่อไปนี้ไม่อนุญาตให้มาเต้นรำที่นี่แล้วนะ ถ้าจะเต้นต้องให้พวกเราสามคนมาเป็นเพื่อนคุณด้วย!”
ในตอนนั้นเธอรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเธอคือผู้ถูกกระทำ แต่เขากลับพูดจารุนแรงกับเธอ
เพียงแต่ในท้ายที่สุดแล้ว เธอก็ไม่ไปที่สโมสรนั้นอีกต่อไป และแน่นอนว่าไม่ได้คิดให้พี่ชายทั้งสามคนมาเป็นคู่หูด้วย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นหรือเปล่า เขาจึงได้ต่อต้านการเต้นรำ นอกจากที่บ้านเคยให้เรียนอยู่สองสามครั้ง ตัวเขาเองก็ไม่เคยเต้นรำอีกเลย จนถึงตอนนี้ก็ไม่ค่อยถนัดเลยจริงๆ
เมื่อนึกถึงอดีต หยานชิงเจ๋อก็พูดกับเจียงซีหยู่ว่า : “ซีหยู่ ตอนที่มีฉันอยู่ด้วย ถ้าคุณอยากเต้นรำจริงๆฉันก็พอจะไปเต้นรำเป็นเพื่อนคุณได้ แต่ถ้าไม่มีฉันอยู่ด้วย คุณก็อย่าไปเต้นรำเลยนะ ก่อนหน้านี้ตอนที่เสี่ยวจิ่นเต้นรำก็เคยถูกคนเอาเปรียบมาแล้ว”
บางทีความคิดของผู้หญิงก็มีความละเอียดอ่อน ฉะนั้นหลังจากที่ไตร่ตรองอยู่สักครู่ เจียงซีหยู่จึงถามว่า : “ชิงเจ๋อ เป็นเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม ฉะนั้นคุณจึงไม่เต้นรำเลย?”
หยานชิงเจ๋อพยักหน้า : “อืม ฉันไม่ค่อยชอบการสัมผัสใกล้ชิดกันอย่างนี้”
เจียงซีหยู่หลุบตาลง แล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
และในเวลานี้ หลานเสี่ยวถางรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยหลังจากเต้นไปหนึ่งเพลง จึงพูดกับสือมูเฉินว่า : “มูเฉิน เราไปพักกันสักครู่เถอะ พอดีว่าฉันรู้สึกหิว อยากไปห้องอาหารทานของว่างสักหน่อย”
“โอเค” สือมูเฉินพยักหน้า แล้วจูงหลานเสี่ยวถางไปยังห้องอาหาร
ทั้งสองคนต่างพากันไปหยิบจานอาหารและขนม จากนั้นก็มานั่งลงที่โซฟา
“เสี่ยวถาง ตระกูลลั่วมีพ่อครัวคนหนึ่ง ที่ทำเป็ดราดซอสได้รสชาติยอดเยี่ยมอย่างมาก คุณลองชิมดูสิ!” สือมูเฉินพูดพลาง คีบเนื้อเป็ดให้หลานเสี่ยวถางชิ้นหนึ่ง
หลานเสี่ยงถางนำใส่ปากแล้วเคี้ยว ถึงแม้ว่าเป็ดราดซอสจะไม่ได้เลี่ยน แต่ก็มีความมันเล็กน้อย หลานเสี่ยวถางรู้สึกเพียงว่าความรู้สึกหวานมันนั้นที่ลื่นจากคอลงสู่กระเพาะ ในทันใด ก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาทันที
เธออดไม่ได้ที่จะปิดปาก แล้วมองไปรอบๆอย่างรู้สึกเสียมารยาทเล็กน้อย
ยังดี ที่ตรงนี้มีแค่สือมูเฉินและหยานชิงเจ๋อแค่สองคน ไม่มีคนนอก
เธอกล่าวอย่างรู้สึกเกรงใจเล็กน้อยว่า: “วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร ทานอะไรก็รู้สึกเอียนไปหมด”
สือมูเฉินอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามว่า: “เสี่ยวถาง ถ้าไม่สบาย พวกเราให้หมอประจำตระกูลลั่วมาตรวจสักหน่อย หรือไม่ เราก็กลับบ้านไปพักผ่อนดีไหม?”
