บทที่ 209 แล้วมันหมายความว่าอย่างไร?
แม่เฒ่าคำนึงถึงความรู้สึกของหลินเหรา จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ล้วนแต่เป็นเรื่องมโนสาเร่ทั่วไป ไม่มีอะไร พวกเจ้าสองคนนาน ๆ ทีจะได้กลับบ้านสักครั้ง อย่าได้รู้สึกขุ่นมัวเลย”
แม้แต่เหยาซูก็ล้วนมองออกว่ามารดามีเรื่องที่พูดไม่ได้ หลินเหรานั้นไวต่อความรู้สึกย่อมสัมผัสได้เป็นธรรมดา และเข้าใจว่าผู้อาวุโสคงไม่อยากพูดเรื่องไม่ดีของตระกูลหลินในขณะที่เขาอยู่ที่นี่
เหยาซูมองไปทางหลินเหราแวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดกับพ่อเฒ่าเหยาและแม่เฒ่าเหยาด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ เรื่องของตระกูลหลินพวกท่านพูดออกมาได้เลยเจ้าค่ะ ตอนนี้เราเองไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับคนทางนั้นแล้ว อาเหราเองก็ไม่ได้ใส่ใจ”
ครั้นหญิงชราเห็นลูกสาวพูดเช่นนี้ จึงเอ่ยปาก เพียงแต่ก่อนจะพูดก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งครั้ง “เจ้าบอกว่าครอบครัวนี้ ทำเรื่องชั่ว… พวกเจ้าต้องส่งเงินให้ทางนั้นเป็นจำนวนสิบตำลึงทุกเดือนมิใช่หรือ? ตามปกติแล้วอย่าว่าแต่เดือนละสิบกว่าตำลึงเลย แค่หนึ่งตำลึงฐานะทางบ้านก็ไม่มีทางขาดแคลน”
ในใจของเหยาซูตื่นตระหนกทันใด “ได้ยินสะใภ้รองบอกว่า เงินมักจะตกอยู่ในกระเป๋าหลินหงทั้งหมด?”
แม่เฒ่าเหยาพยักหน้าและพูดอย่างทอดถอนใจ “ก็ไม่เชิง! ข้าไม่ได้พูดในฐานะที่เป็นญาติหรือไม่เป็นญาติทางสมรสหรอกนะ แต่ท่าทางเห็นแก่ตัวของสามีภรรยาตระกูลหลินนั้น เห็นได้ชัดว่าตั้งใจเกาะเจ้าสามผู้นี้! ในหมู่บ้านต่างรู้กันทั่วว่าหลินหงไม่ใช่คนดีอะไร เอาเงินไปเที่ยวเตร่ดื่มกินอยู่ในเมือง ทั้งยังหลอกลวงทั้งสองว่าเป็นเงินค่าเชิญอาจารย์มาสอน เขาเชิญอาจารย์อะไรที่ไหนกันเล่า!”
เหยาซูรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้
วันนั้นในตอนที่นางถูกฉกชิงกระเป๋าเงินในเมือง หลินเหราได้ไล่ตามไป สุดท้ายก็ไล่ตามมาถึงหอสวนสาลี่และเห็นสิ่งที่หลินหงทำ ซึ่งนางเองก็ได้ยินจากปากของหลินเหราแล้ว
หลินหงคนนี้เดิมทีไม่ใช่คนที่จิตใจแน่วแน่หนักแน่น ร่ำเรียนหนังสือเป็นเพียงแค่การบังหน้า เกรงว่าคงจะเข้าตาจนแล้ว จึงได้หวังจ้องจะเอาเงินในบ้านท่าเดียว
หญิงสาวจึงเอ่ยถามว่า “ตอนนี้หลินหงเข้าเมืองไปสอบอย่างนั้นหรือ? จากที่ท่านแม่พูดแม้แต่อาจารย์ก็ไม่มี แล้วเขาจะสอบได้อย่างไร?”
