ตอนที่ 413 ใส่ร้ายป้ายสี (5) / ตอนที่ 414 ใส่ร้ายป้ายสี (6)
ตอนที่ 413 ใส่ร้ายป้ายสี (5)
เมื่อได้รับคำขู่จากฟ่านจิ่นแล้ว กลุ่มชายหนุ่มเหล่านั้นก็ไม่กล้าคัดค้านอีก แต่สายตาของพวกเขาแสดงออกว่าพวกเขาไม่เห็นด้วย
ศิษย์พี่หนิงที่อยู่บนชั้นสองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างแล้วยิ้มมุมปาก นางยกมือขึ้นแล้วชี้ไปที่ฟ่านจิ่นที่กำลังพูดคุยกับจวินอู๋เสียแล้วกล่าวว่า “ครั้งนี้ฟ่านจิ่นเลือกผิดคนแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าหนูที่ชื่อว่าจวินเสียจะแสดงละครเก่งจริงๆ ที่สามารถหลอกฟ่านจิ่นได้ ถ้าก่อนหน้านี้เขาไม่บอกฟ่านจิ่นว่าเขาจะถูกเลือกให้เข้าสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ ฟ่านจิ่นก็คงจะไม่กระตือรือร้นในการดูแลเขาเยี่ยงนี้ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับการคว้าน้ำเหลวครั้งนี้ เจ้าคิดว่าอย่างไร เสี่ยวเหยียน”
บนใบหน้าของอิ่นเหยียนเผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา เขามีความสุขกว่าทุกคนเมื่อเห็นฟ่านจิ่นเลือกผิดคน
“เจ้าจำปีที่เจ้าเข้าสำนักศึกษาได้หรือไม่ เดิมทีเจ้าควรถูกดูแลโดยฟ่านจิ่น แต่เขากลับเพิกเฉยต่อคำสั่งของรองอาจารย์ใหญ่และปฏิเสธที่จะพาเจ้าเข้าสำนักศึกษาต่อหน้าทุกคน เจ้ายังจำเหตุการณ์ที่เจ้าถูกผู้คนเยาะเย้ยได้หรือไม่” ศิษย์พี่หนิงมองไปที่อิ่นเหยียน
อิ่นเหยียนหรี่ตาลงแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่มีวันลืมความอัปยศที่ฟ่านจิ่นมอบให้ข้า”
ในปีนั้นอิ่นเหยียนเพิ่งเข้าสู่สำนักศึกษาเฟิงหัว และฟ่านจิ่นยังไม่ได้เข้าร่วมศึกประลองภูติวิญญาณ เขาจึงได้รับมอบหมายให้มาดูแลศิษย์ใหม่ และคนที่ฟ่านจิ่นถูกมอบหมายให้ดูแลก็คืออิ่นเหยียน อิ่นเหยียนมีความสามารถ รองอาจารย์ใหญ่จึงสั่งให้ฟ่านจิ่นดูแลเป็นพิเศษ แต่ใครจะคิดว่าฟ่านจิ่นจะปฏิเสธทันที ไม่เพียงแต่ปฏิเสธคำสั่งของรองอาจารย์ใหญ่ เขายังเดินจากไปทันทีไม่แม้แต่จะมองอิ่นเหยียนอีกด้วย
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อิ่นเหยียนก็กลายเป็นตัวตลกในหมู่ลูกศิษย์ การที่เขาถูกฟ่านจิ่นปฏิเสธนั้นหมายความว่าเขายังไม่แข็งแกร่งพอ ถ้าศิษย์พี่หนิงไม่ยื่นมือมาช่วยเขาและพาเขาเข้าสำนักศึกษา เขาก็คงออกจากสำนักศึกษาเฟิงหัวไปพร้อมกับกับคำเยาะเย้ยของลูกศิษย์เหล่านั้น
หลังจากนั้น อิ่นเหยียนก็โชคดีที่ได้รับเลือกให้เข้าสู่สาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ เขาจึงได้ล้างความอัปยศในวันนั้นไปอย่างสิ้นเชิง แต่ความเจ็บปวดที่ฟ่านจิ่นได้สร้างไว้กับเขากลับไม่สามารถลบออกไปได้เลย
“ตอนนี้มิใช่โอกาสที่ดีหรือ มาทำให้ฟ่านจิ่นดูว่าเจ้าที่ถูกเขาปฏิเสธในตอนนั้นเก่งกาจแค่ไหนในตอนนี้ และจวินเสียที่เขาเลือกนั้นอ่อนแอเพียงใด” ศิษย์พี่หนิงยิ้มกว้าง
อิ่นเหยียนพยักหน้าแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์พี่หนิงพูดถูก ศิษย์น้องเข้าใจแล้ว”