“ไม่เป็นไร วันนี้ฉันคงกระเพาะไม่ค่อยดีน่ะ” หลานเสี่ยวถางพูดพลาง หยิบน้ำเปล่าดื่มไปสองสามอึก จึงรู้สึกสบายขึ้นเล็กน้อย
แต่เวลานี้ จู่ๆเจียงซีหยู่ที่อยู่ข้างๆก็ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เข้าใกล้หลานเสี่ยวถาง แล้วกล่าวกระซิบว่า: “พี่สะใภ้ เมื่อก่อนพี่สาวฉันก็เคยเป็นแบบนี้นะ พวกคุณอาการค่อนข้างคล้ายกัน คุณท้องแล้วหรือเปล่า……”
หลานเสี่ยวถางใจสั่นขึ้นมาทันที หยิบมือถือขึ้นมาดูปฏิทิน ทันใดก็นิ่งอึ้งไป
เพราะช่วงนี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ดังนั้น เธอจึงลืมวันที่มีประจำเดือนไป เมื่อได้คำนวณแล้ว ก็พบว่าเลยมาแล้วครึ่งค่อนเดือน!
ถึงแม้เมื่อก่อนเธอจะเคยเจอสถานการณ์ที่ประจำเดือนมาไม่ตรงเวลา แต่โดยปกติแล้ว อย่างมากที่สุดก็มาก่อนหรือหลังแค่หนึ่งสัปดาห์ ที่เป็นเหมือนกับตอนนี้ สถานการณ์ที่มาช้าครึ่งค่อนเดือน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีจริงๆ!
หรือว่า เธอจะท้องแล้วจริงๆ?
หลานเสี่ยวถางรู้สึกจิตใจสับสนขึ้นมาในทันที
เหมือนกับว่าเธอยังไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเป็นแม่คน แต่ดูเหมือนว่าพอนึกถึงเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในท้องแล้ว ก็รู้สึกน่ารักน่าชัง
คิดถึงตรงนี้แล้ว มุมปากของเธอก็ยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว หัวใจเริ่มที่จะจินตนาการ ถ้าท้องแล้วจริงๆ จะเป็นลูกชายหรือลูกสาวกันนะ? แล้วจะเหมือนใครมากกว่ากัน?
“เสี่ยวถาง?” สือมูเฉินเห็นหลานเสี่ยวถางหยิบส้อมอยู่โดยไม่เคลื่อนไหว จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวถามอย่างเป็นกังวลว่า: “ไม่สบายเหรอ?”
หลานเสี่ยวถางได้สติกลับมา จึงส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า: “เปล่าค่ะ มูเฉิน ฉันไม่เป็นไรจริงๆ คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
เธอคิดแล้วว่า ถ้าท้องก็จะต้องบอกสือมูเฉินทันที
แต่ว่าตอนนี้ยังไม่รู้สถานการณ์ เธอต้องรอไปซื้อที่ตรวจครรภ์มาลองตรวจดูก่อน ได้ผลว่ายังไงค่อยว่ากัน ถึงอย่างไร ถ้าบอกไปแล้วแต่ไม่ได้ท้อง เธอก็กลัวว่าเขาจะผิดหวัง
คิดถึงตรงนี้แล้ว หลานเสี่ยวถางก็แทบจะอยากให้งานเลี้ยงจบลงเร็วๆ จากนั้น ก็จะไปร้านขายยาซื้อที่ตรวจครรภ์
และเวลานี้ ซูสือจิ่นและลั่วฝานหวาก็เต้นรำจังหวะที่เร็วขึ้นเล็กน้อย
เธอกล่าวกับเขาว่า: “อันที่จริง ฉันคิดว่าคุณก็ค่อนข้างดีอยู่นะ ถ้าคุณไม่มีความคิดทางด้านนั้นต่อฉันก็ยิ่งดี อย่างนั้น พวกเราก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้ ฉันอยู่ที่หนิงเฉิงก็มีเพื่อนไม่มาก มีแค่พี่ชายสองสามคนแล้วก็พี่สะใภ้ เพียงแต่พวกเขาแต่ละคนจะแต่งงานกันแล้ว จากนั้นก็จะเหลือฉันเพียงคนเดียว ถ้าคุณคิดว่าเป็นไปได้ล่ะก็ พวกเราสามารถเป็นเพื่อนกันได้นะ”
ลั่วฝานหวามองใบหน้าที่สวยน่ารักของเธอ นึกถึงวันนั้นที่เธอเดินอยู่ที่ระเบียงทางเดินแล้วแย่งบุหรี่ของเขาไป ท่าทางที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามว่า: “ถ้าหากพวกพี่ชายของคุณแต่งงานกันหมดแล้ว ก็เหลือแค่คุณคนเดียว แล้วทำไมคุณไม่คบกับฉันล่ะ คนอื่นจะได้ไม่พูดว่าคุณไม่มีคนต้องการไง?”
