บทที่ 208 ตระกูลหลินมาหาพ่อตาแม่ยายแล้วหรือ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 208 ตระกูลหลินมาหาพ่อตาแม่ยายแล้วหรือ?

เมื่อทั้งสองคนกลับมาถึงบ้าน อาหารเที่ยงได้ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว รอแค่พวกเขากลับมาเท่านั้น

ทั้งสองคนนั่งพักครู่หนึ่ง แล้วค่อยเดินไปที่โต๊ะ

ครอบครัวใหญ่นี้ นอกจากเหยาเฉาและเหยาเอ้อหลางที่ไม่อยู่แล้ว สมาชิกในบ้านถือว่าพร้อมหน้ามากทีเดียว

ระหว่างที่กินข้าวนั้นทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยส่วนใหญ่จะคุยเรื่องราวในช่วงนี้ แต่แม่เฒ่าเหยากลับไวต่อความรู้สึก ตระหนักได้ถึงความแตกต่างในบรรยากาศระหว่างลูกสาวและลูกเขย

ครั้นเห็นทั้งสองคนเอาแต่สบตากันตลอดเวลา ในใจของนางก็รู้สึกผ่อนคลายลงมาก

หญิงชราหัวเราะร่วนพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบไข่ฟองหนึ่งให้หลินเหราและพูดว่า “อาเหรา อย่ามัวแต่สนใจคีบอาหารให้อาซูสิ เจ้าก็กินด้วย”

หลินเหราตกตะลึง ก่อนจะพยักหน้ากล่าวขอบคุณ และกินมันเข้าไป

ต้าหลาง อาจื้อ และอาซือที่นั่งอยู่ข้างกายต่างไม่มีอารมณ์จะกินข้าว เพราะมัวแต่กินไปพลางพูดคุยไปพลาง เวลาผ่านไปข้าวในจานต่างไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด

สะใภ้ใหญ่เหยาจึงเอ่ยเตือน “กินเสร็จแล้วค่อยเล่น ประเดี๋ยวคนอื่นกินเสร็จพวกเจ้ายังไม่อิ่ม ตกบ่ายจะไม่มีอย่างอื่นให้กิน”

ยากนักที่อาจื้อและอาซือจะมาเล่นที่บ้านของตน หางคิ้วของเหยาต้าหลางจึงยกขึ้นอย่างมีความสุข ไฉนเลยจะสนใจกินข้าว

ส่วนอาจื้อและอาซือทั้งสองคนไม่ค่อยได้เจอกับพี่คนโตเท่าไร จึงได้เล่าเรื่องที่เหยาเอ้อหลางและพวกเขาเล่นอะไรกันบ้างในตอนที่อยู่ในเมืองให้เขาฟังโดยละเอียดอย่างเบิกบานใจ ทำให้เหยาต้าหลางเกิดความอิจฉา ทำหน้ามุ่ยโดยพลัน

เขาหันไปพูดกับมารดาว่า “ท่านแม่ ข้าอยากไปในเมืองด้วย…ข้าอยู่บ้านคนเดียว วัน ๆ ก็เอาแต่อ่านหนังสือกับท่านพ่อ หัวโตหมดแล้วขอรับ”

เหยาเฟิงและเขาห่างกันเพียงโต๊ะกั้น แต่กลับใช้ปลายตะเกียบเคาะศีรษะของลูกชายตัวเองหนึ่งครั้งได้อย่างแม่นยำ “กินข้าวของเจ้าไป!”