พ่อเฒ่าเหยาส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชาออกมาอยู่ด้านข้าง ก่อนพูดอย่างไม่พอใจว่า “อย่าว่าแต่การไปสอบเลย น่าอับอายแทนเหล่าบัณฑิตยิ่งนัก! เมื่อสองสามวันก่อนในตอนที่ข้าอยู่ทิศตะวันออกของเมือง เมื่อทุกคนได้ยินว่าข้าเป็นคนหมู่บ้านตระกูลเหยา อยู่ใกล้กับหมู่บ้านตระกูลหลิน พวกเขาเลยถามข้าว่าเคยได้ยินคนที่ชื่อว่าหลินหงบ้างหรือไม่….ไอ้คนชั่วช้าผู้นี้มันรังแกแขกสตรีในโรงเตี๊ยมไปทั่วจนถูกจับขังอยู่พักใหญ่ ตอนนี้ไม่มีเงินติดตัวสักเหรียญเดียว จึงต้องเรียกคนในครอบครัวไปไถ่ตัว!”
ใบหน้าของหลินเหราไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไร แต่กลับเป็นเหยาซูที่ขมวดคิ้วแน่นและถามต่อว่า “แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
พ่อเฒ่าเหยาส่ายหน้า “ข้าไม่อยากยุ่งเรื่องฉาวโฉ่เหล่านี้หรอก ก็เลยฝากเด็กในหมู่บ้านตระกูลหลินไปบอกคนตระกูลหลิน ซึ่งน่าจะมีคนไปจัดการแล้ว”
มิน่าเล่าในวันนี้ตอนที่หลินเหราและเหยาซูไปบ้านตระกูลหลินถึงไม่เจอกับท่านพ่อเฒ่าหลิน ส่วนแม่เฒ่าหวังและหลินเอ้อหลางไปลงนา
เหยาซูจึงพูดว่า “วันนี้เราเจอสะใภ้รอง ท้องของนางโตจนใกล้จะแตกอยู่แล้ว…แม้ว่าจะให้ความสำคัญกับหลินหงแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนดูแลนางสักคนสิ! ถึงตอนนั้นไม่มีใครอยู่บ้านแล้วนางเกิดคลอดลูกขึ้นมา ตายอยู่ในบ้านไปจะทำอย่างไร”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ใบหน้าของหญิงชราจึงแสดงความรู้สึกที่ยากจะพรรณนาออกมาได้
กระทั่งได้ยินหลินเหราเอ่ยถาม “อาจ้วงล่ะ? ตามไปไถ่ตัวด้วยอย่างนั้นเหรอ? ไม่เห็นเขาจะอยู่เฝ้าแม่ตนเอง…”
แม่เฒ่าเหยาดื่มน้ำหนึ่งอึก จากนั้นก็ส่ายหน้า “ลูกคนที่สองของตระกูลหลินคนนี้ก็โชคร้ายเช่นกัน แม่ของอาจ้วงกำลังตั้งครรภ์ แต่ครอบครัวไม่ยอมเชิญหมอมาตรวจ เด็กก็ยังเล็กแต่ต้องขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางทุกวัน บอกว่าต้องเอาไปแลกกับหมอจีนในร้านยาเพื่อเชิญมาตรวจอาการแม่ของเขา …แต่ก็หายตัวไปกว่าสิบวันแล้ว ได้ยินนายพรานล่าสัตว์หลังเขากล่าวไว้ สองสามวันนี้บนเขามักจะมีหมาป่า”
เหยาซูตื่นตกใจทันใด “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?!”
นางยังจดจำท่าทางของอาจ้วงได้ เด็กผู้ชายพูดน้อยคนหนึ่งไม่ค่อยสนิทกับอาจื้อและอาซือเท่าไร แต่บางครั้งหลังจากที่เด็กทั้งสองคนถูกผู้เป็นย่าดุด่าว่ากล่าว ก็มักจะแอบมาคุยกับพวกเขาพักใหญ่
บอกว่าเด็กตัวเล็กคนนั้นหายตัวไปก็เชื่อเลยหรือ?
