ตอนที่ 411 ใส่ร้ายป้ายสี (3) / ตอนที่ 412 ใส่ร้ายป้ายสี (4)
ตอนที่ 411 ใส่ร้ายป้ายสี (3)
ตราบเท่าที่จวินอู๋เสียถูกไล่ออก หลี่จื่อมู่ก็ไม่ต้องกังวลว่าคำโกหกของเขาจะถูกเปิดเผยอีกต่อไป เขาเชื่อว่ากู้หลี่เซิงจะไม่กระโดดลงมายุ่งด้วยเพราะลูกศิษย์ธรรมดาๆ เพียงคนเดียว
และตราบเท่าที่สามารถกำจัดจวินอู๋เสียออกไปจากที่นี่ได้ เขาก็จะถูกมองว่าเป็นเหยื่อผู้น่าสงสารชั่วนิจนิรันดร์!
การต่อสู้ในโรงอาหารกำลังจะปะทุขึ้น หมอกสีดำจางๆ ก็เริ่มรั่วไหลออกมาจากร่างของเจ้าแมวดำตัวน้อยแล้ว
เจตนาฆ่าในดวงตาของจวินอู๋เสียแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าอารมณ์ของนางจะเย็นลงเล็กน้อย แต่นางก็ไม่เคยอดทนต่อความอัปยศอดสู
“นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน!” จู่ๆ เสียงคำรามหนึ่งก็ดังก้องไปทั่วทั้งโรงอาหารราวกับฟ้าร้อง แก้วหูของทุกคนสั่นสะท้านไปในทันที!
ร่างสูงใหญ่องอาจพุ่งไปหยุดอยู่ที่ด้านข้างของจวินอู๋เสีย ร่างสูงของเขาขวางอยู่ข้างหน้าจวินอู๋เสียโดยตรง และปิดกั้นแววตาที่มุ่งร้ายที่ส่งมาจากทุกทิศทาง
“ศิษย์…ศิษย์พี่ฟ่าน” กลุ่มชายหนุ่มที่กำลังจะสั่งสอนบทเรียนให้กับจวินอู๋เสีย หลังจากที่เห็นว่าใครกำลังเข้ามา ความเย่อหยิ่งของพวกเขาก็ลดฮวบ
ร่างสูงที่ยืนบังอยู่ตรงหน้าจวินอู๋เสียนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฟ่านจิ่นนั่นเอง!
รอยยิ้มบนใบหน้าของฟ่านจิ่นในอดีตได้จางหายไปอย่างไร้ร่องรอย ใบหน้าของเขาบูดบึ้ง มองไปที่ชายหนุ่มที่ล้อมรอบจวินอู๋เสียอยู่ด้วยสายตาดุดัน
เมื่อสักครู่นี้ขณะที่เขาก้าวเข้ามาในโรงอาหาร เขาก็เห็นร่างเล็กกะทัดรัดกำลังถูกปิดล้อมอยู่ เด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมยืนอยู่เพียงลำพังและไร้ที่พึ่งพิง ในขณะที่ถูกกดดันและข่มขู่จากชายหนุ่มอายุมากกว่าหลายคน จู่ๆ มันก็ได้กระตุ้นสัญชาตญาณปกป้องของฟ่านจิ่นขึ้นมา เขาก้าวขึ้นไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเลสักนิดและไปยืนบังอยู่ข้างหน้าจวินอู๋เสียโดยตรง!
“พวกเจ้าเข้ามารุมจวินเสียต้องการอะไรจากเขารึ” ฟ่านจิ่นขมวดคิ้วและมองไปยังกลุ่มชายหนุ่มซึ่งแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรเลย
เมื่อถูกฟ่านจิ่นจ้องมองมาด้วยสายตาเช่นนี้ ขาของศิษย์ใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่สำนักศึกษาเฟิงหัวก็เริ่มสั่นสะท้าน
ฟ่านจิ่นคือใคร เขาคืออันดับสี่ในศึกประลองภูติวิญญาณครั้งล่าสุด! กวาดตามองไปทั่วทั้งสำนักศึกษาเฟิงหัว คนที่สามารถเอาชนะเขาได้มีเพียงแค่สามคนเท่านั้น!