ความเจ็บปวดจากการถูกเคาะนี้ ส่งผลให้หน้าผากของเหยาต้าหลางขึ้นสีแดงอย่างรวดเร็ว เด็กชายยกมือขึ้นกุมตำแหน่งที่ถูกเคาะด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรม และนิ่งเงียบไม่พูดสิ่งใด

เหยาเฟิงไม่ได้ตามใจลูก ความจริงแล้วเหยาต้าหลางกลัวผู้เป็นพ่อมาก ต่อให้ในใจจะรู้สึกอิจฉาพวกน้อง ๆ เพียงใด แต่ก็ทำได้แค่อดกลั้นมันไว้ ไม่นานดวงตาก็แดงก่ำ

สะใภ้ใหญ่เหยามองไปทางเหยาเฟิงด้วยความไม่พอใจแวบหนึ่ง “พูดดี ๆ ก็ได้ไม่ใช่หรือ? เหตุใดจะต้องลงมือด้วย”

นางจึงได้วางตะเกียบลง จากนั้นก็ตรวจรอยแดงบนหน้าผากของเหยาต้าหลาง พลางพูดกับลูกว่า “ต่อไปหากพ่อเคาะหัวเจ้าอีก จงจำไว้ว่าให้หลบเสีย ปกติก็ไม่มีไหวพริบอยู่แล้ว โดนเคาะจนโง่เขลาขึ้นมาจะทำอย่างไร”

เหยาต้าหลางก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะซาบซึ้งในความอ่อนโยนของผู้เป็นแม่ หรือว่าควรจะประท้วงต่อสิ่งที่นางพูดดี

แต่กลับเป็นอาซือที่พูดขึ้นอย่างจริงจังอยู่ข้างกายว่า “พี่ใหญ่ไม่ใช่คนโง่ พี่เขาล้วนแต่ทำดีทุกเรื่อง ดีกว่าท่านพี่เสียอีกเจ้าค่ะ”

คำพูดนี้ไม่ได้โป้ปด

อาซือเป็นแค่เด็ก คิดอะไรตื้นเขิน มองเรื่องราวได้ชัดเจนและง่ายกว่าผู้ใหญ่

แม้ว่าเหยาต้าหลางจะร่ำเรียนหนังสือเก่งสู้อาจื้อไม่ได้ โดยปกติมักไม่ค่อยมีความคิดพิเรนทร์เหมือนเอ้อหลาง แต่เรื่องที่เขาจะทำต้องสมบูรณ์แบบและจริงจังที่สุด อีกทั้งทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องเหมาะสมและไม่มีข้อผิดพลาด

มิน่าเล่าในสายตาของน้องชายและน้องสาว คำพูดของเขาจึงดูน่าเชื่อถือที่สุด

สะใภ้ใหญ่เหยาชอบหลานสาวตัวน้อยน่ารักน่าชังผู้นี้มาตลอด จึงพูดกับนางด้วยรอยยิ้มว่า “ป้าไม่ได้บอกว่าพี่ใหญ่ของเจ้าไม่ดี ล้อเขาเล่นเท่านั้นเอง เอ้อเป่าปกป้องพี่เขาเช่นนี้เพราะพี่เขาดีกับเจ้าใช่หรือไม่?”

อาซือพยักหน้าและพูดเสริมอีกว่า “อีกอย่างข้าก็ชอบพี่เขาด้วย”

ความชอบของเด็กสาวตัวน้อยนั้นง่ายมาก นางล้วนชอบทุกคนในบ้าน

สิ่งที่น่าขบขันที่สุดสำหรับพวกผู้ใหญ่ คือการให้เด็กเปรียบเทียบความ ‘ชอบ’ นี้ สะใภ้ใหญ่เหยาที่ฟังอยู่ด้านข้าง จึงพูดขึ้นประโยคหนึ่งว่า “แล้วเอ้อเป่าชอบพี่ใหญ่ หรือว่าชอบพี่รองมากกว่ากันเล่า?”