แม้แต่หลินเหราก็ยังขมวดคิ้ว
นางเอ่ยปากน้ำเสียงนั้นสั่นเครือเล็กน้อย “สิบวันมานี้ ไม่มีคนออกตามหาเลยหรือ?”
แม่เฒ่าเหยาจึงพูดว่า “ตามหาสิ จะไม่ตามหาได้อย่างไร? เด็กโตขนาดนั้นหายตัวไปใครเล่าจะไม่ปวดใจ? เพียงแต่ลูกหลานตระกูลหลิน นอกจากหลินเอ้อหลางที่ออกตามหาสามวันสามคืนไม่หลับไม่นอนแล้ว คนภายนอกก็ล้วนไม่ได้ใส่ใจ…แม่ของเขาร้องไห้จนตาปูดตาบวมไปหมด ส่วนคนเป็นพ่อก็ไปคุกเข่าอ้อนวอนขอให้คนในหมู่บ้านมาร่วมด้วยช่วยกัน วุ่นวายกันยกใหญ่อยู่สองสามวัน เพราะแม้แต่ศพก็ไม่มี กระทั่งพบกับตะกร้าใบหนึ่งในพื้นที่ที่เขามักจะขึ้นไปเก็บสมุนไพร ภายในยังบรรจุหญ้าแห้งกองหนึ่ง ในหมู่บ้านต่างพูดกัน บางทีอาจถูกหมาป่าคาบไปกินแล้วก็ได้”
เหยาซูใจหล่นฮวบลงเพราะทนฟังเรื่องเช่นนี้ไม่ได้
อย่าว่าแต่เด็กที่ตัวเองรู้จักหายตัวไปเลย แม้แต่คนแปลกหน้าหากในครอบครัวเจอกับเรื่องเช่นนี้ นางก็รู้สึกแย่ไม่ต่างกัน
มิน่าล่ะวันนี้ที่ได้เจอกับแม่โจว ใบหน้าซูบตอบของนางถึงได้ดูอิดโรย ทั่วทั้งร่างกายก็ดูห่อเหี่ยวสุดจะทนได้ ไม่มีชีวิตชีวาเลยแม้แต่น้อย
ว่ากันว่าข้อห้ามที่สำคัญที่สุดในช่วงการตั้งครรภ์คือความโศกเศร้าและความดีใจใหญ่หลวง ถ้านางเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคงได้เดินเข้าประตูยมโลกก่อนคลอดลูกแน่
เหยาซูพูดด้วยความเป็นกังวล “ข้าเห็นท่าทางของสะใภ้รองแล้ว ดูไม่เหมือนกับจะคลอดลูกออกมาได้ราบรื่นเลย …สู้เราเชิญหมอไปให้นางดีกว่าหรือไม่? ถึงอย่างไรก็คนรู้จักกันทั้งยังอยู่ใต้ชายคาเดียวกันมานาน…”
แม่เฒ่าเหยาเบิกตากว้าง “เจ้าห้ามไปยุ่งเรื่องครอบครัวนั้นเด็ดขาด! เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าวันนั้นแม่โจวและแม่สามีของนางรังแกแม่ม่ายลูกติดอย่างเจ้าอย่างไรบ้าง? อาจื้อบอกข้าหมดแล้ว นางไม่เคยทำงานบ้านเลยแต่กลับเอางานเหล่านั้นโยนให้เจ้า … เจ้าคงยังไม่ลืมนะว่าตอนนั้นเจ้าเองก็กำลังตั้งท้องซานเป่าอยู่”
เหยาซูพูดไม่ออก
หญิงชรารู้สึกโกรธเคืองมาก และไม่สนใจว่ามีหลินเหราอยู่ที่นี่ด้วย นางยกมือขึ้นทาบหน้าอกและด่าเหยาซูจนได้สติ “ในครอบครัวนี้เจ้ามีจิตใจเข้มแข็งที่สุด! หากเจ้าเชิญหมอให้นาง วันข้างหน้าหากต้องประสบกับความลำบากอีกก็อย่ามาบอกเราก็แล้วกัน!”