นอกจากนี้ เขายังเป็นบุตรบุญธรรมของอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาเฟิงหัวอีกด้วย ไม่ว่าจะด้วยตัวตนไหน ศิษย์ใหม่อย่างพวกเขาก็ไม่กล้าตอแยด้วยจริงๆ
ไม่ต้องพูดถึงศิษย์ใหม่เหล่านี้เลย แม้แต่ศิษย์เก่าของสำนักศึกษาเฟิงหัวก็ยังมีน้อยคนนักที่กล้าตะคอกใส่หน้าเขา
“พวก…พวกเราก็แค่ต้องการให้จวินเสีย…ขอโทษจื่อมู่เท่านั้น…” ความเย่อหยิ่งจองหองก่อนหน้านี้ กลายเป็นเศษขยะทันทีเมื่อถูกร่างสูงกว่าจ้องมองมาด้วยสายตาแบบนั้น พวกเขาหดคอหนีโดยไม่รู้ตัว
หายไปจนสิ้น หนึ่งในพวกผู้เยาว์พูดอุบอิบ หัวของเขาก้มต่ำ
“ขอโทษหรือ” ฟ่านจิ่นยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้น
“ใช่ขอรับ จวินอู๋เสียเกือบจะแย่งตำแหน่งของจื่อมู่ไป และทำให้จื่อมู่เกือบจะไม่สามารถเป็นศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณได้….จวินเสียควรขอโทษในเรื่องนี้ พวกเราต้องการเพียงแค่คำขอโทษเท่านั้น…และพวกเราก็ยังไม่ได้ทำอะไรเขาเลย” ชายหนุ่มที่ค่อนข้างมีสติคนหนึ่งรีบเอ่ยแก้ตัว
แค่ขอโทษ? ฟ่านจิ่นหรี่ตาของเขาลง มองไปที่โต๊ะอาหารที่คว่ำกับจานชามที่แตกหัก เขาอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยในใจ
กลุ่มชายหนุ่มพวกนี้เข้ามารุมล้อมจวินอู๋เสียและสร้างเรื่องวุ่นวาย หากพวกเขาเพียงแค่ต้องการคำขอโทษ ไม่จำเป็นต้องมีฉากที่ใหญ่โตเช่นนี้ก็ได้กระมัง
เพียงแต่…
“หมายความว่าอย่างไรที่ว่าจวินเสียแย่งตำแหน่งของคนอื่น จวินเสียเป็นลูกศิษย์ที่ถูกแต่งตั้งโดยตรงจากท่านผู้อาวุโสกู้ พวกเจ้าอย่าได้พูดจาไร้สาระ” ฟ่านจิ่นขมวดคิ้ว
“ศิษย์พี่ฟ่าน ท่านไม่รู้หรือ” เมื่อกลุ่มคนรุ่นเยาว์ได้ยินแบบนี้ ก็คล้ายกับมีแสงสว่างวาบเข้ามาในดวงตาของพวกเขา
พวกเขาก็ว่าอยู่ว่าศิษย์พี่ฟ่านผู้ซึ่งรักในความยุติธรรม จะปกป้องเจ้าคนร้ายกาจหน้าไม่อายแบบนี้ได้อย่างไร ที่แท้ศิษย์พี่ฟ่านก็ยังไม่รู้ความจริง!