ครั้นได้ยินประโยคนี้ เหยาต้าหลางเลิกกุมหน้าผากทันที สายตามองไปยังญาติผู้น้องอย่างเปล่งประกาย คาดหวังกับคำตอบของนาง

อาจื้อรู้แก่ใจดีว่าครานี้ญาติผู้พี่คนโตจะต้องผิดหวัง ถึงอย่างไรญาติผู้พี่คนรองและพวกเขาก็เล่นด้วยกันตลอดหนึ่งเดือน ซึ่งความสนิทสนมญาติผู้พี่คนโตเทียบชั้นไม่ได้

ใครจะไปคิดละว่าอาซือกลับตอบว่า “ข้าชอบพี่ใหญ่มากกว่าเจ้าค่ะ เพราะพี่ใหญ่ดูแลพี่รอง ท่านพี่และข้าได้ เวลามีของกินอร่อยหรือของเล่นสนุก ๆ ก็ล้วนนึกถึงพวกเราเสมอ”

ขณะที่พูดเด็กหญิงได้หยิบกระต่ายน้อยดินปั้นตัวหนึ่งออกมา จากนั้นก็ยื่นให้ผู้ใหญ่ดู “พี่ใหญ่ให้ข้ามา”

เมื่ออาจื้อเห็นภาพนั้น จึงล้วงหยิบลูกแก้วโลหะที่ได้รับการขัดจนวาววับลูกหนึ่งออกมาจากเสื้อเช่นกัน และวางลงกลางฝ่ามือที่แบออก

สะใภ้ใหญ่เหยาจึงพูดว่า “นี่เป็นของเล่นที่เจ้าเสียเงินจำนวนมากซื้อกลับมาไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงได้ยกมันให้ต้าเป่าและเอ้อเป่าได้ล่ะ?”

นางเป็นแม่ ย่อมจำได้ว่าเมื่อสองสามวันก่อนลูกชายของตัวเองนำเงินเก็บส่วนตัวที่ตรากตรำทำงานอย่างหนักซ่อนไว้ในอกเสื้อ แล้ววิ่งพรวดพราดออกไปแลกเป็นกระต่ายน้อยดินปั้นหนึ่งตัว ลูกแก้วโลหะหนึ่งลูก และหนังยางขนาดเล็กหนึ่งชิ้นจากมือของพ่อค้าหาบเร่ริมถนน ตอนกลับมาอย่าว่าแต่เงินที่ไม่เหลือสักแดงเดียวแล้ว ยังติดหนี้แผ่นทองแดงจากสหายตัวน้อยเหล่านั้นอีกด้วย

เหยาต้าหลางเบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างมีเหตุผลว่า “เดิมทีก็จะให้ต้าเป่าและเอ้อเป่านั้นแหละ! ข้าไม่ใช่เด็กผู้หญิง จะชอบกระต่ายได้อย่างไร ทว่าลูกแก้วโลหะนั้นก็ไม่ได้ซื้อมา ข้าได้มันมาตอนที่ซื้อกระต่ายและหนังยางจากพ่อค้าหาบเร่… ตอนแรกมันไม่ได้กลมขนาดนี้ ข้าหมุนมันทีละน้อย คิดว่าอาจื้อน่าจะชอบ”

เขาไม่ได้ห่วงแต่เล่นเหมือนเอ้อหลาง ซื้อหนังยางไว้ให้ใครในใจของทุกคนย่อมรู้ชัดเจนดี

เหยาซูนั่งฟังอยู่ด้านข้าง ไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกอย่างไร

สองสามวันนี้เพราะเหยาเอ้อหลางมาเล่นกับเด็ก ๆ ที่บ้านทุกวัน นางผู้เป็นอาคนนี้ ย่อมต้องรักและเอ็นดูหลานชายจอมซนและปากหวานยิ่งกว่าเป็นธรรมดา

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้นางคาดไม่ถึงก็คือ โดยปกติแล้วเหยาต้าหลางที่ดูไม่ค่อยมีบุคลิกพิเศษอะไร แท้ที่จริงแล้วมักจะนึกถึงน้องชายและน้องสาวในใจเสมอ

ครั้นนึกถึงนิยายต้นฉบับ อาจื้อและอาซือที่จะหลงผิดไปทำเรื่องที่เลวร้ายมากมาย ท้ายที่สุดแล้วในตอนที่ผิดหวังท้อแท้ เหยาต้าหลางยังแอบไปดูลูกพี่ลูกน้องที่ไม่เคยพบหน้ากัน เอาเงินที่มีติดตัวทั้งหมดทิ้งไว้ให้พวกเขา