เหยาซูเห็นมารดากำลังโมโหจึงรีบเอ่ยว่า “ท่านแม่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น! ไม่เชิญหมอแล้วก็ได้เจ้าค่ะ ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตกันเอง ท่านอย่าโกรธไปเลย”
พ่อเฒ่าเหยานั่งอยู่ด้านข้างพูดกับเหยาซูว่า “เชิญหมอมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แม่ของเจ้าแค่กลัวว่าเจ้าจะเดือดร้อนอีก”
แม่เฒ่าเหยาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็หันไปพูดกับหลินเหราว่า “อาเหรา เจ้าเองก็อย่าโทษข้าเลยนะที่พูดจาไม่น่าฟัง ตระกูลหลินมันเป็นปลิงดูดเลือด เราไม่กล้าเข้าไปยุ่งด้วยจริง ๆ”
หลินเหราพยักหน้า และพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าเข้าใจขอรับ”
ครั้นเหยาซูเห็นสถานการณ์นั้น จึงทำได้แค่ปกป้องหลินเหราด้วยการพูดกับบิดาและมารดาว่า “ตอนนี้ตระกูลหลินกับอาเหราไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว…”
เดิมทีนางอยากจะบอกว่าหลินเหราไม่ใช่ลูกชายของสามีภรรยาตระกูลหลินอีกแล้ว แต่คิดได้ว่าเรื่องของแม่ผู้ให้กำเนิดของหลินเหรายังไม่กระจ่าง จึงได้แต่กลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอลงไป
สตรีเมื่อถึงวัยก็ควรออกเรือน แม่เฒ่าเหยารู้หลักเหตุผลนี้ดี และมองออกว่าเหยาซูกำลังปกป้องสามีของตัวเอง ในใจของนางจึงรู้สึกยินดีในความรักใคร่ปรองดองของทั้งสองคน
เพียงแต่บางคำพูด ควรจะต้องเตือนต้องพูดกันให้เข้าใจ
นางดื่มน้ำชาหนึ่งจิบก่อนพูดกับเหยาซูว่า “ที่ไม่ให้เจ้าเข้าไปยุ่ง ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง…ตระกูลหลินสงสัยมาโดยตลอดว่าเด็กที่อยู่ในท้องของสะใภ้รองไม่ใช่ลูกของเจ้ารอง”
เหยาซูตื่นตกใจจนเกือบจะทำจอกน้ำชาในมือร่วงหล่น แต่โชคดีที่หลินเหราตาไวมือไว คว้าจอกน้ำชาที่สาดกระเด็นไปแล้วครึ่งหนึ่งได้ทันและวางลงบนโต๊ะตามเดิม
นางไม่ได้สนใจแขนเสื้อที่เปียกน้ำชาแต่อย่างใด ได้แต่ขมวดคิ้วและถามว่า “ไฉนเลยถึงได้มีข่าวเล่าข่าวลือเช่นนี้? เจ้ารองเชื่อหรือไม่เจ้าคะ?”
นางเหยาครุ่นคิดถ้อยคำและพูดว่า “ไม่ใช่ข่าวเล่าข่าวลือ….เจ้าดูท้องของสะใภ้รองสิ ดูเหมือนใกล้จะแตกอยู่รอมร่อแล้วใช่หรือไม่เล่า? ความจริงแล้วหากนับเวลาดี ๆ อย่างมากสุดก็น่าจะมีอายุครรภ์ได้แปดเดือนแล้ว”
เหยาซูไม่เข้าใจ “แล้วมันหมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?”
………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
บ้านหลินนี่มีเรื่องพีคตลอดไม่แผ่วเลยค่ะ แต่สงสารอาจ้วง ไม่น่าเกิดผิดตระกูลเลย
ไหหม่า(海馬)