“รู้อะไรหรือ” ฟ่านจิ่นถามอย่างโกรธจัด เขาฝึกอยู่ที่สาขาผู้ใช้สัตว์วิญญาณมาตลอดทั้งเช้าและเพิ่งจะหยุดเมื่อสักครู่นี้เอง เขาจึงไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นในสำนักศึกษาเฟิงหัว
……
ตอนที่ 412 ใส่ร้ายป้ายสี (4)
“เมื่อเช้านี้จวินเสียถูกท่านผู้อาวุโสกู้ไล่ออกจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณแล้วขอรับ เขาไม่ใช่ศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณอีกต่อไป ศิษย์ตัวจริงที่ท่านผู้อาวุโสกู้เลือก ก็คือจื่อมู่ ศิษย์พี่ฟ่านท่านดูนี่สิ ที่หน้าอกของจื่อมู่ยังติดป้ายหยกสัญลักษณ์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณอยู่เลย นั่นคือสิ่งที่ท่านผู้อาวุโสกู้นำมามอบให้กับจื่อมู่ด้วยตัวของเขาเอง” ชายหนุ่มหลายคนรีบดึงตัวหลี่จื่อมู่ซึ่งซ่อนตัวอยู่ข้างหลังสุดมาเผชิญหน้ากับร่างสูงของฟ่านจิ่นในทันที
ร่างกายที่เหมือนไก่อ่อนของหลี่จื่อมู่ เมื่อมายืนอยู่ต่อหน้าฟ่านจิ่นฉับพลันขาของเขาก็อ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง
แม้ว่าเขาจะภาคภูมิใจที่ตัวเองได้เข้าไปเป็นศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ แต่เขาก็ไม่กล้าหือกับฟ่านจิ่นหรอก
ฟ่านจิ่นขมวดคิ้วขณะที่มองไปยังหลี่จื่อมู่ที่ทั้งอ่อนแอและขี้ขลาด ขนาดยืนอยู่ตรงหน้าเขายังไม่กล้าเลย แต่ป้ายหยกสีขาวที่ห้อยอยู่บนหน้าอกของเขานั้นมันก็เป็นสัญลักษณ์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณไม่ผิดจริงๆ
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ฟ่านจิ่นจำได้อย่างชัดเจนว่าในคืนก่อนที่ศิษย์ใหม่จะเข้ามายังสำนักศึกษา กู้หลีเซิงได้เรียกตัวเขาให้ไปพบที่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณและบอกเขาว่าเขาได้เล็งศิษย์ใหม่ไว้คนหนึ่งแล้วตั้งแต่เมื่อสองสามวันก่อนการลงทะเบียนสิ้นสุดลง ให้เขาช่วยไปรอรับศิษย์ใหม่คนนั้นทีและพาตัวอีกฝ่ายมาที่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณด้วย กู้หลีเซิงยังได้พูดชื่อ ‘จวินเสีย’ สองคำนี้ออกมาอย่างชัดเจน ไม่มีคำไหนที่ใกล้เคียงกับคำว่าหลี่จื่อมู่เลยสักนิด
แม้แต่ชุดเครื่องแบบของจวินอู๋เสีย ก็ยังเป็นฟ่านจิ่นซึ่งเป็นผู้รับมาให้เองกับมือ ป้ายหยกของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณอันนั้น เขาก็ยังยื่นมันให้กับจวินอู๋เสียเองด้วย
แต่แล้วทำไมเพียงแค่ครึ่งวัน เรื่องมันถึงกลับกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วเล่า
“เจ้าชื่ออะไร” ฟ่านจิ่นจ้องหลี่จื่อมู่แล้วถาม
“หลี่…หลี่จื่อมู่ขอรับ” หลี่จื่อมู่ตัวอ่อนยวบจากการจ้องมองของฟ่านจิ่น
“ท่านผู้อาวุโสกู้เป็นคนมอบป้ายหยกอันนี้ให้กับเจ้าเองเลยรึ” ฟ่านจิ่นถามอีกครั้ง
หลี่จื่อมู่พยักหน้าแล้วตอบอย่างตะกุกตะกักว่า “ใช่…ใช่แล้วขอรับ…เป็น…เป็นท่านอาจารย์ติดให้ข้า…ด้วยตัวเอง…”
ฟ่านจิ่นยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก
ความทรงจำของเขาไม่ผิดแน่นอน แต่เรื่องนี้ช่างชวนให้สับสนวุ่นวายยิ่งนัก อย่างไรก็ตามเมื่อมองไปที่เจ้าขยะไร้ประโยชน์ที่ไม่แม้แต่จะสามารถยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างผ่าเผยได้เลย คนแบบนี้ท่านลุงกู้จะถูกใจได้อย่างไรกัน! เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะเป็นศิษย์ที่ท่านลุงกู้ตั้งใจจะบ่มเพาะและสั่งสอน!