ซูสือจิ่นได้ฟังน้ำเสียงลั่วฝานหวาที่หยอกเย้าพูดเสนอแนะแบบนี้แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองเขา: “คุณเต็มใจที่จะแต่งงานกับคนที่ไม่มีใจกับคุณอย่างนั้นเหรอ?”
“ฉันเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างของกาลเวลา ล้วนไม่แน่นอน” ลั่วฝานหวาพูดพลาง ยกตัวอย่างก่อนหน้านั้น: “ก็เหมือนกับในตอนนั้น ที่ฉันกำลังเดินอยู่ที่ระเบียงทางเดิน แล้วรู้สึกว่าข้างหน้าจะเป็นทางตัน แต่เมื่อเดินมาถึงก็พบว่ายังมีอีกมุมหนึ่ง ฉันจึงเดินเลี้ยวมา ก็มาพบกับคุณที่กล้าเข้ามาแย่งบุหรี่ฉัน”
ซูสือจิ่นเห็นดวงตาของเขาที่จู่ๆก็เปลี่ยนเป็นลึกซึ้ง เธออดไม่ได้ที่จะไม่สบายใจเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ จึงหลบสายตาแล้วกล่าวว่า: “เมื่อกี้ฉันดื่มเครื่องดื่มไปค่อนข้างมาก ฉันขอตัวไปห้องน้ำหน่อยนะ!”
“ฉันไปเป็นเพื่อนคุณ” ลั่วฝานหวากล่าว
“ไม่ต้องหรอก คุณไปทักทายแขกเถอะ คนอื่นจะได้ไม่มองว่าพวกเราตัวติดกัน ถ้าหากเรื่องของเราสองคนถูกพูดออกไป จะทำให้คุณขายหน้าได้นะ!” ซูสือจิ่นพูดจบแล้ว ก็โบกมือให้เขา แล้วหันเดินจากไป
ลั่วฝานหวามองภาพด้านหลังของเธอที่หายไปจากห้องโถงใหญ่ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มๆอย่างจนใจ
ซูสือจิ่นเข้าห้องน้ำเสร็จแล้วออกมา ยืนล้างมืออยู่ที่อ่างล้างมือ
เพราะอ่างล้างมือที่ชายหญิงสามารถใช้ร่วมกันได้ ดังนั้น มีชายอีกคนหนึ่งที่สวมชุดบริกรยืนอยู่ สายตาของเธอเห็นแล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
เธอล้างมือสะอาดแล้ว เมื่อกำลังจะหันตัวกลับ จู่ๆชายคนนั้นก็หันเดินเข้ามา แล้วมองตรงมาที่เธอ
เวลานั้น ซูสือจิ่นรู้สึกเหมือนกับว่าถูกงูพิษจ้องมองอยู่
หัวใจเธอตึงเครียด ก้าวถอยหลังโดยสัญชาตญาณ: “คุณผู้ชาย คุณมีธุระอะไรเหรอคะ?”
“คุณผู้ชาย?” บนหน้าผากของชายวัยรุ่นคนนั้น ที่มีรอยแผลเป็น เวลานี้ บวกกับการแสดงออกที่โหดเหี้ยม ก็ยิ่งดูดุร้ายขึ้นมาอย่างชัดเจน: “ซูสือจิ่น คาดไม่ถึงว่าคุณจะเรียกฉันว่าคุณผู้ชาย?!”
ซูสือจิ่นหัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันที: “คุณรู้จักฉันได้ยังไง?!”
“ฉันรู้จักคุณได้ยังไงน่ะเหรอ?!” ชายคนนั้นก้าวเท้าเข้าไป: “ตอนนั้น ฉันตามจีบคุณมันผิดเหรอ คาดไม่ถึงว่าจะถูกพวกพี่ชายของคุณทำร้ายจนเสียโฉม!”
ซูสือจิ่นนึกขึ้นได้ในทันที คนคนนี้ ดูเหมือนว่าเมื่อปีนั้นจะตามจีบเธอ แต่ถูกคนของหยานชิงเจ๋อทำร้าย
“คุณจะทำอะไร อย่าเข้ามานะ ขืนคุณเข้ามาอีกก้าวเดียว ฉันจะตะโกนเรียกคน! ด้านนอกมีคนเยอะแยะ!” ซูสือจิ่นกล่าวอย่างเป็นกังวล
“ฉันจะทำอะไรงั้นเหรอ?” ทันใดนั้นชายคนนั้นก็เอามีดสั้นออกมาจากกระเป๋าของเขา: “ฉันรอวันนี้มานานมากแล้ว ฉันต้องการเพียงแค่คุณ!”