หลังจากพูดจบ อิ่นเหยียนก็เดินลงไปที่ชั้นหนึ่งทันที
ทันทีที่ฟ่านจิ่นปรากฎตัวโรงอาหารชั้นหนึ่งที่มีเสียงดังวุ่นวายก็พลันสงบลง
“เจ้าอย่ากังวล เดี๋ยวข้าจะไปถามท่านลุงกู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฟ่านจิ่นมองใบหน้าที่เย็นชาของจวินอู๋เสียอย่างจนใจ อย่าพูดถึงเรื่องอื่นเลย แค่เรื่องที่จวินอู๋เสียสามารถทะลวงระดับพลังวิญญาณขึ้นมาอยู่ในขั้นสีส้มมาได้ด้วยอายุเพียงสิบสี่ปีก็ทำให้หลายคนไม่อาจเทียบได้แล้ว นอกจากนี้คือนางอายุน้อยเพียงนี้แต่กลับประพฤติตัวดีและเชื่อฟัง แล้วเหตุใดนางจะไม่เข้าตากู้หลีเซิง
เห็นได้ชัดว่ามันไม่ปรกติที่กู้หลีเซิงยอมเลือกหลี่จื่อมู่ที่โง่เขลานั้น ไม่ยอมเลือกจวินอู๋เสีย
จวินอู๋เสียส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “ไม่จำเป็น”
ฟ่านจิ่นถอนหายใจแล้วตบไหล่จวินอู๋เสียเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ช่างมันเถิด อย่าทานที่นี่เลย ข้าจะพาเจ้าไปที่ดีๆ รับรองว่าอาหารรสชาติดีกว่าที่นี่มาก”
จวินอู๋เสียพยักหน้าเล็กน้อย นางไม่หิว แต่นางก็ไม่อยากปฏิเสธน้ำใจของฟ่านจิ่น
หลังจากจวินอู๋เสียเกิดใหม่ นางก็เริ่มรู้สึกถึงความดีของผู้คนรอบข้างมากขึ้น และเริ่มเรียนรู้ที่จะรับและตอบแทนผู้อื่น
และขณะที่ทั้งสองกำลังจะจากไป ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า
“ศิษย์พี่ฟ่าน ไม่ผิดที่ท่านจะปกป้องจวินเสีย แต่เรื่องนี้เขาทำผิด ทว่าเขากลับไม่มีแม้แต่คำขอโทษ ข้าเกรงว่ามันจะไม่เหมาะสม”
…………
ตอนที่ 414 ใส่ร้ายป้ายสี (6)
ทุกคนต่างพร้อมใจกันหันไปมองยังต้นเสียง เห็นว่าอิ่นเหยียนกำลังมองฟ่านจิ่นและจวินอู๋เสียที่กำลังจะจากไปด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นหยกขาวบนหน้าอกของอิ่นเหยียน ทุกคนก็เข้าใจตำแหน่งของเขาทันที
ลูกศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณ!
เมื่อครู่ฟ่านจิ่นได้กล่าวว่าเรื่องนี้อาจมีการเข้าใจผิดกัน และเพราะตำแหน่งและชื่อเสียงของเขา ศิษย์เก่าหลายคนจึงเริ่มสงสัยว่าสิ่งที่หลี่จื่อมู่พูดนั้นจริงหรือไม่ แต่ตอนนี้ลูกศิษย์ของสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณได้ปรากฏตัวและกล่าวโทษจวินอู๋เสียในเรื่องที่นางไม่ยอมกล่าวขอโทษ
นั่นหมายความว่าอย่างไร
นั่นหมายความว่าศิษย์ในสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณต่างรู้ความจริงหมดแล้ว พวกเขาจึงมาหาเรื่องจวินอู๋เสียเช่นนี้
ความสมดุลที่เพิ่งได้รับการฟื้นฟูกลับมาล้มไปอีกข้างทันทีหลังจากที่อิ่นเหยียนได้ปรากฏตัว
ฟ่านจิ่นขมวดคิ้วและมองไปที่อิ่นเหยียน
จวินอู๋เสียหยุดเดินและมองไปที่เพื่อนร่วมห้องพักที่กำลังได้ทีขี่แพะไล่
นางและอิ่นเหยียนเคยพบกันแค่เพียงสองครั้ง แต่นางก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังของอิ่นเหยียนที่มีต่อนางได้อย่างชัดเจน