เป็นครั้งแรกที่ฟ่านจิ่นเริ่มสงสัยว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของกู้หลีเซิงหรือไม่
“ข้าว่าเรื่องนี้มันจะต้องมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน จวินเสียไม่มีทางสนใจที่จะชิงตำแหน่งของเจ้า และอย่าให้ข้าได้ยินว่ามีใครเอาเรื่องนี้มารบกวนจวินเสียในอนาคตอีก ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ปล่อยมันผู้นั้นไปอย่างแน่นอน” ในเมื่อคิดไม่ตกก็ไม่จำเป็นต้องคิด ฟ่านจิ่นหันมาให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาด่วนตรงหน้าเขาก่อน
ไม่ว่าจวินอู๋เสียจะเป็นศิษย์ที่กู้หลีเซิงเลือกหรือไม่ แต่ฟ่านจิ่นยังคงถูกใจจวินเสียอยู่ดี เด็กชายที่พูดน้อยแต่ประพฤติตัวดีเช่นนี้ ช่างเป็นศิษย์น้องในอุดมคติของเขาจริงๆ เพราะมันทำให้เขาคลายกังวลไปได้มาก ไม่แปลกใจที่เขาจะเข้าข้างอีกฝ่ายสักเล็กน้อย
เมื่อถูกฟ่านจิ่นข่มขู่เช่นนี้ มีหรือที่กลุ่มชายหนุ่มจะยังกล้าต่อล้อต่อเถียงกลับไป พวกเขาทำได้เพียงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ
เมื่อเห็นว่าพวกเขาเชื่อฟังว่าง่ายกันแล้ว ฟ่านจิ่นจึงหันไปมองจวินอู๋เสีย เมื่อพบว่าพลังวิญญาณสีส้มทั่วร่างของนางยังไม่สลายไป เขาจึงกระซิบพูดกับอีกฝ่ายด้วยเสียงเบาว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนแบบนั้น อย่าโกรธไปเลย หากเจ้าลงมือทำร้ายคนจนบาดเจ็บจริงๆ เกรงว่ามันจะนำปัญหายุ่งยากตามมาไม่รู้จบ”
แม้ว่าช่วงเวลาที่ได้พูดคุยกับจวินอู๋เสียยังคงมีไม่มากนัก แต่ฟ่านจิ่นก็สามารถมองเห็นเจตนาฆ่าในดวงตาของจวินอู๋เสียได้อย่างชัดเจน
เจตนาฆ่าที่ลึกล้ำแฝงความหนาวเหน็บเช่นนี้ แม้แต่ฟ่านจิ่นก็ยังสะท้านเฮือกและหวาดผวา หากเมื่อสักครู่เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกมาทันเวลา เกรงว่าผู้ที่ต้องทนทุกข์จะไม่ใช่จวินอู๋เสียแต่เป็นกลุ่มชายหนุ่มผู้โง่เขลาที่ไม่รู้เรื่องราวพวกนั้นแทน เขาสัมผัสได้เลยว่าจวินอู๋เสียต้องการฆ่าจริงๆ
ภายใต้การเกลี้ยกล่อมของฟ่านจิ่น เจตนาฆ่าในดวงตาของจวินอู๋เสียค่อยๆ จางหายไป นัยน์ตาของนางกลับมาสงบเรียบนิ่งราวกับผิวน้ำลึกอีกครั้ง
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฟ่านจิ่นรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นนางยอมเก็บเจตนาฆ่าเหล่านั้นกลับไป
………