นางพูดกับอาจื้อและอาซือด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “พี่ใหญ่นึกถึงพวกเจ้าตลอดเวลา คราวต่อไปต้าเป่าและเอ้อเป่า จะต้องเลียนแบบพี่เขา จะให้พี่เขาดูแลพวกเจ้าตลอดไม่ได้”

อาจื้อพยักหน้า ส่วนอาซือได้คีบเอาน่องไก่หนึ่งชิ้นที่ทำขึ้นเป็นพิเศษตรงหน้าของตัวเองไปใส่ในถ้วยของเหยาต้าหลางอย่างงุ่มง่าม “พี่ใหญ่ ข้าให้น่องไก่กับพี่”

ไก่หนึ่งตัวจะมีน่องไก่สองชิ้น วันนี้เพราะอาจื้อและอาซือได้มาเยี่ยมบ้านนาน ๆ ทีจะมาครั้ง จึงได้ทำให้แก่เด็กทั้งสองคนโดยเฉพาะ แต่ตอนนี้อาซือกลับนำน่องไก่ในจานของตัวเองให้แก่เหยาต้าหลาง

เหยาต้าหลางจึงรีบพูดทันที “เอ้อเป่ากินเถอะ! ไก่ย่างที่อาสะใภ้รองทำแตกต่างจากคนอื่นเชียวนะ เจ้าชอบกินที่สุดไม่ใช่หรือ?”

เด็ก ๆ เสียสละให้กันและกัน พ่อเฒ่าเหยาและนางเฒ่าเหยาที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดของโต๊ะอาหาร จึงอดยิ้มอย่างอบอุ่นไม่ได้

พวกเขารู้ดี เด็ก ๆ ของตนนั้นรู้ความที่สุด

หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จ เหยาเฟิงช่วยเก็บจานและตะเกียบบนโต๊ะ พวกเด็ก ๆ ก็แย่งกันช่วย กลับเป็นหลินเหราที่ถูกแม่เฒ่าเหยาเรียกรั้งไว้ จากนั้นก็มองไปทางเหยาซู “อาเหรา เจ้านั่งลงเถิด ให้พวกเขาเก็บกันเอง ข้าและพ่อของเจ้ามีเรื่องต้องคุยกับพวกเจ้าสองคน”

ครั้นเหยาซูได้ยิน ก็นั่งลงข้างกายของหลินเหราทันที

สะใภ้ใหญ่เหยายกน้ำชาและเมล็ดทานตะวันเข้ามา จากนั้นก็ออกไปช่วยเก็บกวาด

ครั้นได้ยินแม่เฒ่าเหยาถามสองสามีภรรยาว่า “วันนี้กระดาษเงินกระดาษที่เผาให้บรรพบุรุษตระกูลหลินไป เรียบร้อยดีใช่หรือไม่? ไม่เจอใครใช่ไหม?”

เหยาซูค่อนข้างแปลกใจกับคำถามนี้ จึงได้แต่ส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่เจอใครเลยเจ้าค่ะ อีกสองสามวันจะถึงวันชิงหมิง คนเผากระดาษจึงน้อย เหตุใดท่านแม่ถึงถามเช่นนี้?”

แม่เฒ่าเหยามองหลินเหราและทอดถอนใจ

พ่อเฒ่าเหยาที่นั่งอยู่ด้านข้างพลันพูดขึ้น “แม่ของเจ้ากลัวว่าคนของตระกูลหลินเหล่านั้นจะมาสร้างปัญหาให้พวกเจ้า”

หลินเหราขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะถามเสียงทุ้มต่ำว่า “ตระกูลหลินเคยมาหาพ่อตาแม่ยายแล้วหรือขอรับ?”

……………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ความจริงบ้านเหยาคอยมาป้องกันไม่ให้บ้านหลินอาละวาดกับครอบครัวอาซูอยู่สินะ

ไหหม่า(海馬)