อิ่นเหยียนเดินลงมาอย่างช้าๆ และเมื่อเขาเห็นว่าทุกคนต่างมองมาที่เขาทันทีที่เขาเอ่ย เขาก็ลอบยิ้มในใจ
ความสนุกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
“การที่ศิษย์พี่ฟ่านตั้งใจจะปกป้องจวินเสีย มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ศิษย์พี่จะปกป้องศิษย์น้อง แต่ถ้าจะปล่อยให้เรื่องนี้มันผ่านไปแบบนี้ก็เกรงว่าหลายคนอาจไม่พอใจ ทำผิดก็ควรถูกลงโทษ และเรื่องที่เข้ามาสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณแทนที่หลี่จื่อมู่ก็เป็นเรื่องที่จวินเสียทำผิดก่อน ดังนั้นไม่ต้องถึงขั้นลงโทษ แต่ก็ควรกล่าวขอโทษ มิฉะนั้น ผู้คนอาจคิดว่าสำนักศึกษาเฟิงหัวของเราแยกแยะไม่ออกว่าอะไรถูกอะไรผิด เพราะการปกป้องของศิษย์พี่ฟ่าน ทำให้ลูกศิษย์ที่ทำผิดไม่รู้สึกเกรงกลัวและลูกศิษย์ที่ถูกรังแกก็ต้องอดทนและรับความอัปยศนี้ไว้อย่างเจ็บปวดหรือ”
อิ่นเหยียนกล่าวอย่างช้าๆ แต่ก็แทงใจทุกประโยค
ทุกประโยคบอกเป็นนัยว่าฟ่านจิ่นใช้ชื่อเสียงของเขาในสำนักศึกษาเฟิงหัว เพื่อลบความผิดของจวินอู๋เสียและสงสัยว่าเขาใช้อำนาจกดขี่หลี่จื่อมู่
คำพูดเหล่านี้ช่างโหดร้ายมาก ไม่เพียงแต่ทำร้ายจวินอู๋เสียแต่ยังทำร้ายฟ่านจิ่นด้วย
แน่นอนว่าหลังจากอิ่นเหยียนพูดจบก็เกิดข้อสงสัยในโรงอาหารทันที
สีหน้าของฟ่านจิ่นเย็นชาขึ้นมา แม้ว่าเขาจะเป็นบุตรบุญธรรมของอาจารย์ใหญ่ แต่เขาก็ไม่เคยใช้สถานะนี้ทำอะไรมาก่อน ตรงกันข้ามเพราะสถานะนี้เขาจึงต้องพยายามมากกว่าคนอื่นและดีกว่าคนอื่นจึงจะได้รับการยอมรับจากผู้อื่น
แต่คำพูดของอิ่นเหยียนกลับทำลายความพยายามของฟ่านจิ่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในทันที
“อิ่นเหยียนเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่ ผู้ใดมีหลักฐานว่าจวินเสียตั้งใจทำเยี่ยงนี้ ความเข้าใจผิดในโลกนี้มีมากมาย ดังนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องเข้าใจผิด” ฟ่านจิ่นหรี่ตาลงและพยายามระงับความโกรธในใจ
“โอ้ พี่ฟ่านพูดแบบนี้หมายความว่าพี่ฟ่านรู้ความจริงหรือ ข้าก็อยากฟังความจริง ถ้าข้าเข้าใจจวินเสียผิด ข้าก็จะขอโทษเขา แต่ถ้ามิใช่เรื่องเข้าใจผิด ข้าก็หวังว่าพี่ฟ่านจะไม่ปกป้องเขามากเกินไป รู้ว่าทำผิดแล้วแก้ไขเป็นเรื่องที่ดีที่สุด หากต่อไปจวินเสียทำอะไรผิดอีกแล้วเขารู้ว่าพี่ฟ่านจะออกหน้าแทนเขา เขาก็จะยิ่งไม่เกรงกลัวมิใช่หรือ” อิ่นเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้มและเมื่อเขาเห็นฟ่านจิ่นขมวดคิ้วเขาก็รู้สึกดีมาก
ฟ่านจิ่นยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้นไปอีก ถ้าเขารู้ความจริง เขาก็คงกล่าวออกมาแล้วจะปล่อยให้คนเหล่านี้ใส่ร้ายป้ายสีจวินอู๋เสียอย่างนี้ได้อย่างไร
แต่เขาก็เพิ่งรู้เรื่องนี้ และเขาก็ยังไม่มีเวลาไปสอบถามว่าแท้จริงแล้วเรื่องมันเป็นมาอย่างไร
อิ่นเหยียนกดดันเยี่ยงนี้หมายความว่าเขาจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปอย่างแน่นอน
………….